บทที่ 767 : คุกเข่า!
  “เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับลุกขึ้นจากม้านั่งใบหน้าของเขายังคงสงบนิ่ง และเต็มไปด้วยความมั่นใจ
  เวลานี้ตระกูลเฉินกำลังโกลาหลวุ่นวายส่วนตระกูลเกาก็ค่อยๆดีขึ้น และตอนนี้คนตระกูลเกาทั้งสิบที่ถูกมัดไว้ก็ได้เดินออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์แล้ว แต่ก็ไม่สามารถเดินออกไปนอกบ้านได้
  และนี่เป็นครั้งแรกที่ทุกคนได้ออกมาเดินเล่นข้างนอกเช่นนี้หลิงหยุนจึงยังไม่วางใจนัก และต้องคอยระแวดระวังอยู่ใกล้ๆ ไม่กล้าไปใหนไกล เกาเทียนหลงจึงหาเขาพบได้ง่ายๆ
  เกาเทียนหลงเข้าใจความห่วงใยที่ซ่อนอยู่ในคำถามของหลิงหยุนดีเขาจึงยิ้มอย่างซาบซึ้งใจพร้อมกับบอกหลิงหยุนว่า
  “ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอกข้าให้พวกเขาดื่มเลือดก่อนที่เจ้าจะกลับมาแล้ว!”
  ระหว่างที่เกาเทียนหลงพูดเรื่องนำเลือดไปให้คนในครอบครัวดื่มนั้นสีหน้าของเขากลับดูเคร่งเครียด เพราะนั่นไม่ใช่พฤติกรรมของมนุษย์ปกติ อีกทั้งคนเหล่านั้นก็ล้วนแล้วแต่เป็นท่านปู่ ท่านพ่อ ท่านแม่ และญาติสนิทของเขาเองทั้งสิ้น
  การที่เกาเทียนหลงต้องเตรียมเลือดสัตว์ให้ทุกคนดื่มเช่นนี้ทุกวันราวกับว่าเป็นการเตรียมอาหารและเครื่องดื่มให้ทุกคนก่อนที่จะพาเข้านอน อีกทั้งเพื่อความปลอดภัยของตนเอง จึงต้องจับพวกเขามัดไว้ตลอดเวลานั้น สำหรับเกาเทียนหลงแล้วนับว่าเป็นสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด เพราะการทำเช่นนั้นไม่ต่างจากการทรมานทั้งคนที่เขารัก และตัวเขาเอง!
  “มันไม่ง่ายเลย..แต่เจ้าต้องอดทน แต่เดี๋ยวมันจะผ่านไป!”
  ชายหนุ่มสองคนยืนมองหน้ากันมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หลิงหยุนมองสีหน้าของเกาเทียนหลง และรู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ จึงก้าวเท้าเขาไปพร้อมกับยกมือขึ้นตบบ่าเกาเทียนหลง
  ตั้งแต่หลิงหยุนก้าวขาเหยียบปักกิ่งเขาก็ต้องต่อสู้ และต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายในสนามรบแทบทุกวัน แต่ก็จำเป็นต้องทำเพื่อช่วยเกาเฉินเฉินออกมา
  การต่อสู้ของหลิงหยุนก็ไม่ต่างจากการที่เกาเทียนหลงต้องต่อสู้ในห้องใต้ดินแห่งนี้..
  เพียงแต่การต่อสู้ของเกาเทียนหลงมันคือการต่อสู้กับจิตใจของตนเอง!
  หลิงหยุนตบบ่าเกาเทียนหลงอย่างเข้าใจมีเสียงสะอื้นดังออกมาจากเกาเทียนหลงเล็กน้อย เขากัดฟันแน่นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าไปลึกเพื่อกลั้นน้ำตาไว้ แลละบังคับตัวเองให้เดินกลับเข้าไปข้างใน
  “มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย..ข้าแทบคิดไม่ออกว่าเจ้าทำเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไรกัน”
  เมื่อครั้งที่เกาเทียนหลงเดินทางไปหาหลิงหยุนที่เมืองจิงฉูนั้นเขาไปโดยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหลิงหยุนเลย อาจจะเรียกว่าไปตายเอาดาบหน้าก็ได้!
  เพราะในสภาพที่ตระกูลของเขาถูกทำลายย่อยยับและในช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอันตรายเช่นนั้น หลิงหยุนเป็นคนเดียวที่เขานึกถึง! ช่วงเวลานั้นเกาเทียนหลงคิดเพียงแค่ว่า ขอเพียงแค่มีคนเชื่อคำพูดของเขา และให้เขาพักอาศัยอยู่ด้วยเท่านั้นก็พอแล้ว!
  จัดการกับตระกูลเฉินอย่างนั้นหรือหรือจะจัดการกับเหล่าแวมไพร์? ช่วยเหลือคนตระกูลเกา?
  เกาเทียนนหลงไม่เคยคิดถึงขั้นนั้นเพราะมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
  แต่เกาเทียนหลงกลับไม่คิดว่า..เขามาหาหลิงหยุนตั้งใจที่จะขอความช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ใครจะคิดว่าเขาขอความช่วยเหลือจากหลิงหยุนเพียงแค่หยดน้ำ แต่หลิงหยุนมอบคืนมาดั่งทะเล..
  เพื่อช่วยเหลือตระกูลเกา..ภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่วัน หลิงหยุนต้องเผชิญหน้ากับความยากลำบาก และความกดดันที่คนธรรมดายากจะทานทนได้ อีกทั้งยังต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่งมากมาย
  และในที่สุดก็สามารถช่วยเหลือตระกูลเกาได้ด้วยตัวเขาเองเพียงคนเดียว!
  บุญคุณและน้ำใจของหลิงหยุนนั้นแทบไม่สามาถเอ่ยออกมาได้หมด และยากที่จะตอบแทนได้!
  ดังนั้นทั้งเกาจิ้งสงเกาซิงฉาง รวมทั้งตัวเกาเทียนหลง พวกเขาต่างก็สำนึกในบุญคุณครั้งนี้ของหลิงหยุน และรู้สึกละอายใจอย่างมาก..
  เพราะสิ่งที่หลิงหยุนทำให้กับตระกูลเกานั้นมากมายเกินไปหลิงหยุนไม่จำเป็นต้องทำเพื่อตระกูลเกามากมายเช่นนี้ อีกทั้งหลิงหยุนทำทุกอย่างโดยที่พวกเขาไม่ได้ร้องขอด้วยซ้ำไป!
  “เป็นเพราะน้องสาวของข้าเฉินเฉินเท่านั้นจริงๆหรือ”
  เมื่อสองสามวันที่ผ่านมาหลิงหยุนเองก็ได้เล่าความคืบหน้าให้กับเกาเทียนหลงฟัง และเขาเองก็เฝ้าถามคำถามนี้กับหลิงหยุนอยู่หลายครั้งหลายครา..
  เกาเทียนหลงยังจำได้ว่าเมื่อครั้งที่เกาเฉินเฉินโทรมาชื่นชมหลิงหยุนให้เขาฟังมากมายนั้น เขาเองยังนึกหัวเราะเยาะน้องสาวตนเอง และไม่เชื่อว่าเพื่อนในชั้นเรียนของเกาเฉินเฉินจะแข็งแกร่งกว่าตัวเขาซึ่งเป็นผู้ฝึกวรยุทธได้
  แต่เมื่อเขาได้พบกับหลิงหยุนจริงๆเกาเทียนหลงจึงได้กระจ่างแก่ใจว่าหลิงหยุนนั้นเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ เขาจึงต่างกับหลิงหยุนราวฟ้ากับดิน และฝีมือยังห่างไกลหลิงหยุนเป็นหมื่นเป็นแสนเท่า..
  แต่ความจริงแล้วต้องพูดว่าเทียบกันไม่ได้..จึงจะถูกต้อง!
  หลิงหยุนยิ้มอย่างจริงใจให้กับเกาเทียนหลงอีกครั้งลักยิ้มในแก้มซ้ายเป็นรอยบุ๋มพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  “เรื่องบางเรื่องก็แค่ต้องพยายามและตั้งใจอย่างหนักเท่านั้น แล้วผลก็จะออกมาดีเอง..”
  “ไปกันได้แล้วล่ะ!”
  พูดจบหลิงหยุนก็เดินนำเกาเทียนหลงออกไป..
  เกาเทียนหลงนิ่งอึ้งไปพร้อมกับคิดทวนคำพูดของหลิงหยุนในใจ‘แค่พยายามเท่านั้น..’
  หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งเกาเทียนหลงก็พยักหน้าหงึกๆ ดวงตามุ่งมั่นของเขาจ้องมองไปยังหลิงหยุนที่เดินนำหน้าไป
  เมื่อเดินไปถึง..หลิงหยุนก็ได้แต่ตกตะลึงกับภาพที่อยู่ตรงหน้า!
  หลิงหยุนเห็นคนทั้งสิบเอ็ดคนรวมทั้งเกาเฉินเฉินยืนเข้าแถวอยู่ในสวนเกาจิ้งสงและเกาซิงฉางยืนอยู่ด้านหน้า ส่วนที่เหลืออีกเก้าคนนั้นยืนเรียงแถวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่ด้านหลัง
  สีหน้าของทุกคนดูสงบนิ่งราวกลับกำลังยืนร่วมงานวันชาติและเวลานี้ทุกคนก็กำลังรอคอยให้หลิงหยุนเดินเข้ามา..
  ‘นี่มันอะไรกัน!’หลิงหยุนได้แต่คิดอยู่ในใจเงียบๆ
  หลิงหยุนตกใจพร้อมกับหันไปมองเกาเฉินเฉินแต่ปรากฏว่าสีหน้าของเกาเฉินเฉินกลับดูมีความสุขอย่างมาก
  “เกาเทียนหลง..เจ้ามานี่!”
  แทบไม่ต้องรอให้หลิงหยุนมีปฏิกิริยาใดๆเกาจิ้นสงก็สั่งให้เกาเทียนหลงเดินเข้าไปหา และดูเหมือนว่าเกาเทียนหลงจะรู้ดีอยู่แล้วว่าปู่ของเขากำลังคิดที่จะทำอะไร
  “ท่านลุง..เข้าไปคุยกันในห้องดีกว่า บอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
  สีหน้าของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความประหลาดใจเพราะไม่สามารถคาดเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
  “คุกเข่า!”
  เกาจิ้นสงไม่ตอบแต่กลับร้องตะโกนสั่งทุกคนด้วยสีหน้าตื่นเต้น และซาบซึ้งใจ..
  สิ้นคำสั่งของเกาจิ้นสงคนตระกูลเกาทั้งสิบสองคนก็คุกเข่าหันหน้าไปทางหลิงหยุนทันที!
  “นี่..นี่มัน..”
  หลิงหยุนเห็นสีหน้าของชายชราเขาก็กังวลใจจนต้องใช้มังกรพรางร่างถอยออกไปไกลถึงสิบแปดเมตร และกระโดดขึ้นไปยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงบ้าน
  ในเวลาเดียวกันนั้นหลิงหยุนก็ร้องตะโกนออกมาว่า“ทุกท่านทำเช่นนี้ข้ารับไม่ไหว!”
  เกาจิ้นสงเกาซิงฉาง หลู่เฉียวฟาง เกาเทียนหลง เกาเฉินเฉิน และคนอื่นๆที่หลิงหยุนไม่รู้จักชื่อ ต่างก็คุกเข่าลงที่พื้นทำการคาราวะเขา เขาไม่อาจรับได้จริงๆ!
  เกาจิ้นสงนั้นเห็นแล้วว่าหลิงหยุนเคลื่อนที่ได้รวดเร็วอย่างมาก และยังไม่ทันที่คนตระกูลเกาจะคุกเข่าลงที่พื้น ร่างของหลิงหยุนก็ไปยืนอยู่บนกำแพงเรียบร้อยแล้ว
  มีเพียงเงาของหลิงหยุนเท่านั้นที่ยังอยู่ที่เดิม..
  “หลิงหยุน..ถึงอย่างไรเจ้าก็ต้องรับการคาราวะจากพวกเราตระกูลเกา ครั้งนี้น้ำใจของเจ้าที่มีต่อตระกูลเกานั้น ยิ่งใหญ่มากเหลือเกิน!”
  อาวุโสเกาจิ้นสงนั่งคุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองไปทางที่ซ่อนตัวของหลิงหยุนใบหน้าเหี่ยวย่นซีดขาวพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า..
  สำหรับหลิงหยุนที่มีรูปร่างสูงใหญ่และมีนิสัยดุดันนั้น ตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ เขาเองก็ไม่คุ้นเคย และไม่มีประสบการณ์ในลักษณะนี้มาก่อน จึงมีท่าทีเอียงอายไม่ต่างจากสาวน้อย..
  ยิ่งไปกว่านั้นผู้ที่คุกเข่าอยูทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่อาวุโสกว่าเขาแทบทั้งสิ้น หลิงหยุนจึงไม่อาจที่จะรับไว้ได้!
  “ท่านลุงได้โปรดลุกขึ้นเร็วเข้าทุกคนลุกขึ้นเร็วเข้า ข้าหลิงหยุนไม่สามารถรับไว้ได้จริงๆ นี่มันมากเกินไปสำหรับข้า!”
  หลิงหยุนรีบร้องบอกเกาจิ้นสงและทุกคนบอกในขณะที่ยังซ่อนตัวอยู่ที่มุมกำแพง..
  แต่คำขอร้องของหลิงหยุนกลับไม่เป็นผลเพราะเกาจิ้นสงซึ่งอาวุโสที่สุดกำลังคุกเข่าอยู่ด้านหน้า และหากเขาไม่ลุกขึ้น ทุกคนในตระกูลเกาก็ไม่กล้าลุกขึ้นเช่นกัน!
  ยิ่งไปกว่านั้น..ทุกคนในตระกูลเกาต่างก็รู้ดีว่า หลิงหยุนคือผู้ที่มีพระคุณ และเป็นผู้ที่ช่วยพวกเขาทุกคนในตระกูลเกาด้วยตัวเองเพียงคนเดียว พวกเขาจึงต้องการคาราวะหลิงหยุนเพื่อเป็นการสำนึกในบุญคุณของเขาที่มีต่อตระกูลเกา!
  “หลิงหยุน..เวลานี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดว่าใครอาวุโสกว่าใคร ข้าในฐานะที่อาวุโสที่สุดในตระกูลเกา ต้องขอขอบคุณเจ้าที่ได้ช่วยเหลือ ไม่เช่นนั้นตระกูลเกาคงจะต้องล่มสลายไปแล้ว..”
  “แต่ว่า..”
  แม้ว่าเกาจิ้นสงจะเอ่ยปากแต่หลิงหยุนก็ยังไม่อาจรับได้อยู่ดี เขาแทบอยากจะกระโดดออกจากกำแพงบ้าน แล้วหนีไปทันที..
  แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้วหลิงหยุนก็ตอบกลับไปอย่างเสียไม่ได้ “ท่านปู่เกา.. ข้าช่วยทุกคนด้วยใจ และเป็นสิ่งที่ข้าสมควรต้องทำ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ได้ทำอะไรมากอย่างที่ท่านคิด พวกเรายังมีเรื่องต้องจัดการอีกมากมาย หากอยากจะขอบคุณข้า ก็ไม่ต้องรีบร้อนนัก!”
บทที่ 768 : พิสูจน์ฉายาหมออมตะ!
  สำหรับหลิงหยุนผู้ที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยยอมเสียเปรียบให้กับใครนั้นเขารู้ดีว่าการลงทุนลงแรงเล็กๆน้อยๆช่วยเหลือตระกูลเกาในครั้งนี้ เขาย่อมได้รับสิ่งตอบแทนกลับมาไม่มากก็น้อย..
  และมีหรือที่หลิงหยุนจะไม่ต้องการเพียงแต่เวลานี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม..
  แต่เวลานี้คนของตระกูลเกาทั้งสิบสองคนต่างก็คุกเข่านิ่งราวกับถูกตรึงไว้ด้วยตะปูไม่ว่าหลิงหยุนจะพูดอย่างไร ก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้พวกเขาลุกขึ้นได้ จึงได้แต่หันไปมองเกาเฉินเฉินเพื่อขอความช่วยเหลือ
  แต่เมื่อเขาเห็นสายตาและท่าทางของเกาเฉินเฉินที่ตอบกลับมาเขากลับรู้สึกผิดหวัง และรู้ว่าคงไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเธออย่างแน่นอน
  แต่ไม่มีทางที่หลิงหยุนจะยอมรับการคาราวะในครั้งนี้หลิงหยุนจึงพูดกับเกาจิ้นสงด้วยน้ำเสียงจริงจัง
  “ท่านปู่เกา..หากการคาราวะของทุกท่านในครั้งนี้ คือการตอบแทนความช่วยเหลือของเข้า ข้าก็ยินดีที่จะเชื่อฟังท่าน และยอมรับการคาราวะในครั้งนี้ทันที!”
  คำตอบของหลิงหยุนนั้นนับว่าชาญฉลาดอย่างมากหากคนอื่นได้ยินเข้าคงจะรู้สึกว่าหลิงหยุนช่างเย่อหยิ่งจองหองนัก แต่นั่นกลับเป็นที่ชื่นชมของคนตระกูลเกาอย่างมาก..
  เกาจิ้นสงเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนก็ได้แต่คิดในใจว่าหลิงหยุนช่างเป็นคนเฉลียวฉลาด อีกทั้งคำพูดยังแหลมคมนัก คำพูดของหลิงหยุนมีหรือที่เกาจิ้นสงจะไม่เข้าใจความหมาย..
  การที่เกาจิ้นสงนำคนในตระกูลมาคาราวะหลิงหยุนอย่างเอิกเกริกเช่นนี้มันมากเกินกว่าการแสดงความซาบซึ้งใจที่เขาได้ช่วยเหลือตระกูลเกา หลิงหยุนปฏิเสธที่จะรับการคาราวะครั้งนี้ เขาจึงต้องให้เกาจิ้นสงเป็นฝ่ายเลือก..
  ความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดอันแหลมคมของหลิงหยุนนั้นก็คือว่าหากเขายอมรับการคาราวะจากตระกูลเกาในครั้งนี้ เขาก็จะไม่ขอรับสิ่งใดๆจากตระกูลเกาอีก..
  ในความคิดของหลิงหยุนนั้นทุกคนล้วนมีทองอยู่ใต้เข่า จึงไม่สมควรที่จะคุกเข่าให้ผู้ใดง่ายๆ และหลิงหยุนเองก็ถือคติข้อนี้ ไม่เช่นนั้นเมื่อครั้งที่กลับเข้าตระกูลหลิง หลิงหยุนคงจะไม่ทำการคุกเข่าคาราวะหลิงลี่ซึ่งเป็นปู่ของเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น..
  อีกทั้งด้วยฐานะของหลิงหยุนในปัจจุบันคงเป็นเรื่องน่าขันที่เขาจะสนใจผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆจากตระกูลเกา
  “เอ่อ..”
  เกาจิ้นสงเองก็ไม่ได้โง่เขาเข้าใจความหมายในคำพูดของหลิงหยุนได้ดี และนับว่าหลิงหยุนประสบความสำเร็จ เพราะคำพูดเพียงแค่ประโยคเดียว แต่กลับสามารถทำให้ผู้นำตระกูลเกายอมลุกขึ้นได้..
  “ท่านปู่เกา..ข้าเข้าใจความรู้สึกของท่านดี เวลานี้ยังมีปัญหารอให้พวกเราสะสางอีกมากมาย ท่านได้โปรดสั่งทุกคนให้ลุกขึ้นก่อนเถิด..”
  “ทุกท่านล้วนแล้วแต่อาวุโสกว่าข้าทั้งนั้น..”
  เมื่อเห็นว่าคำพูดของตนเองได้ผลหลิงหยุนก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก..
  ทันทีที่หลิงหยุนพูดจบเกาจิ้นสงก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับหันไปสั่งคนตระกูลเกาว่า “พวกเจ้าลุกขึ้นได้..”
  เกาซิงฉางลุกขึ้นยืนพร้อมกับจ้องมองไปทางหลิงหยุนเขานึกชื่นชมและพอใจในศักยภาพของหลิงหยุนอย่างมาก
  เพราะหากหลิงหยุนยอมรับการคาราวะจากคนตระกูลเกาจริงๆแล้วล่ะก็คงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนักที่พ่อและแม่ของว่าที่ภรรยาจะมาคุกเข่าให้กับว่าที่ลูกเขย..
  และนับว่าโชคดีนักที่หลิงหยุนไม่ยอมรับไม่เช่นนั้นในวันข้างหน้าทั้งเกาซิงฉางและลู่เฉียวฟางจะมองหน้าหลิงหยุนได้อย่างไรกัน..
  “เด็กคนนี้ช่างละเอียดอ่อนนัก..”
  เกาเฉินเฉินประคองลู่เฉียวฟางให้ลุกขึ้นยืนนางจ้องมองหลิงหยุนที่ยังคงซ่อนตัวนิ่งอยู่บนกำแพง และนึกชื่นชมอยู่ในใจ
  “ท่านแม่ชื่นชอบหลิงหยุนแล้วใช่มั๊ย”
  ดวงตาคู่งามของเกาเฉินเฉินจับจ้องอยู่ที่หลิงหยุนตลอดเวลาราวกับเกรงว่าเขาจะบินหนีไป และหากไม่ใช่เพราะว่าคนในตระกูลเกาทั้งหมดอยู่ที่นี่ด้วย เกาเฉินเฉินคงโผเข้าหาอ้อมแขนของหลิงหยุนแล้ว
  “ลูกสาวของแม่เลือกคนไม่ผิดจริงๆ!ตระกูลเกาของเราคงต้องมีงานมงคลเร็วๆนี้สินะ!”
  ไม่ว่ายุคใหนสมัยใหนว่าที่แม่สามีมักจะขี้โอ่เช่นนี้เสมอ ลู่เฉียวฟางจงใจพูดเสียงดัง และตั้งใจจะพูดประโยคนี้ให้หลิงหยุนและทุกคนได้ยิน..
  เมื่อทุกคนในตระกูลเกาได้ยินก็พากันหัวเราะออกมาเสียงดัง และพยักหน้าเห็นด้วยทุกคน..
  หลังจากผ่านความเป็นความตายมาตระกูลเกาก็ได้กลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง แม้ว่าทุกคนจะยังมีความทุกข์อยู่ในใจ แต่ชีวิตก็ต้องเดินหน้าต่อไป..
  “ท่านแม่..ท่านพูดเรื่องอะไรกัน ข้า..” เกาเฉินเฉินพูดออกมาอย่างเขินอาย
  “ทำไมหรือเจ้าไม่อยากแต่งงาน?”
  ลู่เฉียวฟางดูเหมือนจะมีความสุขอย่างมากที่ได้หยอกเย้าเกาเฉินเฉินลูกสาวของตนเอง..
  “ไม่ใช่อย่างนั้น..” เกาเฉินเฉินตอบกลับหน้าแดง
  “นั่นสิ..ข้ากลัวแต่ว่าหากเจ้าไม่ยินดีที่จะแต่งงาน ก็คงจะไม่ทันการแล้ว!” ลู่เฉียวฟางพูดยิ้มๆ
  แม่ของเกาเฉินเฉินทำราวกับว่าไม่มีใครอยู่ในที่นั้นด้วยและแน่นอนว่าหลิงหยุนต้องได้ยินทุกคำพูดอย่างแน่นอน หลังจากเห็นว่าคนตระกูลเกาลุกขึ้นยืนกันได้ครู่ใหญ่แล้ว หลิงหยุนจึงกระโดดลงจากกำแพงมายืนอยู่ข้างเกาเทียนหลง
  จากนั้นจึงหันไปพูดกับเกาจิ้นสงว่า“ท่านปู่เกา.. พวกเราเข้าไปคุยกันในบ้านดีกว่า!”
  ดวงตาสีแดงเข้มจ้องมองหลิงหยุนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นว่า “ดีๆ!”
  จากนั้นเกาจิ้นสงก็หันไปพูดกับเกาซิงฉางและเกาเทียนหลง“ซิงฉาง.. เทียนหลง.. เจ้าสองคนตามข้าเข้าไปในบ้าน ส่วนคนอื่นๆ กลับเข้าไปที่ห้องใต้ดินได้แล้ว..”
  “ขอรับ..”
  ทุกคนในตระกูลเกาต่างก็รู้ว่าหัวหน้าตระกูลเกาทั้งสามรุ่นต้องการปรึกษาหารือกับหลิงหยุน ทุกคนจึงเดินกลับเข้าไปในห้องใต้ดินอย่างเชื่อฟัง..
  “ท่านปู่..แล้วข้าล่ะ!” เกาเฉินเฉินไม่สามารถตามทุกคนลงไปที่ห้องใต้ดินได้
  “นั่นสิ..ปู่หลงๆลืมๆแล้ว นี่ข้าลืมเจ้าไปได้อย่างไรกัน”
  เกาเฉินเฉินนั้นเปรียบเหมือนแก้วตาดวงใจของคนตระกูลเกาปู่ของเธอเองก็รักเธอมาก และยิ่งเพิ่งถูกหลิงหยุนช่วยกลับมาได้ เกาจิ้นสงก็ยิ่งอยากจะเอาอกเอาใจหลานสาวสุดที่รัก
  อีกทั้งทุกคนในตระกูลต่างก็รับรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างเกาเฉินเฉินกับหลิงหยุนกันหมดแล้วจึงไม่ใช่เรื่องหากจะให้เกาเฉินเฉินแยกตัวออกไปเพียงคนเดียว และในเมื่อเกาเฉินเฉินอยู่ที่นี่ ลู่เฉียวฟางผู้เป็นแม่ก็ไม่ยอมกลับเข้าไปที่ห้องใต้ดินเช่นกัน เวลานี้ในห้องรับแขกจึงมีคนตระกูลเกาอยู่ทั้งหมดห้าคน..
  ทั้งหมดนั่งลงและเริ่มพูดคุยปรึกษาเรื่องสำคัญ หลิงหยุนเหลือบมองทุกคน แล้วจึงเริ่มพูดเข้าประเด็นสำคัญทันที
  “ท่านปู่เกา..เมื่อครู่ข้านั่งอยู่ที่สวนด้านนอกครุ่นคิดเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งอยู่ ข้าอยากจะทำการรักษาท่านปู่เป็นคนแรก..”
  ในเมื่อสามารถช่วยคนตระกูลเกาออกมาได้อย่างปลอดภัยแล้วก็ถึงเวลาที่จะต้องทำการรักษาทุกคนให้กลับกลายเป็นมนุษย์เช่นเดิม
  “รักษาพวกเราทุกคนหลิงหยุน.. นี่เจ้ามีวิธีแล้วรึ?”
  เกาจิ้นสง..เกาซิงฉาง.. และลู่เฉียวฟาง ทั้งสามคนเมื่อได้ยินคำพูดของหลิงหยุนว่าได้เวลาที่จะต้องรักษาพวกเขาให้กลับมาเป็นมนุษย์ปกติดังเดิมแล้ว ก็พากันตื่นเต้นดีใจอย่างที่สุด และต่างก็ร้องถามออกมาเสียงสั่นด้วยความตื่นเต้นดีใจ
  ทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงตื่นเต้นดีอกดีใจของทั้งสามคนหลิงหยุนก็ได้แต่แอบคิดอยู่ในใจว่า ได้เวลาพิสูจน์ฉายาหมออมตะของเขาแล้ว!
  ภายใต้แววตาและท่าทางที่สงบนิ่งหลิงหยุนตอบกลับไปช้าๆอย่างมั่นอกมั่นใจ “แน่นอน.. เฉินเฉินบอกกับพวกท่านทุกคนแล้วไม่ใช่หรือว่าข้าจับตัวเฉินเจี้ยนกุ่ยไว้ได้แล้ว และเวลานี้คงถูกขังอยู่ในห้องลับที่ใดที่หนึ่งแล้ว..”
  “ในเมื่อเฉินเจี้ยนกุ่ยมันเป็นคนที่ทำให้พวกท่านต้องกลายเป็นแวมไพร์ข้าก็จะใช้เลือดของมันมาปรุงยารักษา และจะใช้ทดลองรักษาให้กับทุกท่าน”
  พอลกับเจสเตอร์ได้บอกกับหลิงหยุนว่ามีเพียงสองวิธีเท่านั้นที่จะทำให้แวมไพร์กลับกลายเป็นมนุษย์ธรรมดาเช่นเดิม วิธีแรกคือต้องฆ่าบรรพบุรุษตนแรกที่ทำให้เฉินเจี้ยนกุ่ยกลายเป็นแวมไพร์ และวิธีที่สองคือใช้เลือดของเฉินเจี้ยนกุ่ย ปรุงยาที่จะสามารถขจัดเลือดของแวมไพร์ในตัวของคนตระกูลเกาออกไป
  สำหรับหลิงหยุนแล้ววิธีแรกไม่ต่างจากนิยายแฟนตาซี และหลิงหยุนก็ไม่มีความสามารถเพียงพอในเวลานี้ ต่อให้เขามีความสามารถมากพอที่จะฆ่าบรรพบุรุษตนแรกของเฉินเจี้ยนกุ่ยได้ แต่ก็ต้องเสียเวลาสืบหาว่ามันเป็นใคร อยู่ที่ใหน? และนั่นมันยากยิ่งกว่าการหาทางไปสวรรค์เสียอีก เขาจึงไม่ต้องการใช้วิธีนี้..
  ไม่เช่นนั้น..หลิงหยุนคงไม่จงใจไว้ชีวิตของเฉินเจี้ยนกุ่ยมาจนถึงทุกวันนี้แน่!
  แต่ถึงแม้หลิงหยุนจะได้ฉายาหมออมตะแต่การจะเปลี่ยนแวมไพร์ให้กลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมนั้น ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก และเป็นสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยทำมาก่อนเช่นกัน!
  สูตรยาลึกลับเช่นนี้จำเป็นต้องอาศัยการศึกษา และลองผิดลองผิดนับครั้งไม่ถ้วน..
  แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเป็นไปได้!
  ดังนั้น..หลิงหยุนจึงไม่ต้องการอธิบายรายละเอียดอะไรให้กับทุกคนฟังมากเขาเพียงแค่ต้องการพยายามทำให้ดีที่สุดเท่านั้น
  “หลิงหยุน..นายแน่ใจแล้วเหรอ” เกาเฉินเฉินถามขึ้นด้วยความกังวลใจ
  การที่เกาเฉินเฉินต้องทนมองญาติพี่น้องของตนเองต้องทนมองท่านปู่ ท่านพ่อ และท่านแม่ของเธอต้องได้รับอันตรายถึงชีวิตนั้น ก็ไม่ต่างจากการเอามีดกรีดที่หัวใจตัวเอง มีหรือที่เธอจะไม่รู้สึกกังวลใจ
  “เฉินเฉิน..คุณไม่ต้องเป็นกังวลใจ ไม่ว่าจะยากเย็นแค่ใหน ผมก็จะพยายามช่วยท่านปู่ ท่านลุง และทุกๆคนอย่างสุดความสามรถ!”
  หลิงหยุนไม่อาจทนเห็นความกระวนกระวายใจของเกาเฉินเฉินได้เขาจึงรีบร้องบอกเพื่อให้เธอคลายความกังวล
  “อีกอย่างเรื่องนี้เป็นเรื่องเร่งด่วน ไม่สามารถรอช้าได้..”
  เกาจิ้นสงตอบกลับมาทันที“หลิงหยุน.. เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป การที่ตระกูลเกาเกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ แต่กลับสามารถมีชีวิตรอดออกมาได้นั้น ก็นับว่าเป็นความเมตตาของสวรรค์แล้ว แค่ข้าได้เห็นเทียนหลงกับเฉินเฉินปลอดภัยดี ข้าก็สบายใจแล้วว่าทั้งคู่จะนำพาตระกูลเกาในวันข้างหน้าได้!”
  หลังจากนั้นเกาจิ้นสงก็เหลือบมองเกาซิงฉาง และลู่เฉียวฟางพร้อมกับพูดขึ้นว่า “สำหรับพวกเรา.. ไม่ว่าจะอยู่หรือตายก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”