ตอนที่ 33-1 การอวยพรช่างครึกครื้นจริงๆ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

หวงฝู่อี้เซวียนที่กำลังใช้มือเติมฟืนใส่ในเตาพลันชะงัก จากนั้นสะบัดมือขึ้น เศษกิ่งไม้กิ่งเล็กๆ ก็ลอยละลิ่วไปหาซุนเหลียงไฉ

 

 

ซุนเหลียงไฉกำลังจะก้าวเท้าหลังจะเข้าไปในเรือนครัว จู่ๆ ก็มีวัตถุประหลาดลอยเข้ามาปะทะหน้า ตกใจจนรีบถอยหลังออกห่างจากเรือนครัวไปหลายก้าว

 

 

กิ่งไม้เล็กๆ ลอยไปปะทะหน้าประตูเสียงดัง “เปรี้ยง”

 

 

ซุนเหลียงไฉร้องเสียงหลงขึ้น “ใครกันที่บังอาจมาลอบโจมตีคุณชาย โผล่หน้าออกมา!”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนั่งนิ่ง แล้วก็ใส่เศษกิ่งไม้เข้าไปในเตาอีกหลายกิ่ง เอ่ยพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “ครั้งนี้เป็นแค่การเตือน หากครั้งหน้าข้าได้ยินเจ้าพูดจาคลุมเครือเช่นนี้อีกละก็ ข้าจะเย็บปากเจ้า จนเจ้าจะอ้าปากไม่ได้อีกตลอดกาล”

 

 

ซุนเหลียงไฉรีบยกมือขึ้นมาปิดปากของตนอย่างลนลาน ค่อยๆ เดินมาหน้าประตูเรือนครัวด้วยความระมัดระวัง แล้วยื่นหน้าเข้าไปมองข้างในอย่างไม่อยากจะเชื่อ พอเห็นว่าเป็นหวงฝู่อี้เซวียนจริงๆ ก็กรีดร้องออกมา “โอ้ เจ้าเป็นถึงซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องแต่กลับมาช่วยคุมไฟในเรือนครัว หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าคงกลายเป็นตัวตลกของคนทั่วทั้งเมืองหลวง”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจงใจสั่งสอนเขา เอ่ยขึ้นเสียงดังว่า “เจ้าพูดไม่ผิด อันที่จริงด้วยฐานะของอี้เซวียนไม่เหมาะนักที่จะมาช่วยคุมไฟ ถ้าเช่นนั้นรบกวนคุณชายซุนเข้ามาช่วยนะเจ้าคะ”

 

 

ซุนเหลียงไฉยังไม่รู้ตัว ถามขึ้นอย่างโง่งมว่า “ช่วยอะไร? ข้าทำอาหารไม่เป็นนะ”

 

 

“ไม่ได้ให้เจ้าทำอาหารอยู่แล้ว เจ้ามาช่วยคุมไฟก็พอแล้ว”

 

 

“อะไรนะ?” ซุนเหลียงไฉกรีดร้องขึ้นอีกครา ชี้ที่จมูกของตัวเองแล้วถามขึ้นว่า “ให้ข้าช่วยเจ้าคุมไฟหรือ เจ้าไม่ได้เข้าใจอะไรผิดใช่ไหม?”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยถามเสียงเ**้ยม “แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไร?”

 

 

ซุนเหลียงไฉเดินถอยหลังหลายก้าวอีกครั้ง สั่นศีรษะรัวๆ “ข้าเป็นถึงคุณชายตระกูลซุน จะทำงานกุลีเช่นนี้ได้อย่างไร? ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นหัวเราะ จงใจข่มขู่เขาอีกว่า “เดิมทีข้าคิดจะทำกับข้าวสี่อย่างกับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่าง ในเมื่อเจ้าไม่ยอมคุมไฟให้ เช่นนั้นข้าก็ทำกับข้าวอย่างเดียวก็พอ ถึงอย่างไรกระเพาะของข้ากับอี้เซวียนก็ไม่ได้ใหญ่อะไร กินแก้ขัดไปก่อนก็พอจะอิ่มได้”

 

 

ซุนเหลียงไฉกระวนกระวายใจในบัดดล “เจ้ามีน้ำใจหรือไม่ ข้ารอนแรมมาจากเมืองชิงซีตั้งไกลเพื่อมาหาเจ้าโดยเฉพาะ เจ้ากลับปฏิบัติต่อข้าเช่นนี้หรือ?”

 

 

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับว่าจะมีน้ำใจหรือไม่ ในเมื่อฐานะของอี้เซวียนไม่เหมาะที่จะมาคุมไฟ ตัวข้าเองก็ไม่อาจที่จะทำกับข้าวไปพลาง คุมไฟไปพลาง จึงต้องให้เจ้ามาช่วยอย่างไรเล่า” เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าว

 

 

ซุนเหลียงไฉลนลานรีบกลับคำพูด “ได้ๆๆ เขาคุมไฟได้สิ ถึงอย่างไรในภายหน้าพวกเจ้าก็ต้องออกเรือนด้วยกัน พวกเจ้าเป็นดั่งภรรยาร้องรำสามีทำตามเช่นนี้ก็ดีแล้ว ดีมากแล้ว”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผลอยิ้ม

 

 

สีหน้าของหวงฝู่อี้เซวียนก็อ่อนโยนขึ้นเป็นกอง

 

 

พอซุนเหลียงรู้สึกได้ว่าไอพลังที่หวงฝู่อี้เซวียนปล่อยออกมานั้นอ่อนโยนขึ้นก็ถอนหายใจโล่งอก ลอบคิดในใจว่า โชคดีที่ตนนั้นฉลาดหลักแหลมที่คิดคำพูดเหล่านี้ขึ้นมาได้ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงได้ถูกบังคับให้คุมไฟจริงๆ แล้ว

 

 

เดิมทีเมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะแกล้งเขาเล่นเท่านั้น นางยิ้มพลางส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้สนใจอะไรเขาอีก

 

 

ซุนเหลียงไฉทนไม่ไหวกับกลิ่นหอมยั่วยวนของอาหาร จึงคิดที่จะชะเง้อคอออกไปดูว่าเมิ่งเชี่ยนโยวทำกับข้าวอะไรกันแน่ แต่ก็กลัวว่าตัวเองจะไม่ระวังจนทำให้นางโมโหขึ้นมาอีก แล้วให้ตัวเองต้องคุมไฟ ดังนั้นจึงรู้สึกสับสนไม่น้อย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจเขา นางตั้งใจทำกับข้าวไปเรื่อยๆ

 

 

ซุนเหลียงไฉค่อยๆ ย่องทีละก้าวเข้าไปหากับข้าวที่ทำเสร็จแล้ว พอเห็นว่าทั้งหมดนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ตัวเองโปรดปรานก็รู้สึกดีใจราวกับในใจมีดอกไม้บานสะพรั่ง แอบคิดในใจว่า เจ้าบ้านี่ปากแข็งแต่ใจอ่อน ความจริงแล้วยังใส่ใจตัวเองอยู่ หากไม่เช่นนั้นก็คงไม่ทำกับข้าวที่ตัวเองชื่นชอบทั้งหมดหรอก

 

 

ไม่นานนักเมิ่งเชี่ยนโยวก็ทำกับข้าวสี่กับน้ำแกงอีกหนึ่งอย่างเสร็จ คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้นางต้องสั่ง ซุนเหลียงไฉที่เฝ้าอยูในเรือนครัวตลอดเวลาก็ยกอาหารไปไว้ในห้องอาหารด้วยความสมัครใจ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกับหวงฝู่อี้เซวียนล้างมือเรียบร้อยแล้วก็เดินตามเข้าไป

 

 

ทุกคนนั่งลงแล้วก็หยิบตะเกียบขึ้นมาทานอาหารกันโดยไม่รู้สึกเกรงอกเกรงใจ

 

 

เป็นเพราะว่าเมิ่งเชี่ยนโยวสั่งสอนมาหลายปี ถึงแม้ว่าจะเป็นกับข้าวของโปรดของตน ซุนเหลียงไฉก็ไม่ได้เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทานอย่างไร้มารยาทเช่นแต่ก่อน หากแต่ทานกับข้าวของโปรดที่อยู่ตรงหน้าของตนเองอย่างมีมารยาทไม่ช้าไม่เร็ว

 

 

หลังจากที่ทานอาหารเสร็จแล้ว จึงสั่งให้สาวใช้มาเก็บสำรับไป จากนั้นก็ชงชาแล้วทุกคนก็นั่งคุยกันเรื่อยเปื่อย

 

 

ซุนเหลียงไฉกับหวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พบกันมาสี่ปีแล้ว จึงมีเรื่องพูดคุยกันหลายเรื่องเป็นธรรมดา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งข้างๆ ฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ

 

 

ซุนเหลียงไฉเอ่ย “กิจการที่สำคัญทั้งหมดของตระกูลท่านปู่ได้มอบหมายให้ข้าหมดแล้ว ในแต่ละวันตัวท่านเองมักจะชวนเพื่อนเก่ามาดื่มน้ำชา สนทนาปราศรัยกันทุกวัน ส่วนท่านพ่อข้าก็ไม่ค่อยได้ทำตัวเอ้อระเหยลอยชายแล้ว บางทีก็มาช่วยข้าตรวจตราร้านค้าบ้างเป็นครั้งเป็นคราว ท่านทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่การตรวจบัญชีนั้นทำได้ดี โดยเฉพาะตอนสิ้นปี โชคดีที่มีท่านคอยช่วย ส่วนข้านั้น…” พูดมาถึงตรงนี้ก็หัวเราะแฮ่ๆ “ปีที่แล้วข้าออกเรือนแล้ว ภรรยาเป็นหลานสาวของเพื่อนเก่าท่านปู่ พวกเราเข้ากันได้ดี หลังจากออกเรือนแล้วก็มีความสุขมาก” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ชายตามองเมิ่งเชี่ยนโยวแวบหนึ่ง แล้วก็ขยับเข้าไปใกล้หวงฝู่อี้เซวียน กดเสียงต่ำแล้วเอ่ยขึ้นอย่างมีความสุขว่า “ภรรยาข้าตั้งครรภ์แล้ว พอสิ้นปีนี้ไปข้าก็จะได้เป็นพ่อแล้ว”

 

 

หลังจากพูดจบก็นั่งตัวตรง ยิ้มกริ่ม ความสุขที่ปรากฏบนใบหน้าไม่มีสิ่งใดมาขวางกั้นเลย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองเขาด้วยความแปลกใจ

 

 

ซุนเหลียงไฉกล่าวว่า “มองข้าทำไมหรือ ปีนี้ข้าก็อายุสิบเก้าแล้ว คนอื่นเขามีลูกกันสองสามคนแล้ว ข้าเพิ่งจะมีคนเดียว ท่านปู่กับท่านพ่อข้าเร่งรัดเราสองคนเรื่องลูกจนเราเกือบจะแย่ ในที่สุดตอนนี้ก็มีจนได้”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนมองหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เรื่องที่ซุนเหลียงไฉออกเรือนนั้นเมิ่งเชี่ยนโยวทราบอยู่แล้ว แล้วก็ทราบอีกว่านักบุญซุนร้อนใจเรื่องที่สองสามีภรรยานั้นไม่มีบุตรเสียที ตอนนี้ได้ยินซุนเหลียงไฉพูดเช่นนี้จึงดีใจแทนเขาเป็นธรรมดา เอ่ยถามขึ้นว่า “คราวนี้นักบุญซุนคงดีใจแย่แล้วกระมัง?”

 

 

ซุนเหลียงไฉก็ไม่ปฏิเสธ เขาพยักหน้าหงึกหงัก “ใช่แล้ว เวลานี้ท่านปู่ข้ามีความสุขจนไม่ยอมหยุดพูด แม้แต่ไปดื่มน้ำชากับเพื่อนเก่าก็เดินคล่องปร๋อขึ้นมาก ยังมีท่านพ่อข้าอีก ตอนนี้พอเห็นอะไรที่น่าสนุกก็ซื้อกลับมาบ้านหมด บอกว่าซื้อมาให้หลานคนโต”

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนหายตกใจแล้วก็รู้สึกดีใจกับเขาด้วย เอ่ยว่า “ยินดีกับเจ้าด้วย รอเจ้าตัวน้อยคลอดออกมาแล้วข้าจะเตรียมของกำนัลชิ้นใหญ่ไว้ให้”

 

 

ซุนเหลียงไฉพยักหน้า ทำท่าทางราวกับว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น “ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว จำเป็นอย่างมาก ขาดเจ้าไปไม่ได้แน่นอน”

 

 

เห็นท่าทางเขาที่ดูไม่เกรงอกเกรงใจแม้แต่น้อย เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะหึหึ

 

 

ซุนเหลียงไฉมองนางแล้วก็ยิ้มแหยๆ บนใบหน้ามีแววเกรงใจปรากฏอยู่ เอ่ยขึ้นว่า “ดังนั้นที่ข้ามาเหมืองหลวงในคราวนี้ นอกจากจะมาเยี่ยมเจ้ากับตรวจตราร้านที่อยู่ในเมืองหลวงแล้ว ยังมีอีกเรื่องที่จะขอร้องเจ้า”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างกลับอย่างจริงใจ “บอกมาเถอะว่าเรื่องอะไร?”

 

 

ซุนเหลียงไฉยิ่งรู้สึกเกรงใจมากขึ้น นวดศีรษะแล้วจึงเอ่ยขึ้นว่า “เมื่อข้ากลับไปคราวนี้แล้วก็จะไม่ได้กลับมาเมืองหลวงอีกนานเลย จึงต้องขอร้องให้เจ้าช่วยดูแลร้านค้าของตระกูลเรา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใจทันที ทว่าจงใจชักสีหน้าแกล้งเขา “ข้าก็ว่าทำไมเจ้าถึงได้มีน้ำใจมาเยี่ยมข้าถึงเมืองหลวงได้ ที่ไหนได้เจ้ามีแผนอยู่นี่เอง”

 

 

ซุนเหลียงไฉรีบแก้ต่างเป็นพัลวัน “มิใช่เช่นนั้น มิใช่เช่นนั้น เป็นเพราะข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ ถึงได้มา แล้วก็ถือโอกาสมาตรวจตราร้านค้า ส่วนที่จะให้เจ้าช่วยดูแลนั้นก็เพิ่งฉุกคิดได้เดี๋ยวนี้เอง…” พูดถึงตรงนี้ก็ยิ้มแหยๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ก็ข้าจะได้เป็นพ่อแล้ว อีกอย่าง ในภายหน้าลูกข้าก็ต้องเรียกเจ้าว่าท่านน้า เห็นแก่เด็กเจ้าจะช่วยดูแลให้ใช่ไหม”

 

 

ลูกยังอยู่ในท้องของภรรยาเขา แต่เขากลับเอามาเป็นข้ออ้างได้ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จะพูดอย่างไรดีกับความหน้าด้านของเขา ถามขึ้นว่า “ข้าจำได้ว่าในปีนั้นที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ ไม่ได้สอนให้เจ้าหน้าด้านเช่นนี้นี่นา”

 

 

ซุนเหลียงไฉไม่โกรธ แต่กลับพูดขึ้นอย่างลำพองใจว่า “อย่างข้าเรียกว่าเก่งด้วยตัวเองโดยไร้อาจารย์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวอย่างเสียกริยา

 

 

ซุนเหลียงไฉหัวเราะเสียงดังลั่น