บทที่ 72 นอนห้องข้าง ๆ โดย EnjoyBook
บทที่ 72 นอนห้องข้าง ๆ
เธออยากให้เขาเป็นพระถือครองพรหมจรรย์ตลอดชีพงั้นเหรอ?
คิดดังนี้แล้วโจวชิงไป๋ก็ย่นคิ้ว ยังไงเรื่องนี้ก็รับไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องปกติเลยที่คนเป็นสามีภรรยาจะไม่มีอะไรกันเลยสักครั้ง
มันผิดปกติอย่างไม่ต้องสงสัย!
แต่เขาก็ยังไม่ได้รับอนุญาตจากภรรยาของเขาสักที
โจวชิงไป๋มองหมูสองตัวที่กำลังเติบโตอย่างอ้วนท้วนสมบูรณ์แล้วก็เป็นกังวลขึ้นมาหน่อย ๆ
ไม่ได้มีแค่โจวชิงไป๋ที่รู้สึกงุ่นง่าน หลินชิงเหอเองก็ร้อนใจยิ่งกว่า ตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิอันเป็นฤดูที่ทุกสิ่งทุกอย่างกลับมามีชีวิตชีวาแล้ว เมื่อวานซืนนี้ตอนที่เธอไปซื้อเนื้อ เม่ยเจี่ยก็ได้แต่ถามเธอว่าเมื่อไหร่จะเริ่มซื้อเนื้อไปขาย ทางฝั่งนั้นพร้อมแล้วแต่ติดที่โจวชิงไป๋ไม่ยอมให้เธอทำงานนี้เสียที
พูดถึงเรื่องนี้แล้วหลินชิงเหอก็ต้องยอมใจโจวชิงไป๋ในเรื่องนี้ เขาทนความทรมานทั้งหลายทั้งปวงได้แถมยังยืนหยัดอยู่ในจุดยืนของเขาได้อีก นับว่ามีฝีมือนัก
แต่หญิงสาวก็ไม่มีเวลาที่จะมาเสียให้เขา ดังนั้นเธอจึงตั้งใจว่าคืนนี้จะให้รางวัลกับเขาสักหน่อยแล้วจะบีบให้เขาเห็นด้วยให้ได้!
ใช่แล้วล่ะ ตั้งแต่สมัยโบราณมา มารยาเคลือบน้ำผึ้งแสนหวานที่สาวงามใช้ล้วนไม่เคยพลาดในการทำให้วีรบุรุษทั้งหลายต้องมาตกม้าตาย ดังนั้นเธอจะมอบผลประโยชน์บางอย่างให้กับเขาแล้วกัน ถ้าเขาปฏิเสธแล้วล่ะก็ เธอก็จะทำให้เขาอารมณ์ค้างจนทนไม่ไหวเลยคอยดู!
หลินชิงเหอตัดสินใจแล้วก็เก็บผักป่าใส่ตะกร้ากับลูก ๆ จนเต็ม
ผักป่าพวกนี้กินก็อร่อย ใช้เลี้ยงหมูก็เหมาะสม
หลังจากนั้นพวกเขาก็คงจะเพาะปลูกผักขมไว้ใช้เป็นอาหารชั้นเลิศสำหรับหมูได้
ผักที่เธอเก็บได้เป็นของ ๆ เธอเองต่อให้ฝ่ายผลิตจะเป็นเจ้าของพื้นที่ตรงนี้ก็ตาม เธอจึงเต็มใจเก็บรวบรวมผักขมมา จุดประสงค์หลักก็เพื่อประหยัดธัญพืชที่มีอยู่
หลังขุดผักป่ามาได้เต็มตะกร้า หลินชิงเหอก็พาลูก ๆ กลับบ้าน มันเพิ่งจะเลยเวลาเก้าโมงเช้าไม่นานนัก ซึ่งเวลานี้โจวชิงไป๋ก็ได้ออกไปทำงานแล้ว
หลินชิงเหอห่อเกี๊ยวไส้หมูผสมผักจี้ฉ่าย(1) เตรียมไว้สำหรับอาหารค่ำวันนี้ ส่วนเวลาที่เหลือจากนั้นเธอก็เลี้ยงหมู ถึงเวลาต้องให้หมูได้กินเกลืออาหารเสริมบ้างแล้ว
มีเพียงเธอ เจ้ารอง และเจ้าสามเท่านั้นที่อยู่บ้านในตอนนี้ แล้วเจ้าใหญ่หายไปไหนล่ะ? คำตอบก็คือเขาเข้าโรงเรียนแล้วในทันทีที่เปิดการศึกษาภาคฤดูใบไม้ผลิ โดยมีโจวชิงไป๋เป็นคนไปส่งเขาที่โรงเรียนประถมของฝ่ายผลิตด้วยตัวเอง
หลังผ่านการฝึกฝนในฤดูหนาวจากหลินชิงเหอ เจ้าใหญ่ก็สามารถเรียนทันเพื่อน ๆ ด้วยความรู้ที่มีอยู่ในตอนนี้ หลินชิงเหอจึงไม่เป็นกังวลมาก
เพื่อให้ลูกชายคนโตไปโรงเรียนได้อย่างสงบสุข เธอก็จัดการเย็บกระเป๋านักเรียนให้เขาหนึ่งใบ ไม่ยอมให้เขาทำกระเป๋าทหารของผู้เป็นพ่อเสียหายหรอก
เจ้าใหญ่รู้สึกลิงโลดมากเมื่อได้กระเป๋านักเรียนฝีมือแม่ใบใหม่ เขาไปโรงเรียนพร้อมกับผู้เป็นพ่ออย่างมีความสุขไร้เสียงบ่นว่าจากแม่
นับตั้งแต่ต้นฤดูใบไม้ผลิจนถึงตอนนี้ ถือว่าเขาปรับตัวได้ดีมากเลยทีเดียว
ในตอนเที่ยงวันนี้เอง เจ้าใหญ่ก็กลับมาที่บ้าน ขณะเดียวกันก็ได้เวลาเลิกงานของโจวชิงไป๋
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่กินพลังอย่างมาก หลินชิงเหอจึงไม่สนใจเจ้าใหญ่นัก แต่พุ่งความสนใจไปที่โจวชิงไป๋ผู้เป็นเสาหลักของบ้าน
เธอเตรียมน้ำอุ่นพร้อมกับสบู่ล้างหน้าแบบเย็นไว้ให้เขา
โจวชิงไป๋ที่รู้จักนิสัยของภรรยาตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านแล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจขึ้นมา หากเขาอยากให้เธอก้มหัวมันก็คงไม่ใช่วิสัยของเธออย่างมาก
ดูจากการกระทำที่ผ่านการใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีในวันนี้แล้ว เห็นชัดว่าเธอต้องการอะไรบางอย่าง
เธอตั้งใจจะใช้ท่าไม้ตายกับเขางั้นเหรอ? เขาจะทนคมมีดอันแสนนุ่มนวลจากภรรยาได้หรือเปล่านะ?
แต่ไม่ว่าชายหนุ่มจะคิดอย่างไร เขาก็มีท่าทีสงบอย่างยิ่งและเพลิดเพลินไปกับการดูแลเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันจากภรรยา
อาหารกลางวันนี้เป็นเกี๊ยวไส้หมูผสมผักจี้ฉ่าย รสชาติของมันช่างอร่อยล้ำและให้ความรู้สึกสดใหม่จริง ๆ
ผักจี้ฉ่ายในฤดูนี้มีกลิ่นหอมและรสสัมผัสนุ่มลิ้นอย่างมาก หลินชิงเหอเองก็ชอบทานผักชนิดนี้
หลังทั้งครอบครัวทานอาหารกันจนอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกเขาก็พากันนอนพักกลางวัน หลินชิงเหอเริ่มทวนความรู้ที่เจ้าใหญ่เรียนไปเมื่อเช้า จากนั้นก็เสริมความรู้ให้ ก่อนจะให้คำถามในตอนท้ายเพื่อให้เขากลับไปหาคำตอบ
“แม่ ทำไมผมรู้สึกว่าแม่ถามคำถามเก่งกว่าครูที่โรงเรียนอีกล่ะครับ” เจ้าใหญ่ถึงกับถอนหายใจเมื่อเจอคำถามยาก ๆ จากผู้เป็นแม่เข้า
‘นั่นแหละสิ่งสำคัญในชีวิตของคนเป็นแม่อย่างฉันล่ะ คะแนนสอบเข้าวิทยาลัยของฉันได้มากกว่า 600 คะแนน แล้วระหว่างเรียนในวิทยาลัย ฉันก็เป็นนักเรียนดีเด่นที่ได้รับทุนการศึกษาขณะเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยอีกนะ’ หลินชิงเหอตอบในใจ
แต่หญิงสาวกลับเอ่ยออกมาว่า “จงถือว่าตอนนี้เป็นโอกาสในการเรียนรู้เสียเถอะ ลูกไม่รู้หรอกว่าแม่ในตอนเด็กน่ะอยากเรียนหนังสือแทบแย่แต่คุณตาคุณยายก็ห้ามไว้ สิ่งที่แม่สอนไปคือสิ่งที่แม่ได้เรียนมาหลังผ่านความลำบากมามาก แม่เลยไม่ใช่คนไม่รู้หนังสืออย่างไรล่ะ”
โจวชิงไป๋ได้ยินดังนี้ก็อดไม่ได้ที่จะมองหญิงสาว เขารู้เสมอว่าภรรยาของเขาอ่านออกเขียนได้ ตอนที่นัดดูตัวกัน เธอก็เคยพูดเรื่องนี้อยู่ แต่หลายปีมาแล้วเธอกลับไม่เคยเขียนจดหมายหาเขาเลยสักฉบับ
เขาเห็นแล้วว่าลายมือของเธอช่างงดงามมากนัก แม้แต่นักศึกษาในวิทยาลัยโดยเฉลี่ยก็อาจเขียนหนังสือได้ไม่สวยเท่าที่เธอเขียน
แม้โจวชิงไป๋จะไม่เคยเอ่ยอะไร แต่หลินชิงเหอรับรู้ได้ว่าสายตาของเขาหมายความว่าอย่างไร
หลินชิงเหอเหลือบมองครู่เดียว จากนั้นก็ละสายตาทำเป็นไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น เธอไม่ได้เป็นคนทำ ทำไมต้องรับผิดด้วย
แต่สายตาของชายเบื้องหลังเธอช่างรุนแรงนัก ทำให้เธอรู้สึกกระวนกระวายและอึดอัด
“ตอนนี้อากาศก็อุ่นขึ้นแล้ว ดังนั้นลูก ๆ นอนห้องข้าง ๆ แล้วกันนะ” หลินชิงเหอเอ่ยพลางกระแอมไอ
ทันทีที่หญิงสาวพูดแบบนั้น เธอก็รู้สึกว่าสายตาของชายหนุ่มไหวระริกมากกว่าเดิม
“ผมอยากนอนห้องนี้!” เจ้าใหญ่เป็นคนแรกที่ประท้วง
“ขนาดหยางหยางยังบอกผมเลยว่าเขานอนกับพ่อกับแม่” คราวนี้เป็นเจ้ารองเอ่ยขึ้นมาบ้าง
หยางหยางในที่นี้คือโจวหยาง ลูกชายของป้าสะใภ้ใหญ่
“หยางหยางไม่มีทางเลือกเพราะทั้งครอบครัวเขามีเตียงเตาแค่หลังเดียว แต่ครอบครัวเรามีตั้งสองหลัง เราปล่อยให้เตียงเตาอีกหลังหนึ่งอมฝุ่นไม่ได้หรอก” หลินชิงเหอบอกตรงไปตรงมา
“แล้วเจ้าสามล่ะครับ?” เจ้าใหญ่ชี้ประเด็น
“ลูกเทียบตัวเองกับน้องที่ยังพูดไม่คล่องงั้นเหรอ?” หลินชิงเหอเอ่ยสบประมาท
ตอนนั้นเองเจ้าใหญ่ก็ไม่มีอะไรจะพูด เขาเตะเจ้ารองเป็นเชิงเร่งให้น้องชายพูดอะไรสักอย่าง
“แม่ครับ แม่จะลำเอียงกับเจ้าสามคนเดียวไม่ได้นะครับ แม่คลอดพวกผมมาทั้งหมด” เจ้ารองบอก
“ก็ได้ งั้นให้เจ้าสามนอนกับลูก ๆ สองคน ถ้าน้องฉี่รดที่นอนแล้วลูก ๆ กล้าตีเขา แม่จะตีลูกสองคนจริง ๆ ด้วย!” หลินชิงเหอแค่นเสียง
นับตั้งแต่ที่เธอทะลุมิติมา เจ้าสามก็ฉี่รดที่นอนไปสองครั้ง ถึงจะเป็นแค่สองครั้ง แต่มันก็ทำให้กางเกงของเจ้าใหญ่เปียกและเปื้อนตัวเจ้ารองด้วยเหมือนกัน สองพี่น้องรู้สึกโมโหมากจนอยากจะตีน้องเล็กเลยทีเดียว
เจ้าใหญ่ไม่เคยลืมเรื่องนั้น เขาเลยเอ่ยยอมรับ “ช่างเถอะครับ ให้น้องนอนห้องนี้ก็ได้”
“เจ้าสามนอนห้องนี้ก็ได้ครับ พี่ใหญ่กับผมจะไปนอนอีกห้องหนึ่งเอง” เจ้ารองพยักหน้า
เจ้าสามกอดแม่ไว้แน่น แสดงให้รู้ว่าเขาไม่อยากนอนกับพี่ ๆ ทั้งสองคน แต่อยากนอนกับแม่มากกว่า
“ตกลง งั้นเรื่องนี้ก็เป็นอันลงตัวด้วยดีแล้วนะ” หลินชิงเหอสรุป
ในทันทีที่หญิงสาวเงยหน้าขึ้น เธอก็สบสายตาล้ำลึกของโจวชิงไป๋เข้าพอดีจนหัวใจเต้นแรง ก่อนจะเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบสงบ “คุณมองอะไรกันคะ? ไม่เคยเห็นเรื่องนี้มาก่อนเหรอ?”
“ลูกทำการบ้านในห้องข้าง ๆ ไปนะ” โจวชิงไป๋ออกคำสั่งกับเจ้าใหญ่
เจ้าใหญ่มองพ่อแล้วก็รู้สึกว่าเขาไม่อาจขัดคำสั่งได้ในครั้งนี้และรีบหอบการบ้านไปที่ห้องนอนอีกห้องหนึ่งทันที เจ้ารองเห็นพ่อมองมาก็คิดจะถอยตัวออกจากห้องเช่นกัน แต่ก็ได้ยินพ่อเอ่ยขึ้นมาก่อน “พาน้องออกไปด้วยสิ”
“ไม่เอา เดี๋ยวเขาจะกวนผม!” เจ้าใหญ่ตะโกนร้อง
แต่ไม่ว่าเขาจะประท้วงอย่างไร เจ้ารองก็อุ้มเจ้าสามไปยังห้องข้าง ๆ เรียบร้อย ส่วนเจ้าสามก็ร้องขอปากกากับสมุดวาดรูปจากพี่ชายเพื่อเอามาวาดเขียนเล่น ไม่อย่างนั้นแล้วเขาจะร้องไห้โยเย!
“อ๊ะ ฉันเพิ่งนึกออกน่ะค่ะว่ายังไม่ได้ขัดหม้อเลย” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยท่าทีนึกขึ้นได้ เธออยากจะหนีออกจากห้องบัดเดี๋ยวนั้นเหลือเกิน สายตาของชายหนุ่มช่างร้อนแรงเสียจนสามารถแผดเผาผู้คนได้!
แต่แล้วโจวชิงไป๋ก็ดึงมือของหลินชิงเหอไว้จนเธอเซล้มลงมาอยู่ในอ้อมแขนของเขา “ผมขัดมันแล้วล่ะ” ……………………………………………………………………………………