บทที่ 765 : พบหน้ากันอีกครั้ง!
“งั้นก็ดี!”
หลิงหยุนตกลงอย่างง่ายดายจากนั้นจึงถามขึ้นว่า “ครูกง.. มาปักกิ่งแล้วจะไปพักที่ใหน ถ้ายังไม่มีผมช่วยคุณได้!”
“ไม่ล่ะ..” กงเสี่ยวลู่รีบปฏิเสธ พ่อแม่ของเธอก็อาศัยอยู่ที่ปักกิ่ง และเธอก็คงต้องไปพักที่นั่น
แต่ตั้งแต่เกิดเรื่องที่ทำให้เธอต้องเจ็บปวดอย่างมากนั้นผ่านมาหกปีแล้วที่กงเสี่ยวลู่ไม่เคยกลับมาที่บ้านพ่อแม่ของเธออีกเลย หากต้องมาทำธุระที่ปักกิ่ง เธอก็เลือกที่จะพักอยู่ที่โรงแรมแทน
หลิงหยุนรู้ดีว่ากงเสี่ยวลู่นั้นยังไม่มีที่พักในปักกิ่งเขาจึงตอบกลับไปว่า “ผมจะจัดการทุกอย่างให้กับคุณเอง คุณบอกเที่ยวบินผมมา แล้วผมจะไปรับคุณที่สนามบิน..”
ใบหน้าของกงเสี่ยวลู่เปลี่ยนจากขาวเป็นแดงฟันสีขาวเป็นประกายกัดริมฝีปากสีชมพูไว้แน่น และพยักหน้าอย่างดีอกดีใจ
หลิงหยุนหันไปถามเกาเฉินเฉินที่นั่งอยู่ทางขวามือพร้อมกับส่งสายตาแทนคำถามว่าเธออยากจะคุยกับครูประจำชั้นหรือไม่
เกาเฉินเฉินส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธเป็นการบอกว่าเธอไม่ต้องการคุยกับครูประจำชั้นในเวลานี้..
หลิงหยุนรู้ดีว่าเกาเฉินเฉินยังไม่พร้อมและคงไม่รู้ว่าจะคุยอะไรกับครูกงในตอนนี้ เขาจึงไม่คะยั้นคะยออีก และคุยกับกงเสี่ยวลู่ต่ออีกหน่อยแล้วจึงกดวางสาย
หลังจากที่กดวางสายไปแล้วหลิงหยุนก็โทรหาถังเมิ่งสอบถามเรื่องโรงแรมที่เขาพักอยู่ จากนั้นก็บอกกับถังเมิ่งว่าเขากำลังเดินทางกลับ แล้วจึงกดวางสายไป
หลิงหยุนรู้ดีว่าทั้งเสี่ยวเม่ยหนิงฉางหลิง เฉิงเมี่ยน และคนอื่นๆ ต่างก็เป็นห่วงเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุน และทุกคนก็จะต้องโทรเข้ามาหาเขาอย่างแน่นอน และเพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน เขาจึงโยนโทรศัพท์มือถือเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ และโลกของเขาก็เงียบสงบขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนหันไปมองสีหน้าสับสนของเกาเฉินเฉินอยู่นานในที่สุดเขาก็หัวเราะออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“คะแนนออกมาเป็นศูนย์แบบนี้ก็ดีพวกเราสองคนจะได้เท่าเทียมกัน ฮ่า.. ฮ่า..”
เกาเฉินเฉินรู้ดีว่าหลิงหยุนนั้นต้องการพูดปลอบใจเธอเธอจึงรู้สึกอิ่มเอมหัวใจ แต่ก็พูดออกไปอย่างกังวลใจ
“จะเหมือนกันได้ยังไงฉันไม่มีโอกาสเข้าสอบเอนทรานซ์ด้วยซ้ำไป แต่จากที่ฉันเห็นความสามารถของนาย ฉันเชื่อว่านายต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้พันเปอร์เซ็นต์ แล้วทำไมคะแนนสอบถึงออกมาเป็นศูนย์ได้ล่ะ?”
การที่ผลสอบออกมาเป็นศูนย์เช่นนี้หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกอะไร และไม่สนใจ “เฉินเฉิน.. ผมบอกไปแล้วไงว่าเรื่องนี้ต้องมีคนอยู่เบื้องหลัง คุณไม่ต้องกังวลใจไป ผมจะสืบสาวหาความจริงเรื่องนี้เอง!”
น้ำเสียงของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชาและแววตาเป็นประกายดุดันขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนนั้นไม่ได้สนใจผลสอบเลยแม้แต่น้อยเรียกว่าไม่ใส่ใจเลยด้วยซ้ำไปก็ได้ แต่ใครก็ตามที่คิดจะจัดการกับเขา และอยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ต่างหาก ที่เขายอมไม่ได้ และเขาจะต้องจัดการสังหารพวกมันเสีย!
“ใกล้ถึงแล้วล่ะเฉินเฉิน..คุณกำลังจะได้พบกับคนในครอบครัวของคุณแล้ว!”
เมื่อรถเลี้ยวที่หัวมุมก็มาถึงบริเวณบ้านของหลิงหยุน หลิงหยุนยังไม่วางใจนัก ระหว่างทางเขาจึงหาวิธีทำให้เกาเฉินเฉินผ่อนคลายลง และไม่เครียดมาก
แม้ว่าเกาเฉินเฉินจะแข็งแกร่งมากพอจิตใจของเธอก็ไม่น่าจะรับและทนต่ออะไรได้มาก เพราะคนเรานั้นหากเสียใจมากเกินไป ก็อาจจะล้มลงได้
เมื่อได้ฟังคำถามของหลิงหยุนเกาเฉินเฉินก็จ้องมองหน้าหลิงหยุนนิ่ง เธอกำมือแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจลึกเข้าไปสองสามอึกใหญ่ และพยายามสงบจิตสงบใจก่อนจะกัดฟันพูดออกไปว่า
“หลิงหยุน..ไม่ต้องห่วงฉัน! ฉันได้เตรียมใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของฉันมาระดับหนึ่งแล้ว”
หลิงหยุนพยักหน้าไม่พูดอะไรทุกคนบนโลกใบนี้ล้วนมีเรื่องที่ตนเองต้องเผชิญ และยากที่จะหลีกเลี่ยงได้!
แม้แต่ตัวหลิงหยุนเองก็เช่นกันตั้งแต่เขาผ่านบททดสอบไม่สำเร็จ และต้องมาเกิดใหม่บนโลกมนุษย์นั้น เขาเองก็ต้องเผชิญกับความลำบากมากมาย และคงไม่มีใครที่จะหนักหนาสาหัสไปกว่าเขาอีก
และเวลานี้เขาเองก็มีศัตรูอยู่มากมาย..
แต่ไม่ว่าจะลำบากยากเย็นมากเพียใดหรือต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากเพียงใด สิ่งเดียวที่หลิงหยุนนึกอยู่ในใจตลอดก็คือ.. ต้องเผชิญหน้ากับมัน!
และต้องเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญ!ในพจนานุกรมของหลิงหยุนจึงไม่มีคำว่า ‘ยากและไม่มีทางเป็นไปได้’!
หลิงหยุนขับรถไปจอดอยู่หน้าบ้านแล้วจึงเรียกเกาเฉินเฉิน “เฉินเฉิน.. ลงมาได้แล้ว!”
หลิงหยุนก้าวลงมาจากรถก่อนแล้วจึงร้องบอกให้เกาเฉินเฉินก้าวออกมา ใบหน้าที่ซีดขาวของเธอนั้นบ่งบอกว่าตื่นเต้นอย่างมาก และร่างกายก็กำลังสั่นเทิ้ม
หลิงหยุนได้บอกเกาเฉินเฉินแล้วว่านอกเหนือจากเกาเทียนหลงแล้ว ก็ยังมีคนตระกูลเกาอีกสิบชีวิตที่รอดมาได้ แต่ก็มีสภาพครึ่งคนครึ่งแวมไพร์!
แม้ว่าเกาเฉินเฉินจะเป็นดั่งเจ้าหญิงน้อยของตระกูลเกาและได้รับการอบรมมาอย่างดีตั้งแต่เด็กต่างจากคนธรรมดาทั่วไป แต่อายุเพียงแค่สิบแปดปีก็ต้องเผชิญหน้ากับโศกนาฏกรรมที่ยากเกินกว่าจะยอมรับได้
“ผมจะเข้าไปเป็นเพื่อนคุณ..เฉินเฉินคุณมั่นใจได้มีผมอยู่ข้างๆทั้งคน!”
หลิงหยุนพูดเพียงเท่านั้นและยื่นมือที่แข็งแกร่งของตนเองออกไปโอบรอบเอวของเกาเฉินเฉิน แล้วพากระโดดเข้าไปในบ้าน หลิงหยุนต้องการให้เกาเฉินเฉินรู้สึกปลอดภัย..
เกาเฉินเฉินไม่ขัดขืนและเวลานี้เธอก็อยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน ร่างที่เกร็งของเธอค่อยๆผ่อนคลายมากขึ้น จากนั้นจึงหันไปมองหลิงหยุนด้วยดวงตาที่รื้นไปด้วยน้ำตา เธอจ้องหน้าหลิงหยุนพร้อมกับเอ่ยออกมาว่า
“หลิงหยุน..ขอบคุณมาก!”
หลิงหยุนไม่ตอบและโอบเอวเกาเฉินเฉินไว้แน่นเขาเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจไปรอบๆ ก็พบว่าไม่มีคนแปลกหน้าอยู่ด้านใน จึงรีบพาร่างของเกาเฉินเฉินกระโดดเข้าไปในลานบ้าน และตรงไปที่ทางเข้าชั้นใต้ดิน
เกาเฉินเฉินสัมผัสได้ถึงลมพัดเบาๆข้างหูจึงได้แต่หลับตาลง และหลังจากที่ลืมตาขึ้นภาพตรงหน้าก็มีเพียงหมอกหนาจนไม่สามารถมองเห็นอะไรได้
และนี่คือค่ายกลเขาวงกต..
“ทุกคนอยู่ข้างใน..ผมจะพาคุณเข้าไปข้างใน!”
หลิงหยุนจับมือเกาเฉินเฉินเดินฝ่าหมอกสีขาวเข้าไปด้านในซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน
และนี่ก็เป็นเวลาใกล้เที่ยงคืนซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเหล่าแวมไพร์เกาเทียนหลงกำลังพูดคุยอยู่กับปู่และพ่อของเขาที่ห้องใต้ดิน เขาบอกข่าวดีที่หลิงหยุนเล่าให้ฟังวันนี้ให้เกาจิ้นสง และเกาซิงฉางฟัง ทั้งคู่ทั้งตกอกตกใจและดีใจไปพร้อมๆกัน!
และได้เล่าเรื่องที่หลิงหยุนบุกเข้าไปสังหารยอดฝีมือหลายร้อยคนที่คฤหาสน์ตระกูลเฉินอีกทั้งยังสังหารนินจาไปจำนวนมาก..
เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนจับตัวเฉินไห่คุนได้และฆ่ามันตายไปแล้ว เกาจิ้นสง เกาซิงหยาง และคนอื่นๆ ต่างก็กรีดร้องออกมาด้วยความดีใจ!
หลิงหยุนช่างแข็งแกร่งและเก่งกาจนักที่สามารถช่วยตระกูลเกาไว้ได้!
“นั่นใคร!”
เกาเทียนหลงตื่นตัวอยู่ตลอดเวลาเมื่อได้ยินเสียงของหลิงหยุน และเกาเฉินเฉินเดินเข้ามา จึงรีบร้องตะโกนถามและกระโดดออกไปด้านนอกทันที
“น้องพี่!”
“พี่ใหญ่!”
เกาเทียนหลงกระโดดออกมาที่ห้องเล็กๆในชั้นใต้ดินและพบเกาเฉินเฉินอยู่ในอ้อมแขนของหลิงหยุน เกาเฉินเฉินเองก็พุ่งตัวออกจากอ้อมแขนของหลิงหยุน และวิ่งเข้าไปหาเกาเทียนหลงทันที
สองพี่น้องได้พบกันในช่วงเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้ต่างฝ่ายต่างก็ร้องไห้ออกมาจนร่างกายสั่นเทิ้มไปหมด!
ไม่เพียงเกาเฉินเฉินเท่านั้นครั้งนี้เกาเทียนหลงเองก็แทบล้มทั้งยืน นั่นเพราะตลอดหลายวันมานี้เขาต้องคอยป้อนเลือดให้ทุกคนดื่มทุกคืน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ที่สะเทือนอารมณ์เช่นนี้ เกาเทียนหลงเองก็แทบทรุดเช่นกัน
“ร้องนะ..ร้องออกมาเลย จะได้รู้สึกดีขึ้น..”
หลิงหยุนเฝ้ามองสองพี่น้องทั้งสองคนที่กำลังกอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้นด้วยความสงสารจับใจและได้แต่คิดในใจว่าช่างเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของตระกูลเกาจริงๆ!
ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงหยุนก็เปิดจิตหยั่งรู้สำรวจภายในห้องใต้ดินทันที และเมื่อเห็นว่าทุกอย่างปกติดี จึงได้แต่โล่งอก..
ผลของศิลาเกลาใจนั้นแม้ว่าจะไม่สามารถรักษาจนหายดีแต่หลิงหยุนก็พบว่าคนตระกูลเกาทั้งสิบคนนั้นแตกต่างจากที่เพิ่งช่วยกลับมาในครั้งแรกมาก สภาพของทุกคนเวลานี้ดูดีขึ้นมากอย่างน่าเหลือเชื่อ!
เวลานี้ดูเหมือนว่าจิตใจของคนตระกูลเกาได้ถูกศิลาเกลาใจชำระล้างอย่างได้ผลพวกเขามีจิตใจที่แจ่มใสขึ้น..
“เฉินเฉิน..เฉินเฉินกลับมาแล้วหรือนี่!”
เกาเทียนหลงหันกลับไปมองหญิงสาวที่ร้องอุทานออกมาและนางก็คือแม่ของเกาเฉินเฉินนั่นเอง
“ท่านแม่..”
เมื่อได้ยินเสียงแม่ที่ร้องถามขึ้นอย่างกังวลใจเกาเฉินเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพร่างพรูออกมา..
“เป็นเฉินเฉินจริงๆเฉินเฉินปลอดภัยแล้ว!”
“เฉินเฉินกลับมาแล้ว!”
เสียงของเกาจิ้นสงและเกาซิงฉานดังขึ้นพร้อมกันและทั้งคุ่ต่างก็กระโดดออกมาจากประตู
หลังจากคืนที่หลิงหยุนช่วยพวกเขาออกมาแล้วหลิงหยุนก็ได้คลายจุดให้กับทุกคน แต่เพื่อความปลอดภัยของเกาเทียนหลง หลิงหยุนจำเป็นต้องมัดพวกเขาไว้ด้วยผ้าแพรไหมดำ..
ส่วนยอดฝีมือขั้นเซียงเทียนทั้งสองคนของตระกูลเกานั้นการถูกมัดแขนทั้งสองข้างไว้ ยังคงทำให้ทั้งคู่สามารถเคลื่อนไหวได้ค่อนข้างอิสระ
“ท่านปู่”
“ท่านพ่อ”
เกาเฉินเฉินกำลังจะเดินเข้าไปด้านในแต่เมื่อเห็นคนทั้งคู่พุ่งออกมา เธอก็ร้องอุทานออกมาเสียงดัง!
บทที่ 766 : เรื่องด่วน!
“เฉินเฉิน..”
ผมสีขาวของเกาจิ้นสงยุ่งเหยิงใบหน้าเหี่ยวย่นซีดขาว และดวงตาสีแดงที่เต็มไปด้วยความโศกเศร้านั้น จ้องมองเกาเฉินเฉินนิ่งนานจนกระทั่งมั่นใจจึงได้ร้องเรียกชื่อของเธอออกมา..
“ขอบคุณสวรรค์..ในที่สุดหลานสาวสุดที่รักของข้าก็พ้นจากอันตรายแล้ว!”
เกาซิงฉางที่ถูกมัดมือไว้นั้นดวงตาสีแดงเข้มของเขาก็จับจ้องอยู่ที่เกาเฉินเฉินเช่นกัน ร่างสูงใหญ่เย็นเฉียบราวกับศพนั้นสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เขาก้าวเท้าออกมาด้านหน้าสองก้าว และด้วยสัญชาติญาณของความเป็นพ่อ จึงต้องการที่จะเข้าไปกอดเกาลูกสาว แต่เมื่อคิดถึงสภาพของตนเอง ก็ได้แต่ยืนนิ่งสะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้น..
“ท่านพ่อ..”
เกาเฉินเฉินไม่อาจควบคุมตัวเองได้อีกเธอวิ่งตรงเข้าไปหาเกาซิงฉางพร้อมกับน้ำตาที่ไหลพร่างพรู
“ลูกพ่อ..เจ้ากลับมาปลอดภัยก็ดีแล้ว ไม่ต้องร้องไห้.. ไม่ต้องร้อง..”
เกาซิงฉางนับว่าเป็นคนที่เข้มแข็งมากคนหนึ่งแต่ในนาทีเช่นนี้ยากนักที่จะอธิบายความรู้สึกที่อยู่ในใจของเขาออกมาได้ แม้ว่าตัวเขาเองจะปลอบปะโลมลูกสาวไม่ให้ร้องไห้ แต่น้ำตาของตนเองก็ไหลพรากออกมาไม่ต่างกัน..
ในตระกูลเกานั้นหากจะพูดว่าใครที่รักเกาเฉินเฉินมากที่สุด ก็คงจะเป็นพ่อของเธอเกาซิงฉางนั่นเอง..
เกาเฉินเฉินนั้นไม่ชอบอยู่ปักกิ่งมาตั้งแต่เด็กๆแล้วและเป็นพ่อของเธอ – เกาซิงฉางที่เป็นคนอนุญาตให้เธอไปเรียนที่เมืองจิงฉู มณฑลเจียงหนาน
“ท่านปู่..”
เกาเฉินเฉินที่กอดพ่อร้องไห้อยู่นั้นได้เอี้ยวตัวเข้าไปกอดเกาจิ้งสงพร้อมกับร้องไห้ออกมาอีกครั้ง
“ท่านปู่..หลิงหยุนต้องช่วยท่านได้ อย่าร้องไห้เลยนะคะ..”
เกาจิ้งสงก็มีน้ำตาไหลอาบแก้มเช่นกันในใจของเขานั้นเป็นห่วงเกาเฉินเฉินอย่างมาก แต่เวลานี้เขาถูกจับมัดไว้จึงไม่สามารถกอดหลานสาวเพื่อปลอบโยนเธอได้
“ลูกแม่..แม่คิดว่าชาตินี้จะไม่ได้พบหน้าเจ้าอีกแล้ว!”
แม่ของเกาเฉินเฉิน– ลู่เฉียวฟาง ก็วิ่งออกมาจากห้องใต้ดินเช่นกัน
“ท่านแม่!”
ในที่สุดเกาเฉินเฉินก็ได้พบกับแม่ของเธอเธอโผเข้ากอดลู่เฉียวฟางผู้เป็นมารดาทันที ทั้งคู่ต่างก็ร้องห่มร้องไห้ออกมา..
“เฉินเฉิน..”
“เฉินเฉินกลับมาแล้ว!”
ในเวลาเดียวกันนั้นเองคนตระกูลเกาอีกหลายคนที่อยู่ในห้องเล็กๆ ต่างก็วิ่งออกมา และพากันร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ
ภายในห้องใต้ดินเวลานี้จึงเต็มไปด้วยเสียงร้องห่มร้องไห้ดังระงมไปหมด..
ตั้งแต่ที่ตระกูลเกาต้องเผชิญหน้ากับความหายนะครั้งใหญ่มานี่เป็นครั้งแรกที่คนในครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้าอีกครั้ง..
ภาพที่เห็นจึงเต็มไปด้วยโศกเศร้าและเจ็บปวดสำหรับหลิงหยุนอย่างมาก..
หลังจากที่ร้องห่มร้องไห้กันไปครู่ใหญ่แม้ความเศร้าจะสลดค่อยๆ คลี่คลายลง แต่ทั้งเกาเฉินเฉิน แม่ของเธอ กับชายตระกูลเกาอีกสามคนต่างก็ยังคงสะอื้นอยู่..
หลิงหยุนกำลังคิดว่า..เกาเฉินเฉินเพิ่งจะได้พบกับคนในตระกูลเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่อง การที่ต้องให้ทุกคนพูดคุยกันอยู่ในห้องใต้ดินเล็กๆนี้ จึงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก เขาจึงบอกเกาเทียนหลงให้พาทุกคนออกไปเดินเล่นที่สวนภายในบ้านแทน
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจรอบๆบริเวณอย่างละเอียดและเมื่อพบว่าทุกอย่างอยู่ในความปกติ หลิงหยุนจึงจัดการใช้ฝ่ามือทำลายค่ายกลเขาวงกต และหมอกหนาสีขาวตรงหน้าก็หายไปในพริบตา..
“ท่านปู่เกา..ท่านลุงเกา.. ข้าละอายใจนักที่ต้องขังพวกท่านไว้แต่ในห้องใต้ดินเล็กๆเช่นนี้ ได้โปรดอภัยให้ข้าด้วย..”
หลิงหยุนยืนอยู่หน้าทางเข้าห้องใต้ดินพร้อมกกับมองคนตระกูลเกาทั้งหมดด้วยแววตาขอโทษ
เวลานี้เฉินเจี้ยนจื่อถูกเขาสังหารไปแล้วส่วนเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ถูกจับตัวไว้ได้แล้วเช่นกัน อีกทั้งแวมไพร์หลายร้อยตนที่เป็นบริวารของดยุคแดร๊กคิวล่าก็ถูกหลิงหยุนฆ่าตายจนหมด เหลือเพียงเอ็ดเวิร์ด – แวมไพร์ขั้นมาร์ควิส แต่หลิงหยุนก็ได้จัดการทำให้มันกลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ของเขาไปแล้ว..
ส่วนตระกูลเฉินเวลานี้ก็คงกำลังวุ่นวายโกลาหลอยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่เพราะฉะนั้นอย่างน้อยในคืนนี้ ตระกูลเฉินก็คงไม่มีเวลามายุ่งเรื่องของหลิงหยุนแน่!
อีกทั้งหลายวันนมานี้หลังจากที่คนตระกูลเกาทั้งสิบได้รับการบำบัดรักษาด้วยศิลาเกลาใจ ก็ได้หลุดพ้นจากอำนาจการควบคุมของเนตรปีศาจแล้ว และเวลานี้ต่างก็พากันสะอึกสะอื้นที่คนในครอบครัวต่างก็ได้พบหน้ากันอีกครั้ง หลิงหยุนจึงต้องการให้พวกเขาทั้งหมดได้พูดคุยกันในสภาพแวดล้อมที่เป็นปกติ
เสียงพูดของหลิงหยุนดึงดูดความสนใจและสายตาทุกคู่จากตระกูลเกาในทันที..
เกาเทียนหลงเหลือบมองหลิงหยุนจากนั้นจึงรีบหันไปทางท่านปู่กับท่านพ่อของเขาเพื่อขอความเห็น..
“ได้..ถ้าเช่นนั้นพวกเราก็ออกไปคุยกันข้างนอกเถิดนะ!” เกาจิ้นสงพยักหน้าเห็นด้วย
แม้ว่าคนตระกูลเกาทั้งสิบคนจะกลายเป็นแวมไพร์แต่ก็ยังมีความรู้สึกที่เป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่ จึงต้องการใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาทั่วไป อีกทั้งพวกเขาต่างก็อุดอู้อยู่แต่ในห้องใต้ดินนี้มานานหลายวันแล้ว
หลิงหยุนไม่พูดอะไรอีกเขาหลีกทางให้ทุกคนได้เดินออกจากห้องใต้ดิน และค่อยๆเดินตรงไปที่สวนด้านนอก
“เฉินเฉิน..อย่าได้เสียใจกับเรื่องนี้มากนัก!”
เมื่อเกาเฉินเฉินเดินผ่านหลิงหยุนดวงตาที่ยังคงรื้นด้วยน้ำตานั้นก็เหลือบไปมองหลิงหยุน เขาจึงได้แต่ปลอบใจเธอไป
“เรื่องทุกอย่างปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผมเอง!”
ทั่วทั้งสวนภายในบ้านนั้นมีเพียงแสงไฟจางๆจากอาคารสูงที่อยู่ใกล้ๆเท่านั้น แต่แสงเพียงเท่านั้นไม่มีอันตรายกับคนตระกูลเกา..
“ท่านปู่เกา..ท่านลุงเกา.. พวกท่านคุยกันตามสบาย ข้าขอตัวไปรอด้านนอก!”
พูดได้เต็มปากว่าชีวิตของคนตระกูลเกาทั้งหมดนั้นล้วนเป็นหลิงหยุนที่ช่วยชีวิตไว้ ความมีน้ำใจและบุญคุณของหลิงหยุนนั้นจึงแทบไม่ต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่หลิงหยุนกลับไม่เคยพูดถึง อีกทั้งยังมีมารยาทกับเกาจิ้งสงอย่างมาก
ทุกคนต่างก็เดินมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือของบ้านมีเพียงเกาเทียนหลงเท่านั้นที่หยุดและหันไปพูดกับหลิงหยุน
“หลิงหยุน..”
แต่หลิงหยุนกลับเป็นผู้ที่เริ่มบทสนทนาเขาบอกกับเกาเทียนหลงให้คลายกังวล “เฉินเฉินปลอดภัยดีแล้ว และนางก็เข้มแข็งกว่าที่พวกเราคิดไว้มาก เจ้าไม่ต้องเป็นกังวลใจไป!”
จากนั้นหลิงหยุนก็พูดต่อว่า“ในเมื่อเฉินเฉินก็กลับมาแล้ว ความตึงเครียดในครอบครัว และความเศร้าโศกก็เบาบางลงแล้ว ข้าคิดว่าอีกไม่ช้าทุกคนก็จะหายเศร้าโศก เจ้าไปคุยกับพวกเขาเถิด ส่วนข้าจะไปเฝ้าอยู่ที่หน้าประตู เมื่อทุกคนคุยกันพอแล้ว เจ้าก็ออกไปเรียกข้า..”
“อ่อ..ข้าลืมบอกเจ้าไปเรื่องหนึ่ง ระหว่างที่ข้าไปช่วยเกาเฉินเฉินนั้น ข้าได้สังหารเฉินเจี้ยนจื่อแล้ว และจับตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยไว้ได้ เจ้าช่วยนำเรื่องนี้ไปบอกกับทุกคนด้วย..”
เวลานี้เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับตระกูลเกาก็คือ การฟื้นคืนความมั่นใจให้กับคนในตระกูลเกา และเรื่องนี้ก็สำคัญมากที่จะต้องเล่าให้กับทุกคนฟัง เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ..
“อะไรนะ!เจ้าฆ่าเฉินเจี้ยนจื่อตายงั้นรึ?! แล้วยังจับตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยมาได้ด้วย!” เกาเทียนหลงร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นตกใจ..
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“เฉินเฉินเองก็รู้เรื่องนี้ดีเพราะนางอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เจ้าไปถามนางได้เลย!”
หลังจากพูดจบหลิงหยุนก็กระโดดออกไปที่สวนด้านนอก..
บ้านตระกูลหลิงหลังนี้ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของปักกิ่งและใกล้กับถนนวงแหวนที่ห้า ล้อมรอบด้วยเขาไป๋หวัง เขาเซียงซาน เขาจี้ซาน และสวนพฤกษชาติ จึงมีธรรมชาติที่ดีเยี่ยมอย่างหาที่เปรียบได้ยาก
หลังจากที่ขอตัวออกมาแล้วหลิงหยุนก็เดินสำรวจไปรอบๆบ้าน จากนั้นจึงหาที่สงบเงียบโทรหาถังเมิ่ง และสั่งให้ถังเมิ่งรอเขาอยู่ที่โรงแรม แล้วเขาจะรีบไปหา..
ถังเมิ่งมาถึงปักกิ่งช่วงเช้าจากนั้นทั้งคู่ก็ไม่ได้พบกันอีกเลย เวลานี้ผลการสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนออกแล้ว และทุกอย่างก็ไม่เป็นไปตามคาด ถังเมิ่งจึงค่อนข้าโมโห กังวล และกระวนกระวายใจอย่างมาก เขาแทบจะทนรอเพื่อพบกับหลิงหยุนไม่ได้
หลิงหยุนสั่งให้ถังเมิ่งรอพูดคุยเรื่องนี้เมื่อพบกันจากนั้นจึงรีบวางสายไป..
หลังจากวางสายไปแล้วหลิงหยุนก็นั่งลงบนม้านั่งที่อยู่ห่างจากเนินเขาไปไม่ไกลนัก และเริ่มขัดสมาธิ และคิดทบทวนเรื่องต่างๆอยู่เงียบๆ
“ต้องมีคนกลั่นแกล้งข้าอย่างแน่นอน..”หลังจากนั่งทำสมาธิไปครู่ใหญ่ หลิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพึมพำเบาๆ
ถึงแม้ว่าหลิงหยุนจะเป็นผู้ที่ฝึกบ่มเพาะกำลังแต่เขาเองก็ต้องพยายามที่จะไม่แสดงตัว เพราะเวลานี้ขั้นกำลังภายในของเขานั้น ยังอยู่ในขั้นที่สามารถป้องกันตัวเองได้เท่านั้น อีกทั้งโลกใบนี้ยังมีเรื่องลี้ลับอีกมากมาย
“หากพวกเจ้ามีความสามารถก็อย่าให้ข้าหาพบก็แล้วกัน เพราะหากข้าหาพวกเจ้าพบเข้า พวกเจ้าต้องตายสถานเดียว!” หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับพึมพำออกมาเบาๆ
“แต่เวลานี้เรื่องสำคัญที่สุดและด่วนที่สุดก็คือเรื่องของคนตระกูลเกาทั้งสิบคน..” หลังจากนั่งขัดสมาธิอยู่ครู่หนึ่ง หลิงหยุนก็พึมพำกับตัวเอง
การที่หลิงหยุนจับเป็นเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นก็เพื่อต้องการหาทางช่วยคนตระกูลเกา เวลานี้เกาเฉินเฉินดวงตาแดงก่ำทุกครั้งเมื่อมองดูคนในครอบครัวของนาง หลิงหยุนเห็นแล้วเกิดความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้
หลังจากผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงเกาเทียนหลงก็เดินออกมาเรียกหลิงหยุน
“หลิงหยุน..ท่านปู่ให้มาเชิญเจ้าไปพบ!”