ภาคที่ 4 บทที่ 1 เมืองภูผาเมิน (ขึ้นภาค 4)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

ภาค 4 สุดขอบสายเลือด

บทที่ 1 เมืองภูผาเมิน

เมืองภูผาเมิน

มันเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ ณ ทางแยกของมณฑลอีกาดำและมณฑลหมาป่าหมอก ถัดไปด้านทิศเหนือคือสถานที่รกร้างไร้ผู้คนอยู่อาศัย ชื่อว่าปราการหงส์เดียวดาย

ปราการหงส์เดียวดายมีเขตแดนกว้างขวาง แต่กลับไร้ผู้คนอยู่อาศัย

มันเป็นสถานที่รกร้างอย่างถึงที่สุด พืชพันธุ์เติบโตยาก ทรัพยากรทั้งหลายหาได้ยากลำบาก จะเดินทางผ่านเขตแดนก็ทำได้ยากเย็น ดังนั้นจึงเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่อย่างสมบูรณ์ได้

เผ่าเกล็ดทรายเป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเผ่าหนึ่งที่สามารถเอาชีวิตรอดในสภาพแวดล้อมเช่นนี้ได้

พวกเขาใช้ทรัพยากรน้อยมาก มีน้ำเพียงน้อยหนึ่งก็เอาชีวิตรอดได้ กระทั่งในสภาพแวดล้อมที่แห้งแล้งจัดก็ยังเอาชีวิตรอดได้ ความสามารถในการเอาชีวิตรอดของพวกเขามีสูงส่งอย่างน่าตกใจ

ในปี 1200 ของอาณาจักรหลงซาง อาณาจักรได้เข้ารุกรานเผ่าเกล็ดทราย บังคับทำสนธิสัญญาสันติภาพกับหัวหน้าเผ่าเกล็ดทราย โดยให้ทางเผ่ายอมสยบแก่เผ่ามนุษย์ แลกกับการมอบสถานที่หลบภัยให้เผ่าเกล็ดทราย

และที่นั่นคือปราการหงส์เดียวดาย

ราว 800 ปีก่อนได้เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ขึ้นที่ปราการหงส์เดียวดาย

หลังจากเหตุการณ์นั้น สภาพพื้นที่ของปราการหงส์เดียวดายก็เปลี่ยนแปลงไปมาก มีภูเขาสูงตระหง่านผุดขึ้นจากผืนดิน แหล่งน้ำใต้ดินโผล่ขึ้นมา เกิดเป็นแหล่งชุ่มน้ำภายในปราการหงส์เดียวดายขึ้น

และนั่นคือภูเขาเมฆาทะยาน แม่น้ำวสันต์รุ่ง และเกาะหุบเหว

เมืองภูผาเมินเดิมทีเป็นเมืองที่พวกมนุษย์เอาไว้ใช้พักพิง ให้นักเดินทางทั่วเขตปราการหงส์เดียวดายได้เติมน้ำและอาหาร หลังจาก เกาะหุบเหวปรากฏขึ้น ด้วยสภาพภูมิประเทศที่แปลกตาไม่เหมือนใครจึงมีสมุนไพรยาชนิดพิเศษเติบโต ทุก ๆ ปีจะมีคนจำนวนมากยอมเดินทางฝ่าอันตรายมาที่นี่ จากจุดพัก จุดพักภูผาเมินก็กลายเป็นย่านการค้าภูผาเมิน และสุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็นเมืองภูผาเมิน

แต่เพราะเป็นเมืองเกิดใหม่ มันจึงมีบรรยากาศคึกคักเป็นเอกลักษณ์

ตามท้องถนนมีพ่อค้าหาบเร่และร้านค้าต่าง ๆ มากมายกำลังร้องขายสินค้า รวมทั้งเผ่าเกล็ดทรายร่างสูงใหญ่รวมอยู่ด้วย

เผ่าเกล็ดทรายนั้นคล้ายกับมนุษย์ แต่ผิวสากและสีเข้มกว่า ที่ต่างจากเผ่ามนุษย์มากที่สุดเห็นจะเป็นเคราแหลมเล็ก ๆ สองเส้นที่ท้ายทอย พวกมันคือสัมผัสที่หก ทำให้สัมผัสพลังต้นกำเนิดประเภทดินและนำมาใช้ได้ ดังนั้นเผ่าเกล็ดทรายจึงมีความสามารถในการควบคุมดิน ไม่จำเป็นต้องใช้ลม ก็สามารถสร้างพายุทรายทรงพลัง ทหารทราย เกราะทราย และอื่น ๆ ได้อีกมากมาย

เผ่าเกล็ดทรายนั้นโหดเหี้ยมและชอบวิวาท เมื่อเติบโตมาในสภาพแวดล้อมโหดร้ายที่ทรัพยากรหาได้ยาก พวกเขาจึงถูกสั่งสอนให้สังหารเพื่อชิงเอาทรัพยากรล้ำค่านั้นมาอย่างไม่เกรงกลัวอะไร

พวกเขานับเป็นปัญหาน่าปวดหัวใหญ่ที่สุดของเผ่ามนุษย์ทีเดียว

จนถึงตอนนี้มนุษย์ก็ยังต้องปฏิบัติกับเผ่าเกล็ดทรายอย่างระมัดระวังพอควร

“ท่านขายเจ้านี่เท่าไหร่ ?”

ฉือหมิงเฟิงกับซูเฉินเดินข้างกันอยู่บนถนนในเมืองภูผาเมิน เยี่ยเม่ย กังเหยียน และผู้เชี่ยวชาญสองสามคนจากอารามนิรันดร์ติดตามอยู่ไม่ห่าง

เพราะอยู่ใกล้กับปราการหงส์เดียวดาย ร้านรวงต่าง ๆ จึงขายข้าวของที่ซูเฉินไม่เคยเห็นมาก่อน ทำให้เขาสนใจนัก

ซูเฉินเดินเข้าไปหาแผงลอยแห่งหนึ่งแล้วชี้ไปยังลูกประคำกระจกสีม่วงก่อนจะถามราคา

ประคำกระจกเช่นนี้ไม่มีผลใด ๆ เพียงแต่เป็นของหายาก เพราะมีขายแค่ในปราการหงส์เดียวดายเท่านั้น เป็นของสวยงามไม่น้อย มันเตะตาซูเฉินเข้า เขาจึงคิดจะซื้อไปฝากกู่ชิงลั่วสักเส้น

“เส้นละหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำหนึ่งก้อน” เผ่าเกล็ดทรายคนนั้นตอบ

ของไร้ค่าชิ้นหนึ่งแลกกับหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งก้อนเลยหรือ ? ซูเฉินอึ้งไป

เขาส่ายหน้าก่อนตอบปฏิเสธ ทว่าก็ไม่คิดว่าเผ่าเกล็ดทรายคนนั้นจะโกรธแล้วสบถใส่

ซูเฉินขมวดคิ้ว กำลังจะอ้าปากพูด ฉือหมิงเฟิงก็ได้เข้ามายั้งไว้ “หากไม่อยากซื้อก็อย่าได้ถามราคา ไม่เช่นนั้นก็จะถูกด่า ถูกข่มขู่ หรืออาจถูกทำร้ายร่างกายเลยก็ได้”

“เอาแต่ใจขนาดนั้นเลยหรือ ?” ซูเฉินตกตะลึง

“ก็เอาแต่ใจขนาดนั้นเลย หากท่านไม่อยากสร้างปัญหาก็ซื้อสักเส้นเถอะซื้อ็ซื้อสกดสนเถอ” ฉือหมิงเฟิงเอ่ย

“แล้วข้าจะเอาไปทำอะไร ?” ซูเฉินถาม

ฉือหมิงเฟิงยักไหล่ “เสียเงินเล็กน้อยขับไล่อันตราย เราเพิ่งจะมาถึง ท่านคงไม่อยากสู้กับใครใช่ไหมเล่า ? แค่หินพลังต้นกำเนิดก้อนหนึ่ง ท่านไม่ใส่ใจอยู่แล้ว”

“แต่ข้าไม่ชอบความรู้สึกถูกรีดไถเงินเช่นนี้” ซูเฉินโยนหินพลังต้นกำเนิดก้อนหนึ่งไปแล้วรับของมา จากนั้นก็จากไป

หลังซื้อของเสร็จ ทุกคนก็มุ่งหน้าเดินทางต่อและวิเคราะห์สถานการณ์ในเมืองไปด้วย

ฉือหมิงเฟิงกล่าว “แม้เมืองภูผาเมินจะเป็นเมืองของมนุษย์ แต่หลายปีมานี้ก็มีเผ่าเกล็ดทรายแทรกซึมเข้ามามาก ตอนนี้มีร้านขายของ ร้านพนัน โรงเตี๊ยม และจุดพักอูฐของเผ่าเกล็ดทรายเต็มไปหมด โดยเฉพาะกิจการจุดพักอูฐนั้นเข้าแทรกแซงยากนัก ใครที่คิดจะขายอสูรที่คล้ายอูฐอีกก็จะถูกเผ่าเกล็ดทรายทำร้าย”

จุดพักอูฐเหล่านี้คือสถานที่ขายอสูรที่เหมือนกับอูฐนั่นเอง

มีอสูรอูฐไม่กี่ชนิดที่จะข้ามเกาะหุบเหวไปได้ ตัวที่พิเศษหน่อยคืออูฐหมาป่า แรดทราย และงูบินมงกุฎใหญ่ อูฐหมาป่านั้นใช้ขนคนได้ดี มันนั่งสบาย กองทหารเผ่าเกล็ดทรายใช้มันแทนม้า แรดทรายนั้นอึดมาก แต่เคลื่อนไหวช้ามากเช่นกัน ดังนั้นจึงเหมาะกับการขนสินค้า ส่วนงูบินมงกุฎใหญ่สามารถพาข้ามเกาะหุบเหวไปได้โดยง่ายเพราะมันบินได้ แต่ก็ราคาสูงกว่ามาก อีกทั้งยังมีกำลังน้อย

“เผ่าเกล็ดทรายในเกาะหุบเหวเป็นพวกโจรหรือไร ?” ซูเฉินหัวเราะ

“ก็ใช่” ลูกน้องคนหนึ่งของฉือหมิงเฟิงตอบ “เผ่าเกล็ดทรายเป็นเผ่าที่ดุร้ายไร้มโนธรรมที่สุดเผ่าหนึ่ง กระทั่งเผ่าคนเถื่อนยังต้องยอม พอท่านเข้าปราการหงส์เดียวดายแล้วไม่ได้รับการคุ้มกันจากพวกเขา ท่านก็อาจถูกปล้นเมื่อไรก็ได้”

“แต่ที่นี่เป็นของพวกเราเผ่ามนุษย์ ทำไมถึงปล่อยให้เผ่าเกล็ดทรายพวกนี้ทำตามอำเภอใจได้ ?” ซูเฉินถาม

ลูกน้องคนนั้นหัวเราะเสียงเย็น “ก็เพราะข้อตกลงบัดซบนั่นอย่างไร เมื่อครั้งเผ่าคนเถื่อนกดดันเราอยู่ที่ชายแดน อาณาจักรเลยจำยอมต้องทำข้อตกลงกับเผ่าเกล็ดทรายเพื่อหากองทัพมาต้านเผ่าคนเถื่อนได้มากขึ้น ดังนั้นจึงทำสัญญาความสงบ เกาะหุบเหวจึงตกอยู่ในการควบคุมของเผ่าเกล็ดทราย ตอนนี้เรามีปัญหากับอีกแคว้นหนึ่ง เผ่าเกล็ดทรายจึงอ้างเหตุผลนี้มาทำตามอำเภอใจในเขตแดนของมนุษย์เราได้ พวกเขาก็เผ่าอ่อนแอเผ่าหนึ่ง แต่ใช้สัญญานั้นทำราวกับตนแกร่งเหนือใคร ล้วนเป็นพวกนอกคอก นอกกฎหมาย พวกคดโกง !”

ซูเฉินคิดว่าน่าขันนักที่ผู้ก่อการร้ายจะด่าคนอื่นเป็นว่าเป็นพวกนอกกฎหมายเสียเอง

“ถูกต้อง ๆ! โดยเฉพาะผู้เป็นหัวหน้าปัวเอ่อร์ ! เขาก่อกรรมทำชั่วมากมายจนพูนสูงถึงชั้นฟ้าจนบันทึกไม่ไหว” เยี่ยเม่ยว่าต่อ

ซูเฉินเอ่ย “เจ้าคิดประโยคนั้นมานานแล้วใช่หรือไม่ ?”

เยี่ยเม่ยเอ่ยเสียงประหลาดใจ “เจ้ารู้ได้ยังไง ?”

ซูเฉินตอบ “เจ้าใช้สำนวนเสีย 3 ครั้งในหนึ่งประโยค ไม่สมกับเป็นเจ้าเลย”

เยี่ยเม่ยเตะเขาเข้าให้ “ก็เจ้าไม่ใช่หรือที่ยืนยันว่าตัวหัวหน้าต้องเป็นคนชั่วเจ้าถึงจะยอมมา ?”

หนึ่งในข้อตกลงที่ซูเฉินบอกอารามนิรันดร์ไปเมื่อก่อนหน้าที่จะตกลงทำตามแผนคือเป้าหมายจะต้องเป็นพวกที่สมควรถูกจัดการ

การตัดสินของยุคนี้นั้นเรียบง่ายหยาบโลนนัก

มนุษย์ตัดสินถูกผิด ไม่ใช่ตามระเบียบมาตรฐาน แต่ตามสายตาที่ตนมองต่างหาก

หากแข็งแกร่งพอ ไม่ว่าทำอะไรก็นับเป็นเรื่องถูกได้

คนส่วนมากมองว่าการต้องจัดการใครสักคนนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายมีสิทธิ์ทำเช่นนั้นหรือไม่ แต่ขึ้นอยู่กับความรู้สึกว่าอีกฝ่ายสมควรตายหรือไม่

สมควรตายหรือไม่ย่อมมาจากมุมมองส่วนตน และจากมุมมองมารยาทที่เป็นที่ยอมรับของสังคมทั่วไปนั่นเอง

กระทั่งซูเฉินยังไม่อาจเมินกฎข้อนี้ได้ อีกทั้งเขาก็ไม่คิดทำเช่นนั้น หากทำการใดไม่มีข้อจำกัดก็หมายถึงไร้เส้นขีดยับยั้ง แต่หากมีข้อจำกัดมากเกินไปก็ไม่อาจใช้ชีวิตเป็นสุขได้

ดังนั้นเขาจึงหัวเราะ “ข้ารู้แล้ว เจ้าไม่ต้องย้ำหรอก จะรู้ได้ว่าใครดีหรือร้ายมีแต่ต้องลองเองเท่านั้น”

“แล้วจะลองอย่างไร ?”

ซูเฉินมองไปโดยรอบ เห็นสตรีคนหนึ่งอยู่ไม่ไกล กำลังเดินจูงวัวป่ามาตัวหนึ่ง ทว่าคนรอบข้างต่างมองแล้วหวาดกลัว พากันเดินหนีไปทางอื่น ไม่มีใครคิดอยากซื้อ สีหน้าสตรีนางนั้นก็อัปลักษณ์นัก เพราะนางขายวัวป่าไม่ได้

วัวป่านั้นเป็นสัตว์ขี่ที่อดทนทนทานมาก เคลื่อนที่ได้เร็ว ทั้งยังขนของหนักได้พอสมควร นับว่าใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าอูฐหมาป่าเสียอีก

แต่ที่มันไม่นิยมในเมืองภูผาเมินนั่นก็เพราะ เกาะหุบเหวไม่ได้เป็นผู้ผลิตวัวป่าพวกนี้

ดังนั้นพวกเผ่าเกล็ดทรายจึงไม่อยากให้อสูรประเภทนี้กลายมาเป็นสัตว์ขี่หลักของเกาะหุบเหว

ซูเฉินเดินเข้าไป เห็นว่านางขายตัวละหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อน

ถูกกว่าอูฐหมาป่านิดหนึ่งอีกต่างหาก

เขาว่า “ข้าซื้อวัวป่าตัวนั้น”

“ท่านทำอะไรน่ะ ?” ฉือหมิงเฟิงหมายจะหยุดยั้งเขาไว้

“ท่านบอกเองไม่ใช่หรือว่าหากไม่ขี่อสูรอูฐจะถูกเข้าโจมตี ?” ซูเฉินว่า “ข้าจึงอยากทดลองดูด้วยตนเอง”