บทที่ 170 ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 170
ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย

ยิ่งชูอี้เสิ้นคิดมากเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกน่าสงสัยมากขึ้นเท่านั้น ตอนแรกเสี่ยวเสวี่ยบอกว่าหัวของฮวงฟูอี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้วเขามีความทรงจำของเด็กห้าขวบเท่านั้น แต่ตอนที่เขาเจอก็เกือบจะไม่ต่างอะไรกับตอนนี้เลย เขาจึงต้องสงสัยไว้ก่อนว่าเขาพยายามที่จะมาเข้าใกล้เสี่ยวเสวี่ย

นอกจากนี้ผู้ชายที่ท่าทางไม่ธรรมดาและดูโดดเด่นขนาดนี้แต่กลับไม่ถูกพวกสื่อเอามารายงาน มันจะเป็นไปได้ยังไง

ฮวงฟูอี้มองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขารู้ว่านายน้อยของตระกูลชูแห่งเมืองหลวง ผู้สืบทอดตระกูลชูต่อในอนาคตเป็นผู้ชายที่ดีเลิศมากๆแต่ในตอนนี้เขากลับรู้สึกรังเกียจอย่างมาก “มันไม่ใช่เรื่องอะไรของนาย…”

“ถ้านายกล้าทำร้ายเสี่ยวเสวี่ย ฉันไม่ปล่อยนายไปแน่ๆ!” ชูอี้เสิ่นพูดอย่างเย็นชา

“นายคิดว่าตัวเองจะเอาอะไรมาขู่ให้ฉันกลัวได้งั้นเหรอ”
“นายเป็นใคร…นายเป็นใครกันแน่?” สายตาของชูอี้เสิ่นแวบประกายดุร้าย และถามอย่างเย็นชา

ฮวงฟูอี้เพียงแค่แสยะและไม่ได้ตอบอะไร เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรนะ? น่าจะไม่เคยเลย…เขาจ้องไปที่ชูอี้เสิ่นอีกครั้ง ประเมินตำแหน่งของเขาในหัวใจเสี่ยวเสวี่ยและสุดท้ายก็ได้ข้อสรุปว่าเขาก็เป็นหนึ่งในคนที่ไปไกลเกินกว่านี้ไม่ได้เช่นกัน

หลังจากที่มู่หรงเสวี่ยอาบน้ำเสร็จแล้วเดินออกมา เธอก็เห็นชายทั้งสองจ้องหน้ากันด้วยความรักใคร่ เธอจึงหัวเราะออกมาและพูดออกมา “พี่ชู อี้ ทั้งสองคนท่าทางเหมือนกำลังตกหลุมรักกันมากเลยนะ”

ผู้ชายทั้งสองมองมาที่เธอพร้อมๆกัน สายตาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

“ฉันล้อเล่น!” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วนิ่งไปสักพักแต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองหนุ่มยังคงมีท่าทางเย็นชาอยู่ เธอก็ยอมแพ้ โอเคๆ ดังนั้นเธอจึงเปลี่ยนท่าทางและพูดต่อว่า “เดี๋ยวอีกสักพักฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอก พวกพี่ล่ะ?”

“ฉันช่วยได้ไหม? ฉันจะไปกับเธอ…” ชูอี้เสิ่นพูด
“ไม่ต้อง ฉันจะไปประชุมที่บริษัท พี่ชูพี่ดูไม่ค่อยดีเท่าไรน่าจะกลับไปพักผ่อนดีกว่านะ!” มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยความเป็นห่วง

เสี่ยวเสวี่ยเป็นห่วงเขาเพราะเขาไม่ได้นอนมาทั้งคืน “งั้นถ้าเสร็จแล้วก็โทรหาฉันแล้วกัน ฉันจะรออยู่ที่อะพาร์ตเมนต์” แล้วเขาก็หันไปมองฮวงฟูอี้ด้วยสายตาอวดดี แน่นอนว่ามันก็เพียงแค่แวบเดียวแต่ฮวงฟูอี้ก็เห็นด้วยเหมือนกันแล้วก็มองด้วยสายตาดูถูกกลับไปให้เขา: ไอ้ปัญญาอ่อน!

“แล้วนายล่ะอี้?” มู่หรงเสวี่ยหันมาถามฮวงฟูอี้
“ฉันยังมีงานที่ต้องทำแต่จะไปส่งเธอที่บริษัทให้” ฮวงฟูอี้พูดออกมาตราบใดที่เสี่ยวเสวี่ยไม่ได้อยู่กับชูอี้เสิ่น เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงรังเกียจผู้ชายคนนี้มากขนาดนี้ ซึ่งตามหลักแล้วเขาน่าจะรู้สึกชอบผู้ชายแบบชูอี้เสิ่นอยู่บ้าง
สุดท้ายฮวงฟูอี้ก็ไปส่งมู่หรงเสวี่ยที่บริษัทและกลับไป มู่หรงเสวี่ยเดินตรงไปที่ออฟฟิศของประธาน พี่กู่รอเธออยู่ในห้องนานแล้ว ทั้งสี่มารวมตัวกันเพื่อคุยกันเรื่องแผนการพัฒนา

“เสี่ยวเสวี่ยใครเป็นผู้ผลิตสมุนไพรให้กับบริษัทของเราเหรอ? ตอนนี้ของขาดสต๊อกนานมากแล้ว พวกเราก็เลยต้องใช้สมุนไพรจากที่อื่นและราคาก็แพงกว่ากันเยอะเลยเพราะเราไม่ได้เซ็นต์สัญญาระยะยาวกับอีกฝ่าย เสี่ยวเสวี่ยทำไมคุณไม่เอาเบอร์โทรของบริษัทที่ขายวัตถุดิบในการทำยาให้เราล่ะแล้วผมจะส่งคนไปประชุมกับพวกเขา” กู่หมิงพูดถึงปัญหาเรื่องสมุนไพร เดิมทีตอนที่มู่หรงเสวี่ยอยู่ในจังหวัด A การจัดการสมุนไพรก็จะถูกอัพเดททุกวัน อย่างไรก็ตามหลังจากที่มู่หรงเสวี่ยไปอยู่ที่เมืองหลวง สมุนไพรก็ขาดสต๊อกทันทีที่เธอไปถึงเมืองหลวงซึ่งไม่เอื้อต่อการผลิตยา

มู่หรงเสวี่ยตกใจ เธอเพิ่งจะไปจากจังหวัดA ได้แค่เดือนเดียวเอง เธอคำนวณไว้แล้วมันน่าจะเพียงพอสำหรับการผลิตหนึ่งเดือนสิ แต่พี่กู่บอกว่าเขาต้องซื้อสมุนไพรจากข้างนอก “พี่กู่ สมุนไพรในโกดังน่าจะเพียงพอสำหรับหนึ่งเดือน แล้วทำไมถึงได้หมดสต็อคเร็วขนาดนี้ล่ะ?”
“เสี่ยวเสวี่ย คุณลืมเรื่องสถานการณ์ปัจจุบันของแผนกเภสัชกรรมของเราแล้วเหรอ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้แผนกเภสัชกรรมขยายไปเพิ่มอีกหลายสิบร้านและตอนนี้สต็อคก็ไม่พอแล้วด้วย บริษัทอื่นๆเองก็พยายามยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือแต่ท้ายที่สุดยาของเราได้รับการยอมรับจากประชาชนทั่วไปในจังหวัด A แล้วและยาของยี่ห้ออื่นๆก็จะค่อยๆถูกแยกออกไปเอง ตอนนี้ระบบยาอื่น ๆ ในจังหวัด Aได้รับการพัฒนาแล้ว ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าบริษัทจะติดตลาดมากขนาดนี้”

กู่หมิงหยุดไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ “ดังนั้นเราเลยจัดการเรื่องการตลาดได้ไม่ดีเท่าไรในเมื่อเราไม่มียาที่จะจัดส่งให้พวกเขา ถ้าเราอยากที่จะเป็นเจ้าใหญ่ที่สุดมันก้เป็นเรื่องที่อันตรายมากสำหรับเรา เราควรจะให้ทางบริษัทอื่นได้เดินบ้างแต่ก็ต้องมีทางสำหรับบริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปด้วยเหมือนกัน เมื่อดูจากสถานการณ์ก่อนหน้านี้แล้ว บริษัทเจวี๋ยลี่กรุ๊ปและบริษัทยาอื่นๆในจังหวัด A ก็บรรลุข้อตกลงความร่วมมือ ดังนั้นตอนนี้การผลิตของเราไม่สามารถรองรับกับปริมาณการขายได้และแผนกการผลิตก็กำลังขยายตัวด้วย แน่นอนว่าเลยทำให้สมุนไพรของเราไม่เพียงพอ…”

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้มู่หรงเสวี่ยก็ก้มหัวอย่างครุ่นคิด เธอไม่คาดคิดมาก่อนว่าแผนกเภสัชกรรมจะประสบความสำเร็จอย่างมากมายตั้งแต่ก่อตั้งแบบนี้ เธอรู้สึกพอใจอยู่นิดหน่อย ถึงแม้เธอจะรู้อยู่แล้วว่าผลผลิตจากมิติลับจะต้องดีแต่ก็ไม่คิดว่าผลที่ได้จะดีเกินคาดกว่าที่เธอคิดไว้ขนาดนี้

ตอนนี้ปัญหาก็คือเรื่องสต๊อกสมุนไพร สมุนไพรอยู่ในมิติลับและเธอจะให้ใครรู้เรื่องมิติลับไม่ได้ ต่อไปเธอต้องอยู่ในเมืองหลวงไปอีกสองสามปี มันคงจะดีกว่าถ้าจะตั้งโกดังสินค้าทั่วไปที่เมืองหลวงเพราะเธอคงไม่มีเวลาที่จะวิ่งกลับมาจังหวัด A เพื่อส่งสมุนไพรทุกครั้ง นอกจากนี้อุตสาหกรรมต่างๆจะเริ่มจัดตั้งขึ้นในพื้นที่ชนบท ทุกที่จะต้องใช้สมุนไพรในการผลิตซึ่งทั้งหมดจะอยู่ที่ศูนย์กลางซึ่งจะสะดวกกว่าที่จะจัดส่งให้สายการผลิตในเมืองหลวง

“งั้นรอสักหน่อยนะ เดี๋ยวฉันจะบอกให้คนเตรียมสมุนไพรสำหรับหนึ่งเดือนมาให้ ในอีกสองวันฉันจะตั้งโกดังขนาดใหญ่ที่เมืองหลวงแล้วจะตั้งแผนกขนส่งเพื่อมารับผิดชอบในการขนส่งและซื้อวัสดุ ผู้สมัครจะให้พี่กู่เป็นคนเลือกและวัสดุยาจากทุกที่จะถูกส่งไปที่เมืองหลวง” มู่หรงเสวี่ยพูด
ไม่มีใครขัดเรื่องนี้แล้วพวเขาก็ไปคุยเรื่องการขยายกัน
“ผมเคยไปเยี่ยมชมเมืองทั้งหมดล่วงหน้าแล้ว แต่ละเมืองเป็นเมืองเล็กๆและคงไม่ต้องใช้ความพยายามในการเข้าถึงมากนัก งั้นเราก็สามารถเริ่มแผนการได้เลย ในแต่ละเมืองจะมีคนของเราอยู่ด้วยตอนนี้เราสามารถดำเนินการตามแผนขยายได้” โม่จื่อเหวินบอกเรื่องที่เขาดูแลเรื่องกองกำลังท้องถิ่นอยู่แล้ว ตอนนี้ชื่อเสียงของพวกแก๊งมันแตกต่างไปจากอดีตมากแล้ว แม้แต่ผู้นำของเมืองหลวงก็ยังได้ข่าวเรื่องนี้แต่ตอนนี้เมื่อมีการเดินแผนรุกเข้าไปและไม่มีฝ่ายค้าน

“งั้นตอนนี้ก็เป็นเรื่องเงินแล้วใช่ไหม? ผมขอให้ฝ่ายการเงินทำสถิติเรื่องงบที่เราต้องการและเงินทั้งหมดที่บริษัท เจวี๋ยลี่กรุ๊ปเอาออกมาใช้ได้อยู่ในรายการนี้หมดแล้ว คุณลองดูก่อนได้…” ลั่วเฉิงเฟยหยิบเอกสารสถิติการเงินออกมาแล้วส่งให้พวกเขาทุกคน

มู่หรงเสวี่ยอ่านข้อมูลในมืออย่างตั้งใจและพบว่าแหล่งเงินทุนในตอนนี้ของเธอยังไม่พอ แย่จัง เธอขมวดคิ้วและ หยิบการ์ดออกมาจากระเป๋า “ในการ์ดนี้ยังมีเงินอยู่ 5 พันล้าน พี่กู่จะเอาไปตั้งสาขาตามเมืองต่างๆ ส่วนเงินทุกที่เหลือสามารถไปหาได้ที่สนามหินการพนัน”

กู่หมิงไม่แปลกใจเลยสักนิดเพราะหลังจากที่ได้พนันมาแล้วหลายครั้ง ยังมีโอกาส 100% ที่จะเพิ่มการพนัน ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่ามู่หรงเสวี่ยมีความสามารถที่คนอื่นไม่มี เป็นวิธีที่ดีที่สุดและเร็วที่สุดในการรวบรวมเงินด้วยหินพนัน

โม่จื่อเหวินไม่เคยขัดการตัดสินใจของมู่หรงเสวี่ย ตราบใดที่เธอต้องการเขา เขาก็จะยืนอยู่ข้างเธอเสมอในฐานะผู้สนับสนุนที่แข็งแกร่งและทรงพลังของเธอ

ลั่วเฉิงเฟยขมวดคิ้วและพูดออกมาอย่างไม่เห็นด้วย “เสี่ยวเสวี่ย นี่คุณจะเอาเงินทุนที่มีไม่พอไปลงกับการพนันงั้นเหรอ?! ผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้เลย เราดำเนินการเรื่องแผนไปแล้วแต่ในตอนนี้เงินทุนไม่พอ คุณรู้ไหมว่ามันจะเกิดความเสียหายมากแค่ไหน? นี่อาจจะเป็นการฉุดสำนักงานใหญ่ของเจวี๋ยลี่ไปด้วยนะ” เขาไม่เข้าใจว่าทำไมพี่กู่ที่มักจะเด็ดเดี่ยวเสมอถึงไม่ขัดเรื่องนี้

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ เธอเข้าใจดีที่ลั่วเฉิงเฟยจะกังวล ใครที่ได้ยินเรื่องนี้ก็เป็นห่วง “ไม่ต้องห่วงนะคะ ฉันรับรองได้เลย”

“ไม่นะ ถ้าเงินทุนไม่พอ เราก็ทำได้เพียงลดแผนลง…” ลั่วเฉิงเฟยยังยืนยัน

“เสี่ยวเฟิง ไม่ต้องห่วงนะ เสี่ยวเสวี่ยเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องนี้ นายรู้ไหมว่าเทพธิดาแห่งการพนันคนนั้นคือเสี่ยวเสวี่ยนะ!” พี่กู่พูด

“อะไรนะ?” ลั่วเฉิงเฟยเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ เป็นเวลานานก่อนที่จะมีการพูดคุยกัน มีการกล่าวขานกันทั่วว่าเทพธิดาแห่งการพนันมีความเชี่ยวชาญอย่างมาก ในตอนนั้นยังไม่มีการพูดถึงชื่อ ดังนั้นเขาจึงรู้จักแค่ชื่อของเทพแห่งการพนันหิน แต่ไม่รู้ว่าคือใคร ในตอนนั้นเขาถอนหายใจและคิดว่าเป็นเรื่องดีที่จริงๆที่คนแบบนั้นมีโชคในเรื่องการพนันแบบนี้

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและหัวเราะและในที่สุดแผนสุดท้ายก็ได้ถูกกำหนด
“พี่จื่อเหวิน เสี่ยวหลินเป็นไงบ้าง? ทำไมตอนที่ฉันกลับไปบ้านถึงไม่เจอเขาเลย?” หลังจากที่ประชุมเสร็จ มู่หรงเสวี่ยก็ถามโม่จื่อเหวิน

“เขาบอกว่าอยากที่จะเป็นอย่างพี่เสี่ยวเสวี่ย เขาอยากที่จะพึ่งพาตัวเอง เขาอยากที่จะไปเข้าโรงเรียนและอยู่หอพัก แถมเขายังไม่ยอมรับเงินที่ผมให้เขาด้วย ตอนนี้เขาทำงานพาร์ทไทม์ด้วย เขาไม่ยอมฟังสิ่งที่ผมพูดและนี่ก็น่าจะเดือนแล้วที่ไม่ได้กลับไปที่ตระกูลมู่หรง ถ้าเขารู้ว่าคุณกลับมาแต่ไม่เจอเขาก็คงจะเสียใจ…” โม่จื่อเหวินพูดพร้อมรอยยิ้มที่น้องชายตัวเองอยากที่จะพึ่งพาตัวเอง

อันที่จริงมู่หรงเสวี่ยก็ไม่เห็นด้วยจึงขมวดคิ้วเล็กน้อย “งานพาร์ทไทม์ไม่หนักเหรอ? อีกอย่างเขาก็ต้องเรียนด้วย เขายังเด็กอยู่เลย ถ้าอยากที่จะพึ่งตัวเองไว้โตก่อนค่อยทำก็ได้…แล้วเขาไปทำงานพาร์ทไทม์ที่ไหน? เขายังไม่เป็นผู้ใหญ่เลยนะ…”

“ไม่ต้องห่วง ผมเช็กมาแล้ว อันที่จริงเขาเป็นติวเตอร์ช่วยสอน เกรดของจื่อเหลินค่อนข้างดี เขาเลยไปช่วยให้คำปรึกษากับพวกรุ่นน้อง เป็นงานที่ดีมากๆซึ่งอาจารย์ของเขาเป็นคนแนะนำมาให้ ไม่ต้องห่วงนะครับ…” โม่จื่อเหวินพูด เมื่อเทียบกับแต่ก่อนแล้วเขาเป็นห่วงเรื่องของเสี่ยวเสวี่ยมากกว่า ถึงแม้เขาจะคอยให้คนตามเรื่องสถานการณ์ของมู่หรงเสวี่ยอยู่แต่เขาก็ค่อนข้างห่างจากจังหวัด A และตอนนี้เขาก็ไม่ได้เข้ามาแทรกแซงในจังหวัด A ดังนั้นเขาจึงพยายามที่จะสร้างการสนับสนุนที่มั่นคงให้เสี่ยวเสวี่ย

“เขาเป็นไงบ้าง? มีอะไรผิดปกติบ้างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยยังกังวลเรื่องสุขภาพของเสี่ยวหลินอยู่

“ดีขึ้นมากแล้ว น้ำที่คุณให้มาเขาก็ยังดื่มอยู่ ก่อนหน้านี้ผมพาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล ผลการตรวจทุกอย่างออกมาเป็นปกติทุกอย่าง” โม่จื่อเหวินอธิบาย

“เขาอยู่โรงเรียนไหน? ฉันจะไปหาเขาหน่อย…” เธอไม่ได้เจอเขามานานแล้วงั้นถ้าเธอได้เห็นเขาก็คงจะรู้สึกโล่งใจ

โม่จื่อเหวินมองไปที่นาฬิกาข้อมือและพูดออกมา “ผมจะพาคุณไปเอง นี่ก็เกือบจะได้เวลาเลิกเรียนแล้วด้วย”

วันนี้มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ขับรถมา เธอคิดว่าจะนั่งแท็กซี่ไปเองอยู่แล้ว “พี่จื่อเหวินรอเดี๋ยวได้ไหม ยุ่งหรือเปล่า? ถ้าพี่ยุ่งฉันไปเองได้นะ”

“ไม่เป็นไร ไปกันเถอะ ผมเองก็อยากที่จะเจอเขาด้วยเหมือนกัน…” โม่จื่อเหวินเดินนำออกไปก่อน

มู่หรงเสวี่ยรีบเดินตามไปและถามออกมา “พี่จื่อเหวิน เรื่องของแก๊งโม่เป็นไงบ้าง? มันอันตรายมากหรือเปล่า?” โลกใต้ดินไม่ใช่อะไรที่จะเข้าไปยุ่งด้วยง่ายๆ เธอไม่ค่อยเป็นห่วงเรื่องแผนกอื่นเท่าไร แผนกเดียวที่เธอเป็นกังวลก็คือแผนกรักษาความปลอดภัยที่พี่จื่อเหวินเป็นคนดูแลและมีแก๊งโม่เข้ามารวมด้วย นี่เป็นงานที่อันตรายที่สุด

“ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจัดการได้” โม่จื่อเหวินตอบพร้อมรอยยิ้มที่ถึงแม้จะมีบางครั้งที่อันตรายแต่ก็ไม่ใช่เรื่องจำเป็นที่เสี่ยวเสวี่ยจะต้องรู้

มู่หรงเสวี่ยคิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับเธอที่จะได้รู้เรื่องสถานการณ์เรื่องโม่แก๊งของพี่จื่อเหวิน เธอจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยแล้วมีความสุขไปกับผลลัพธ์อย่างเดียวไม่ได้ “พี่จื่อเหวิน หลังจากที่เจอเสี่ยวหลินแล้วฉันจะไปดูแก๊งโม่กับพี่นะ”

พวกเขาขึ้นไปบนรถแล้ว โม่จื่อเหวินที่กำลังสตาร์ทรถตกใจเมื่อได้ยินคำพูดของมู่หรงเสวี่ย เขาตกใจและถามออกมา “ทำไมคุณถึงอยากไปที่แก๊งโม่…” พวกคนที่อยู่ในแก๊งโม่ต่างก็เป็นโจรกันทั้งนั้น เขาไม่อยากให้เสี่ยวเสวี่ยเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนี้ นอกจากนี้ในแก๊งก็ต่างจากพวกออฟฟิศบริษัท มันมีอาวุธมากมายและยังมีอื่นๆอีกด้วย เขากลัวว่าจะทำให้เธอกลัว

“ฉันจะเข้าไปดูสถานการณ์ซะหน่อย ฉันอยากที่จะรู้ว่าสถานที่ที่พี่จื่อเหวินไปอยู่เป็นประจำมันเป็นยังไง” มู่หรงเสวี่ยพูด

โม่จื่อเหวินพูดในระหว่างที่กำลังขับรถ “ไม่มีอะไรพิเศษหรอกครับ ก็แค่สถานที่ธรรมดาๆ…”

“ไม่สำคัญหรอกว่ามันจะเป็นยังไง ฉันจะไปดู ดูเหมือนพี่จื่อเหวินไม่อยากที่จะให้ฉันไปที่นั่นเลย ทำไมเหรอคะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
โม่จื่อเหวินหายใจเข้าลึกๆและพูดออกมา “สถานที่แบบนั้นไม่เหมาะที่จะให้คนอย่างคุณไปและมันก็ไม่ใช่ที่ที่สะอาดเท่าไร…”

“พี่จื่อเหวินไปได้ งั้นก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ฉันจะไปไม่ได้ ฉันไม่ใช่คนที่พิเศษอะไร งั้นเอาแบบนี้นะคะ ถ้าพี่ไม่พาฉันไปฉันจะไปคนเดียว” มู่หรงเสวี่ยพูด

โม่จื่อเหวินกำพวงมาลัยแน่นและสุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างจนปัญญา มันคงจะดีกว่าถ้ามีเขาไปคอยดูแลเธอด้วยแทนที่จะให้เธอไปคนเดียว อีกอย่างไม่มีใครกล้าที่จะอวดดีถ้าเขาอยู่ที่นั่นด้วย เขาคิดว่าบางทีอาจจะเป็นธรรมชาติของเด็กแบบเสี่ยวเสวี่ยที่จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องเกี่ยวกับโม่แก๊ง เขาคิดว่าจะพาเธอเดินดูแล้วค่อยกลับออกมา

หลังจากนั้นสักพักพวกเขาก็มาถึงหน้าประตูโรงเรียนมัธยมของโม่จื่อเหลิน ในตอนนี้เสียงระฆังที่โรงเรียนเพิ่งจะดัง