ตอนที่ 32-2 ไปคารวะท่านราชครู

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ท่านราชครูกับภรรยาทั้งสองคนก็ได้รับการรายงานจากคนรับใช้แล้วว่าโจวอี้กลับมาแล้ว แม้จะไม่ได้วิ่งออกไปรับถึงหน้าประตูบ้านเหมือนฮูหยินโจวเซี่ยว แต่ก็ยืนรอที่หน้าเรือนรอพวกเขาด้วยความร้อนรน

 

 

เห็นท่านราชครูกับภรรยายืนรอจากที่ไกลๆ โจวอิ๋งรีบเดินเข้าไปหยุดอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง เป็นภาพที่หน้าประทับใจแก่ผู้พบเห็น

 

 

จวบจนกระทั่งพวกนางสงบอารมณ์ได้ หวงฝู่อี้เซวียนจึงก้าวเดินเข้าไปคารวะท่านราชครูด้วยความเคารพ “ท่านอาจารย์”

 

 

ท่านราชครูพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยอบตัวลงคารวะ เอ่ยขึ้นว่า “ไม่พบกันสี่ปี ท่านอาจารย์ยังคงแข็งแรงเช่นเดิม”

 

 

ท่านราชครูลูบเครา หัวเราะฮ่าฮ่าแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ไม่พบกันสี่ปี แม่นางเมิ่งโตขึ้นเป็นแม่นางใหญ่แล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างแก่นซนว่า “ท่านราชครูกล่าวเกรงใจไปแล้ว ท่านควรจะบอกว่าข้าเป็นแม่นางแก่แล้วมากกว่า”

 

 

ท่านราชครูจึงหัวเราะขึ้นอย่างเบิกบานใจ

 

 

หลังจากที่สนทนาปราศรัยกันแล้วฮูหยินของท่านราชครู ฮูหยินโจวเซี่ยวกับโจวอิ๋งที่อุ้มหงเอ๋อร์ก็เข้าไปสนทนากันภายในเรือนของฮูหยินท่านราชครู ส่วนท่านราชครูพาเมิ่งเชี่ยนโยว หวงฝู่อี้เซวียนกับเมิ่งอี้ไปยังเรือนรับรอง

 

 

หลังจากที่สั่งให้คนรับใช้ชงชาเสร็จแล้วท่านราชครูก็เอ่ยขึ้นว่า “เรื่องของซื่อจื่อกับแม่นางเมิ่งข้าก็พอจะได้ข่าวคราวอยู่บ้าง ไม่ทราบว่าพวกเจ้าคิดจะทำเช่นไรต่อไป?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร ยิ้มพร้อมกับมองหน้าหวงฝู่อี้เซวียน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งเก้าอี้ตัวตรง ตอบด้วยความเคารพว่า “ไม่ปิดบังท่านอาจารย์ ข้ากำลังคิดหาวิธียกเลิกการแต่งงานอยู่”

 

 

ท่านราชครูพยักหน้า “ข้าทราบแต่แรกแล้วว่าพวกเจ้าต้องทำเช่นนี้ แต่ว่าด้วยสถานการณ์ของเจ้าในตอนนี้ เกรงว่าเรื่องยกเลิกงานแต่งนั้นจะมิใช่เรื่องง่าย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเม้มปาก

 

 

ท่านราชครูเอ่ยต่อว่า “การแต่งงานของเจ้ากับคุณหนูจวนราขเลขานั้นกำหนดขึ้นตั้งแต่ตอนที่พวกเจ้ายังไม่เกิด บัดนี้พวกเจ้าเติบโตพอที่จะแต่งงานงานกันได้แล้ว แต่เจ้ากลับคิดจะยกเลิกการแต่งงาน เรื่องนี้สำหรับคุณหนูจวนราขเลขาแล้วมันเป็นความอัปยศถึงชีวิต แค่เพียงคำติฉินนินทาจากคนในเมืองหลวงก็เพียงพอที่จะกดดันให้นางถึงแก่ชีวิตได้ ดังนั้นเจ้าจงจัดการเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังที่สุด ทางที่ดีการยกเลิกงานแต่งต้องอย่าให้ทำร้ายผู้ใดได้ แล้วค่อยจัดงานแต่งงานของเจ้ากับแม่นางเมิ่ง ถ้าขืนเจ้ายกเลิกงานแต่งนี้โดยไม่ยอมอ่อนข้อก็รังแต่จะทำให้มีปัญหากับจวนราขเลขา ซึ่งต่อไปเมื่อเจ้าเข้าไปในราชสำนักก็จะมีแต่ผลเสียไม่มีผลดีแม้แต่น้อย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้ารับคำสั่งสอน “จะปฏิบัติตามคำสั่งสอนของท่านอาจารย์ขอรับ ข้ากับโยวเอ๋อร์จะต้องหาวิธีที่เหมาะสมที่สุด ยกเลิกงานแต่งงานอย่างรอบคอบ”

 

 

ท่านราชครูพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “สี่ปีก่อน หลังจากที่ข้าได้พบกับแม่นางเมิ่งก็ทราบว่าเจ้ามิใช่คนธรรมดา ฉลาดหลักแหลมเหนือผู้ใด คนทั่วไปมิอาจเทียบได้ ฉะนั้นเรื่องนี้แม่นางเมิ่งอย่าใจร้อนเกินควร ให้ทุกอย่างค่อยเป็นค่อยไปจะได้ไม่มีภัยอันตรายซ่อนอยู่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอบรับด้วยความเคารพว่า “ขอบพระคุณท่านอาจารย์ที่ชี้แนะเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านราชครูลูบเครา หัวเราะหึๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ที่ข้ากำชับพวกเจ้าเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ทำเพื่อพวกเจ้าเท่านั้น และก็ทำเพื่อตัวข้าเองเช่นกัน ตั้งแต่สี่ปีก่อนที่ข้าเป็นอาจารย์ให้ซื่อจื่อพวกเราก็ได้ผูกชีวิตไว้ด้วยกันแล้ว ยามเจริญก็เจริญเช่นกัน ยามสูญเสียก็สูญเสียเช่นกัน ข้าจึงไม่อยากให้พวกเจ้ามีปัญหา อีกทั้งยังหวังว่าตัวเองจะใช้ชีวิตเกษียณอย่างปลอดภัย”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอาจารย์โปรดวางใจเจ้าค่ะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ทำอะไร เมื่อใดที่อี้เซวียนยกเลิกการแต่งงานกับคุณหนูจวนราขเลขาได้แล้วค่อยมาคุยกันเรื่องงานแต่งของเรา”

 

 

“เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว ข้าจะรอข่าวดีจากพวกเจ้า ถ้าหากมีสิ่งใดที่ต้องการให้ข้าช่วยเหลือก็ส่งคนมาบอกข้า ข้าจะช่วยพวกเจ้าจนสำเร็จ” ท่านราชครูกล่าว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนกล่าวขอบคุณพร้อมกัน “ขอบพระคุณท่านอาจารย์”

 

 

ท่านราชครูโบกมือแล้วหันไปมองเมิ่งอี้พร้อมกับพูดว่า “อิ๋งเอ๋อร์กล่าวในจดหมายว่าเจ้ามักจะออกไปทำการค้าข้างนอก เมื่อออกไปข้างนอกจงระมัดระวังตัวเองให้ปลอดภัยล่ะ”

 

 

เมิ่งอี้ตอบด้วยความนอบน้อมว่า “ขอบพระคุณท่านปู่ ข้าเพียงแต่ช่วยน้องโยวเอ๋อร์ดูแลร้านค้าเล็กๆ ใหม่เท่านั้น รอให้พวกเขาทำอะไรเข้าที่แล้วข้าก็กลับ ไม่มีอันใดที่อันตรายขอรับ”

 

 

ท่านราชครูพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ย “ท่าอาจารย์ไม่ต้องกังวลเรื่องพี่รองเลยเจ้าค่ะ ข้าซื้อร้านเล็กๆ ตรงข้ามเหลาจวี้เสียนไว้เพื่อเตรียมเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง ต่อไปพี่รองก็จะเป็นเจ้าของร้าน ข้าจะไม่ให้เขาไปที่ใดสักพัก”

 

 

ท่านราชครูได้ยินดังนั้นก็ยินดียิ่งนัก “ถ้าเช่นนั้นก็หมายความว่าต่อไปครอบครัวของอิ๋งเอ๋อร์ก็จะพักอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยเช่นนั้นหรือ?”

 

 

“เพียงแค่สักพักเจ้าค่ะ ถึงอย่างไรตอนนี้พี่รองก็ต้องดูแลร้านสาขาอื่นทั้งหมดอยู่ เขามิอาจมาพักอยู่ที่เมืองหลวงได้บ่อยๆ” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

แม้ท่านราชครูจะค่อนข้างผิดหวัง แต่พอนึกได้ว่าต่อไปโจวอิ๋งจะอยู่ที่เมืองหลวงได้นานสักพักก็รู้สึกดีใจขึ้นมา เอ่ยขึ้นว่า “เพียงแค่ต่อไปอิ๋งเอ๋อร์ได้กลับมาพักอยู่ที่เมืองหลวงสักระยะได้ทุกปีพวกเราก็พอใจแล้ว”

 

 

“เรื่องนี้มิใช่ปัญหาเจ้าค่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “ต่อไปบางครั้งบางคราวพวกเราก็จะมีขบวนรถม้ามาส่งสินค้า หากยามใดที่ท่านคิดถึงพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์ ก็จะให้พวกเขามาพร้อมกับขบวนรถม้าส่งสินค้าเจ้าค่ะ”

 

 

ท่านราชครูพยักหน้าหงึกหงักด้วยความยินดี เอ่ยว่า “เป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐแล้ว เป็นเช่นนั้นก็ประเสริฐยิ่งนัก”

 

 

ท่านราชครูมีสีหน้าเคร่งขรึมมาตลอด มักจะเก็บความรู้สึกไว้ น้อยนักที่จะเห็นว่ามีอาการตื่นเต้นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าสี่ปีมานี้พวกเขาคิดถึงโจวอิ๋งมากเหลือเกิน คิดถึงเหลือเกิน

 

 

ท่านราชครูก็หันหน้าไปพูดกับเมิ่งอี้อีกครั้ง “ในเมื่อต่อไปพวกเจ้าจะต้องมาพักอยู่ในเมืองหลวงบ่อยๆ ก็ย้ายมาพักอยู่ในเรือนนี้เถิด อีกประเดี๋ยวข้าจะให้คนไปเก็บกวาดห้องไว้ให้”

 

 

เมิ่งอี้ปฏิเสธอย่างนุ่มนวล “ท่านปู่ น้องโยวเอ๋อร์ได้ตระเตรียมที่พักไว้ให้พวกเราแล้ว เราพักอยู่กับนางดีกว่าขอรับ ไม่รบกวนพวกท่านดีกว่า”

 

 

โจวอิ๋งไม่ได้กลับบ้านเดิมมาสี่ปีแล้ว วันนี้ได้กลับมาทั้งที มีหรือที่ท่านราชครูจะยอมให้นางไปพักอยู่ที่อื่น จึงตัดสินใจในทันที “ที่นี่เป็นบ้านเดิมของอิ๋งเอ๋อร์ มีที่ไหนเมื่อกลับมาแล้วให้ไปพักที่บ้านอื่น เรื่องนี้เอาเช่นนี้ก็แล้วกัน ข้าจะสั่งคนให้ไปเก็บกวาดห้องให้พวกเจ้า”

 

 

เมิ่งอี้มิกล้าโต้แย้ง จึงชายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวราวกับว่ากำลังต้องการความช่วยเหลือ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวทราบดีว่าเขามักจะคิดว่าตัวเองนั้นเด็ดดอกฟ้าอย่างโจวอิ๋ง จึงรู้สึกละอายใจ หากพักอยู่ที่นี่จะรู้สึกไม่สบายใจนัก จึงพูดคลี่คลายขึ้น “ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่พี่เมิ่งอี้กับพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กลับบ้านเดิม คืนนี้ต้องพักอยู่ที่นี่อย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอร้านบะหมี่มันฝรั่งเปิดกิจการแล้วกิจการงานต่างๆ ก็จะยุ่งขึ้นมาก พี่เมิ่งอี้ก็จะกลับบ้านไม่เป็นเวลา หากเขาพักอยู่ที่นี่อาจจะรบกวนพวกท่านอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้เขาพักอยู่ที่บ้านข้าดีกว่าเจ้าค่ะ ส่วนพี่สะใภ้อิ๋งเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์นั้นจะให้พวกเขาพักอยู่ที่ไหนก็ได้”

 

 

นางพูดอย่างมีเหตุมีผล ท่านราชครูจึงพยักหน้าเห็นด้วยแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ถ้าเช่นนั้นก็ให้อี้เอ๋อร์พักอยู่ที่นี่ไม่กี่วัน เมื่อร้านของพวกเจ้าเปิดแล้วค่อยให้เขาย้ายไป”

 

 

เมิ่งอี้ลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทางของเขาแล้วก็ลอบยิ้มอยู่ในใจ

 

 

ส่วนอีกห้องทั้งสามคนก็สนทนากันอย่างมีความสุข มีเสียงหัวเราะเล็กๆ ของหงเอ๋อร์กับผู้ใหญ่ทั้งสามคนดังออกมาเป็นระยะ

 

 

บรรยากาศภายในบ้านไม่ได้ครึกครื้นเช่นนี้มานานมากแล้ว ท่านราชครูเองก็ดีใจอย่างยิ่ง เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้พวกเจ้าไม่ต้องกลับแล้ว ทานมื้อเย็นอยู่ที่นี่เถิด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวบอกปัด “ที่บ้านยังมีแขกอีกเจ้าค่ะ อีกประเดี๋ยวเราก็กลับไปแล้ว วันนี้มีเวลาฉุกละหุกเหลือเกิน รอวันหน้าเมื่อมีโอกาสพวกเราค่อยมาคุยกันกับท่านอาจารย์ให้สำราญใจอีก”

 

 

ท่านราชครูพยักหน้า ทุกคนต่างก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันอีกสักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนก็ลุกขึ้นกล่าวอำลา

 

 

ท่านราชครูจึงให้คนไปบอกกับทั้งสามคนที่อยู่ภายในห้อง

 

 

ฮูหยินท่านราชครูกับฮูหยินโจวเซี่ยวจึงเดินออกมาจับแขนของนางพร้อมกับกล่าวขอโทษขอโพย เมื่ออิ๋งเอ๋อร์กลับมาแล้วพวกนางก็มัวแต่ดีใจจนละเลยนาง แล้วก็รั้งนางไว้อย่างกระตือรือร้น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ปฏิเสธที่พวกนางรั้งให้อยู่ต่ออย่างนุ่มนวลเช่นเดิม กล่าวเกรงใจอย่างนอบน้อมอีกหลายประโยค แล้วทุกคนก็เดินออกมาส่งนางกับหวงฝู่อี้เซวียนด้วยตัวเอง

 

 

หยุดฝีเท้าแล้วเมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยขึ้นว่า “พี่เมิ่งอี้ พี่สะใภ้ พวกท่านพักอยู่ที่บ้านนี้อย่างสบายใจเถิดเจ้าค่ะ เมื่อเปิดกิจการร้านค้าแล้วข้าจะให้คนมาบอกพวกท่านอีกครั้ง”

 

 

ด้านเมิ่งอี้นั้นยังดี ส่วนด้านโจวอิ๋งนั้นพยักหน้าด้วยความแปลกใจระคนยินดี

 

 

หลังจากที่ทั้งสองคนกล่าวอำลาทุกคนด้วยความเคารพแล้วก็ขึ้นรถม้ากลับบ้านของตนเอง

 

 

ซุนเหลียงไฉยังไม่ได้กลับมา เมิ่งเชี่ยนโยวแหงนมองท้องฟ้าแล้วถามว่าหวงฝู่อี้เซวียนจะอยู่ทานมื้อเย็นด้วยไหมแล้วก็เดินเข้าเรือนครัว ลงมือทำอาหารด้วยตัวเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเรียกหวงฝูอี้มา แล้วบอกให้เขาไปส่งข่าวที่จวนอ๋องฉีว่ามีเพื่อนมาจากเมืองชิงซี เย็นนี้เขาไม่กลับไปรับมื้อเย็นกับอ๋องฉีสองสามีภรรยาแล้ว

 

 

หวงฝู่อี้รับคำแล้วขึ้นม้าควบตะบึงกลับไปรายงานที่จวนอ๋องฉี

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเข้ามาเป็นลูกมือในเรือนครัวเล็ก

 

 

พอเด็กรับใช้ที่อยู่ในเรือนครัวเล็กเห็นเขาเดินเข้ามาในเรือนครัวก็ตกใจจนแทบสิ้นสติ เหลือบมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งนางว่า “ที่นี่เจ้าไม่ต้องมาช่วยแล้ว เจ้าไปช่วยในเรือนครัวเรือนใหญ่เถอะ”

 

 

หลังจากที่เด็กรับใช้รับคำสั่งแลวก็ค่อยๆ เดินออกไปจากเรือนครัวเล็ก

 

 

อาหารยังทำไม่เสร็จซุนเหลียงไฉก็กลับมาแล้ว พอเดินเข้ามาในบ้านแล้วได้กลิ่นหอมของอาหารโชยมาก็เดินตรงเข้าไปในเรือนครัวเล็กทันที พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “หอมจัง ข้าไม่ได้ทานอาหารที่มีกลิ่นหอมขนาดนี้มานานแล้ว ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าดีต่อข้าที่สุดเลย”

 

 

—————————-