บทที่ 71 ภรรยาผู้ใจแข็ง

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

บทที่ 71 ภรรยาผู้ใจแข็ง โดย EnjoyBook

บทที่ 71 ภรรยาผู้ใจแข็ง

น้องชายสามตระกูลหลินรู้ว่าเธอยังตาบอดเพราะทิฐิอยู่ เขาก็ได้แต่ถอนหายใจและไม่พูดอะไร

ในเมื่อน้องชายมาถึงที่นี่แล้ว หลินชิงเหอก็เชิญเขาร่วมทานอาหารกลางวันโดยไม่ปล่อยให้เขาแขวนท้องกลับไป

อาหารกลางวันของวันนี้ช่างเรียบง่าย เป็นหมูตุ๋นกับวุ้นเส้น หมูสามชั้นหมักผัดกับผักดองและเห็ดหูหนู โดยมีอาหารจานหลักเป็นหมั่นโถวขาว

“พี่ครับ พี่ไม่จำเป็นต้องทำอาหารอร่อย ๆ เยอะขนาดนี้ก็ได้ ให้เจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ทานเถอะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินมองเห็นอาหารที่อยู่บนเตาถ่านแล้วก็รีบแย้ง แต่หลินชิงเหอยังคงยืนยันที่จะทำ

“ต่อให้นายไม่ได้อยู่ที่นี่เราก็ทานแบบนี้อยู่แล้ว ชีวิตของพี่สาวนายไม่ดีเหมือนเมื่อก่อนแต่ยังไม่จนถึงขนาดนั้นหรอก ทำใจสบาย ๆ และกินไปซะ พี่สาวอย่างฉันเต็มใจจะทำให้นายกิน แต่คนอื่น ๆ ในตระกูลหลินน่ะอย่าหวังว่าจะได้กิน แล้วก็อย่าพูดเรื่องนี้เมื่อนายกลับบ้านไปแล้วล่ะ”

น้องชายสามตระกูลหลินหันไปทางเจ้าใหญ่ ซึ่งเจ้าใหญ่ก็ยืนยัน “เราทานกันแบบนี้จริง ๆ ครับ”

“อร่อย” เจ้ารองพยักหน้าเสริม

‘แน่สิว่ามันต้องอร่อย มีทั้งเนื้อ วุ้นเส้น หมูสามชั้นหมัก กับหมั่นโถวถึงขนาดนี้ มีอย่างไหนไม่ใช่ของดีบ้างล่ะ?’ น้องชายสามตระกูลหลินอุทานในใจ

แล้วชายหนุ่มก็กลับบ้านไปหลังจากทานอาหารกลางวันแสนอร่อยของบ้านพี่สาวเสร็จ

ตอนขามาเขารู้สึกเป็นกังวล แต่ตอนขากลับตอนนี้เขากลับโล่งใจมากกว่าเดิม ต่อให้ชีวิตของพี่สาวไม่ดีเหมือนเมื่อก่อน มันคงไม่เลวร้ายนักหรอกเมื่อมีพี่เขยคนขยันอยู่กับบ้าน

“น้องชายสามของคุณเป็นคนดีนะ” โจวชิงไป๋เอ่ยขึ้น

“ในบรรดาคนทั้งหมดของตระกูลหลินแล้ว มีแค่เขาเท่านั้นแหละค่ะที่ไม่เลวร้าย” หลินชิงเหอตอบ

โจวชิงไป๋ทำเพียงมองกลับ “คุณก็เหมือนกัน”

หลินชิงเหอแย้งอยู่ในใจว่าเธอไม่ใช่คนตระกูลหลิน และเจ้าของร่างเดิมก็ไม่ใช่คนดีอย่างที่เห็นด้วย

แต่เธอไม่ได้เอ่ยออกมา

ช่วงวันแรกของเทศกาลปีใหม่ได้ผ่านพ้นไปแล้ว และบรรยากาศปีใหม่ก็เริ่มซา ในวันที่เจ็ดของเทศกาลปีใหม่นี่เอง โจวเสี่ยวเม่ยก็ได้กลับเข้าไปในอำเภอ เพราะว่าในวันที่แปดหล่อนต้องเริ่มทำงานแล้ว

หลินชิงเหอให้โจวชิงไป๋อยู่บ้านคอยดูแลเด็ก ๆ ขณะที่เธอปั่นจักรยานพาโจวเสี่ยวเม่ยไปส่งในตัวอำเภอ เหตุผลหลักก็คือเธอไม่ได้ออกจากบ้านมานานมากแล้ว เธอต้องมีเหตุผลในการเอาของบางอย่างออกมาด้วยเหรอ?

หญิงสาวสลับกันปั่นจักรยานกับโจวเสี่ยวเม่ย มันคงเหนื่อยเกินไปสำหรับเธอหากจะเป็นฝ่ายปั่นจักรยานเพียงคนเดียวตลอดทาง

ครั้งนี้โจวเสี่ยวเม่ยกลับเข้าไปในอำเภอสะดวกกว่าแต่ก่อนมาก หล่อนดูมีความสุขไม่น้อยขณะโบกมืออำลาหลินชิงเหอ

ในตอนนี้เอง เพื่อนร่วมงานของหล่อนก็เข้ามาถาม “นั่นใครน่ะ? ญาติของเธอในเมืองนี้เหรอ?”

“พี่สะใภ้สี่ของฉันเองน่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตอบ

“พี่สะใภ้สี่ของเธอสวยจังเลย ฉันนึกว่าหล่อนเป็นสาวเมืองกรุงเสียอีก”

“ถึงพี่สะใภ้สี่ของฉันจะไม่ได้อยู่ในเมือง แต่หล่อนก็สวยที่สุดในหมู่บ้านของฉันแล้วล่ะ พี่ชายสี่ของฉันช่างโชคดีจริง ๆ” โจวเสี่ยวเม่ยพูด

เพื่อนร่วมงานของหล่อนยิ้ม ก่อนที่จะย่นคิ้ว “แล้วเธอจะวางแผนแต่งงานเมื่อไหร่ล่ะ?”

“ฉันกลับมาครั้งนี้ก็เพื่อจะบอกเลิกเขานี่เแหละ ฉันทนไม่ได้จริง ๆ หากต้องเกาะครอบครัวเขากิน พื้นหลังครอบครัวฉันเป็นชาวชนบทน่ะ” โจวเสี่ยวเม่ยตอบขณะข่มกลั้นอารมณ์

พี่สะใภ้สี่สอนหล่อนแบบนี้ ว่าหากเป็นเธอก็จะอธิบายไปแบบนี้เหมือนกัน

เมื่อหล่อนบอกไปแบบนี้ มันก็ทำให้เพื่อนร่วมงานของหล่อนรู้สึกนับถือ “เป็นคนชนบทแล้วมันผิดตรงไหนล่ะ? อยู่ชนบทไม่เห็นต้องกังวลเรื่องอาหารการกินอะไรเลย!”

“ช่างเถอะ ฉันทนไม่ไหวกับการเพิ่มสถานะทางสังคมให้ตัวเองแล้ว ช่วยนำปิ่นอันนี้ไปคืนเขาให้ฉันหน่อยนะ” โจวเสี่ยวเม่ยขอร้องขณะหยิบปิ่นออกมา

“ปิ่นอันนี้สวยมากเลย” เพื่อนของหล่อนเอ่ย

“ในเมื่อเธอเห็นว่ามันสวย ก็เอาไปให้เขาแล้วให้เขาเอาปิ่นนี้มอบให้เธอแทนเถอะ” โจวเสี่ยวเม่ยเอ่ยจบแล้วก็กลับไปที่หอพักของเธอ

อีกฝ่ายได้ยินก็หน้าแดง จากนั้นจึงกระซิบกับตัวเอง “ฉันไม่ได้แย่งเขามาจากเธอนะ เป็นเธอเองนั่นแหละที่ไม่อยากได้เขา”

ไม่ถึงสามวันหลังจากนั้น โจวเสี่ยวเม่ยก็เห็นผู้ชายคนเก่าของหล่อนกำลังพาเพื่อนร่วมงานคนนั้นไปทานอาหารเย็นด้วยกัน ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันไม่น้อย

เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ ต่างเข้ามาถามหล่อนในเรื่องนี้ โจวเสี่ยวเม่ยจึงอธิบายทุกคนเป็นอย่างเดียวว่า หล่อนไม่สามารถเข้ากับอีกฝ่ายได้ และเขาก็ควรเจอคนที่ดีกว่านี้ แม้ว่าหล่อนเองจะไม่ใช่คนที่มีเหตุผลนัก แต่หล่อนก็ยังรู้จักเจียมตัวอยู่!

เรื่องนี้ทำให้เพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ เกิดความเห็นใจหล่อน และเป็นเพราะเรื่องนี้เองที่พวกหล่อนมีความนับถือโจวเสี่ยวเม่ยอย่างสูงและรู้สึกว่าหล่อนก็น่าจะเป็นเพื่อนที่ดีได้ ไม่เหมือนกับคนบางคนที่ก่อนหน้านี้พวกหล่อนคิดว่าเป็นคนดี ที่ไหนได้กลับแย่งผู้ชายของเพื่อนตัวเอง ช่างไร้ยางอายจริง ๆ!

โจวเสี่ยวเม่ยไม่สนใจเรื่องนี้ เพราะหลังจากที่หล่อนบอกเลิกชายคนนั้น ก็มีผู้ชายคนอื่นมาจีบเนื่องจากคุณสมบัติอันสูงส่งของหล่อน

หญิงสาวปฏิบัติตามสิ่งที่พี่สะใภ้สี่บอก หลังพิจารณาทีละคนแล้ว หล่อนก็พบว่าไม่มีผู้ชายคนไหนที่ตรงกับคุณสมบัติอย่างที่พี่สะใภ้สี่บอกเลย

ทั้งเรื่องที่เขาต้องเลี้ยงทั้งครอบครัวเองคนเดียว หรือไม่ก็มีรูปร่างหน้าตาไม่น่ามอง หรือไม่ก็มีบ้านหลังเล็กเกินไป

โดยสรุปแล้วไม่มีใครที่ตรงคุณสมบัติของหล่อนเลยสักคน

ท้ายที่สุดโจวเสี่ยวเม่ยก็ครองตัวเป็นโสดต่อไป ตอนนี้หล่อนเชื่อคำสอนของพี่สะใภ้สี่อย่างปักใจและรู้สึกว่าสิ่งที่เหลืออยู่คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว

ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่มีใครเลือก แต่เป็นเพราะหล่อนไม่เลือกใครเลยมากกว่า ไม่ใช่ว่าหล่อนไม่เป็นที่ต้องการ แต่เป็นเพราะหล่อนเป็นที่ต้องการของคนอื่นมากต่างหาก

นี่คือเรื่องจริง

ไม่ต้องพูดถึงคนในครอบครัวของโจวเสี่ยวเม่ยเลย หล่อนมีพี่ชายหลายคน นับว่าหล่อนมีฐานะดีอยู่ หากมีคนแต่งงานกับหล่อนแล้ว ชายคนนั้นก็ไม่ต้องกังวลในเรื่องความต้องการของครอบครัวฝั่งแม่ยายที่มีต่อครอบครัวฝั่งลูกเขยเลย

บางทีพวกเขาเองนั่นแหละจะเป็นฝ่ายให้ความช่วยเหลือครอบครัวลูกเขยในเมือง

ครอบครัวฝั่งแม่หลายครอบครัวที่มาจากชนบทล้วนแบ่งอาหารให้กับครอบครัวของลูกสาวที่อยู่ในเมือง

ยิ่งกว่านั้นโจวเสี่ยวเม่ยยังมีรายได้เป็นของตัวเองอีกด้วย ไม่มีอะไรดีกว่านี้อีกแล้ว

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องผิดที่จะบอกว่าโจวเสี่ยวเม่ยเป็นหญิงสาวที่ใคร ๆ ต่างต้องการ แต่หล่อนไม่มีความสนใจที่จะเลือกคู่ครองในตอนนี้

หลินชิงเหอที่อยู่ในชนบทรู้เรื่องนี้ เพราะหลังจากที่โจวเสี่ยวเม่ยได้ตัดสัมพันธ์จากผู้ชายคนนั้นแล้ว หล่อนก็กลับมาที่บ้านเดิมหนึ่งหรือสองครั้งต่อเดือนและเล่าเรื่องนี้ให้เธอฟัง

ในชั่วพริบตาเดียวก็เข้าสู่เดือนมีนาคม ฤดูแห่งการฟื้นฟูของทุกสิ่งทุกอย่าง

“คุณลองดูรอบ ๆ หมู่บ้านเราหน่อยสิว่ามีใครมีลูกเจี๊ยบบ้าง จะได้ไปขอซื้อมาเลี้ยง” หลินชิงเหอบอกกับสามีในวันหนึ่ง

“ครอบครัวเรามี 5 คน ดังนั้นเราจะเลี้ยงได้สูงสุด 3 ตัว” โจวชิงไป๋เอ่ย

ตอนนี้เองหลินชิงเหอก็นึกขึ้นได้ว่าในยุคนี้มีข้อจำกัดอยู่ คนสองคนจะเลี้ยงไก่ได้ 1 ตัว ครอบครัวของเธอมี 5 คน ดังนั้นจะเลี้ยงไก่ได้สูงสุดแค่ 3 ตัว

“คุณไปขอมา 6 ตัวเลย ลูกเจี๊ยบน่ะตายง่ายจะตาย” หลินชิงเหอตัดสินใจ

โจวชิงไป๋ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้ เพราะมันเป็นเรื่องจริง แผนของหลินชิงเหอก็คือถ้าหากพวกมันรอดชีวิตทั้งหมด เธอก็จะรอจนกว่าพวกมันจะโตพอให้เชือดเพื่อใช้เป็นอาหารภายในครอบครัว

ในตอนนี้เป็นเรื่องง่ายในการเลี้ยงลูกเจี๊ยบ โจวชิงไป๋จึงไปซื้อมา 6 ตัว

หลักปฏิบัติพื้นฐานคือให้เลี้ยงไก่จำนวนมาก ๆ ในตอนที่พวกมันยังเป็นลูกเจี๊ยบอยู่ เมื่อคำนึงถึงเรื่องที่ลูกเจี๊ยบอาจตายก่อนที่จะโตแล้ว ก็จะไม่มีใครเอ่ยอะไรได้

หากพวกมันมีชีวิตอยู่จนโตเต็มวัย เรื่องนั้นต่างหากจะเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้

ทำตัวแบบชาวสังคมนิยมทั่วไปดีกว่าเป็นเมล็ดพันธุ์ทุนนิยม ถ้าเธอเลี้ยงไก่มากกว่านี้ เธอก็จะเป็นอย่างหลัง

มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยในการใช้ชีวิตยุคนี้

“หมูของเราน่าจะส่งเข้าโรงเชือดได้ภายในปีนี้แล้วล่ะค่ะ ตอนนั้นฉันคิดว่าพวกมันคงจะหนักราว 200 ชั่งแล้ว” หลินชิงเหอมองหมูสองตัวที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีแล้วก็เอ่ยขึ้น

“ประมาณนั้นแหละ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

หลังคุยเรื่องหมูกับสามีเสร็จ หลินชิงเหอก็ตะโกนเรียกลูกชาย “เจ้ารอง มาขุดหาผักป่ากับแม่หน่อยเร็ว”

เจ้าสามเดินตามเจ้ารองมาด้วย จากนั้นสามแม่ลูกก็หิ้วตะกร้าเดินไปเก็บผักป่า

โจวชิงไป๋มองแม่และลูกชายทั้งสองด้วยสายตาที่อ่อนโยนลง แต่แล้วก็พลันถอนหายใจอีกครั้ง

เขาไม่ยอมปล่อยให้ภรรยาได้ทำธุรกิจของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่ยอมให้เขาได้เข้าใกล้ ซึ่งดูจากท่าทีแล้วมันก็ไม่มีสัญญาณว่าภรรยาใจแข็งผู้นี้จะยอมใจอ่อนบ้างเลย

……………………………………………………………………………………