ตอนที่ 33-2 การอวยพรช่างครึกครื้นจริงๆ

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

ผ่านไปหลายวัน ซุนเหลียงไฉจะเข้าไปตรวจตรากิจการการค้าทุกวัน เมิ่งเชี่ยนโยวกับเมิ่งอี้เตรียมที่จะเปิดร้านบะหมี่มันฝรั่ง

 

 

ตอนที่เมิ่งอี้มาจากบ้านเดิม พาสารถีมาไม่กี่คนเท่านั้น คนที่รู้งานก็ไม่ได้เอามาแม้แต่คนเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวไตร่ตรองดูแล้ว ก็ไปซื้อตัวแม่นางน้อยสามคนมาจากเมืองเหนือ เมิ่งอี้ต้องเดินทางจากบ้านตระกูลโจวมาสอนพวกนาง หากวันไหนเสร็จเร็วก็กลับบ้านตระกูลโจว หากวันไหนเสร็จช้าก็ส่งคนไปแจ้งกับบ้านตระกูลโจว ตัวเองนั้นไม่กลับไปด้วย ส่วนคนที่ทำหน้าที่ส่งอาหารก็มอบให้จิงเว่ยเป็นผู้ทำหน้าที่นั้น

 

 

หลังจากที่ฝึกสอนได้หลายวัน แม่นางน้อยทั้งสามก็รู้วิธีปรุงบะหมี่ เมิ่งเชี่ยนโยวก็สอนให้แม่ครัวทำน้ำแกงกระดูกได้ เมิ่งอี้กลับบ้านตระกูลโจวให้ท่านราชครูเลือกวันมงคลให้ เมิ่งเชี่ยนโยวก็ให้คนไปส่งข่าวให้เหวินซื่อทราบ ทุกอย่างตระเตรียมไว้พร้อมเสร็จสรรพ ทุกคนต่างก็เฝ้ารอให้มีวันนี้

 

 

ท่านราชครูเลือกวันที่ไม่ไกล ซึ่งไม่นานวันนั้นก็มาถึงแล้ว

 

 

เช้าตรู่ ทุกคนในบ้านต่างก็ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้า ทานอาหารเช้า เก็บของอะไรเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างก็นั่งรถม้าไปที่หน้าร้าน เว้นแต่ครอบครัวของแม่ครัวสามคนกับสาวใช้สามคน

 

 

ทุกคนลงจากรถม้า เมิ่งอี้เดินนำหน้า หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูร้าน เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไปก่อน แล้วเมิ่งอี้ก็เดินตาม และคนอื่นๆ ก็เดินตามเข้ามา

 

 

กัวเฟยสั่งให้สารถีเอารถม้าไปไว้ด้านหลังร้าน แล้วชี้สั่งงานให้คนขนของที่จำเป็นทุกอย่างออกจากรถม้าเข้าไปไว้ในห้องครัว

 

 

ส่วนเมิ่งอี้ชี้สั่งงานคนที่อยู่ด้านหน้าให้จัดการเช็ดถูโต๊ะเก้าอี้ที่อยู่ในร้านให้สะอาด

 

 

คนจากร้านอื่นๆ ที่อยู่ละแวกนั้นเห็นว่าร้านนี้เปิดกิจการได้เสียที บ้างก็เกิดความสงสัย ต่างก็มามุงดูกันทั้งนั้น

 

 

หลายปีมานี้เมิ่งอี้เป็นผู้รับผิดชอบการเปิดกิจการร้านค้าของแต่ละที่ จึงคุ้นเคยกับขั้นตอนต่างๆ เป็นอย่างดี เมื่อเห็นว่าได้เวลาแล้วก็คิดจะสั่งให้คนไปปรุงบะหมี่มาหลายๆ ชาม ซึ่งทำเหมือนทุกครั้งที่เปิดกิจการใหม่ ที่มีโต๊ะตัวหนึ่งตั้งอยู่หน้าร้าน ให้คนที่มามุงดูได้ชิมโดยไม่เสียเงิน

 

 

ยังไม่ได้สั่งก็มีคนถือของกำนัลมาเคาะประตูร้านเสียแล้ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็ได้ยินว่ามีคนมา จึงเดินออกไปดูจากที่ไกลๆ พอเห็นว่าเป็นเหวินซื่อกับภรรยาก็รีบเดินเข้าไปต้อนรับ พร้อมกับกล่าวด้วยไมตรีจิตว่า “เถ้าแก่เหวิน พี่สะใภ้พวกท่านมาแล้ว” 

 

 

เหวินซื่อยกมือขึ้น ทุกคนที่กำลังส่งเสียงดังจอแจอยู่ก็เงียบลงทันที

 

 

เหวินซื่อหัวเราะอย่างสบายอารมณ์ กล่าวเสียงดังว่า “เหวินซื่อจากร้านยาเต๋อเหรินขอแสดงความยินดีกับแม่นางเมิ่งขอให้กิจการร้านบะหมี่มันฝรั่งเจริญรุ่งเรืองสืบไป”

 

 

เขาพูดจบก็ทำให้คนที่มามุงดูกับเถ้าแก่ละแวกนั้นต่างก็รู้สึกสงสัย ต่างก็คาดเดากันไปต่างๆ ว่าแม่นางผู้นี้มีประวัติความเป็นมาอย่างไร ถึงทำให้เถ้าแก่จากร้านยาเต๋อเหรินมาอวยพรอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าที่เขามาอวยพรตัวเองนั้นก็เพื่อจงใจทำให้คนเห็น จึงตอบทันทีว่า “ขอบคุณเถ้าแก่เหวินที่มาอวยพรเจ้าค่ะ เชิญท่านกับพี่สะใภ้เข้าไปด้านในเจ้าค่ะ”

 

 

เหวินซื่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปข้างใน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวจูงมือฮูหยินเหวินตามเข้าไปข้างในด้วยความกระตือรือร้น

 

 

ทุกคนเพิ่งจะเดินเข้าไปไม่นาน ก็มีแขกที่ถือของกำนัลมาเคาะประตูหน้าร้านอีก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสั่งให้เหวินเปียวต้อนรับดูแลเหวินซื่อกับภรรยา ส่วนตัวเองนั้นเดินออกไปดู กลับเห็นเป็นโจวเซี่ยวที่ใส่ชุดขุนนางนั่นเอง พร้อมทั้งมีคนถือของกำนัลเดินตามมาด้วย รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นจึงรีบเดินออกไปหา

 

 

โจวเซี่ยวส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกให้คนที่กำลังพูดคุยกันอยู่เงียบลงเช่นเดียวกับเหวินซื่อ จากนั้นยกมือสองข้างขึ้นคำนับแล้วกล่าวขึ้นอย่างสุภาพว่า “ขอแสดงความยินดีกับแม่นางเมิ่ง ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรือง”

 

 

พอเห็นโจวเซี่ยวที่ใส่ชุดขุนนาง ผู้คนรอบๆ ก็ส่งเสียงดังอื้ออึงอีกครา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็คำนับโจวเซี่ยวแล้วกล่าวว่า “ท่านอาจารย์โจวมีงานยุ่งถึงเพียงนี้ แต่ก็ยังมาอวยพรให้ข้าอีก เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกซาบซึ้งอย่างหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ”

 

 

โจวเซี่ยวหัวเราะเสียงดัง ยกมือช้อนนางขึ้นโดยที่ไม่ได้แตะตัวนาง จากนั้นพูดเสียงปกติว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน มิจำเป็นต้องเกรงใจถึงเพียงนี้”

 

 

ทุกคนรอบๆ ต่างก็อ้าปากค้าง

 

 

เมิ่งอี้รีบวิ่งออกมาจากในร้าน แล้วพูดกับโจวเซี่ยวอย่างนอบน้อมว่า “ท่านพ่อตา เชิญด้านในขอรับ”

 

 

โจวเซี่ยวพยักหน้า แล้วเดินตามเมิ่งอี้เข้าไปข้างใน พอเห็นเหวินซื่อและภรรยาก็เข้าไปทักทาย

 

 

แม่นางผู้หนึ่งที่ไม่ค่อยมีคนรู้จัก แต่สามารถทำให้เถ้าแก่จากร้านยาเต๋อเหรินกับขุนนางมาร่วมแสดงความยินดีด้วยตัวเองได้ ทุกคนต่างก็รู้สึกสงสัย ต่างก็กระซิบกระซาบวิพากษ์วิจารณ์กันให้วุ่น 

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้สนใจเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของคนเหล่านั้น กำลังจะเดินเข้าไปทักทายผู้ที่อยู่ด้านใน ก็มีคนกลุ่มหนึ่งถือของกำนัลเดินเข้ามา แม้ไม่ได้ตีฆ้องร้องป่าว แต่ของกำนัลที่เอามานั้นมีไม่น้อย ซึ่งผู้ที่เดินนำขบวนมาก็คือซุนเหลียงไฉ

 

 

ซุนเหลียงไฉเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วยกมือขึ้นคำนับด้วยท่าทีเป็นงานเป็นการ แล้วกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสนิทสนมว่า “ซุนเหลียงไฉจากร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงแห่งเมืองหลวงขอแสดงความยินดีเนื่องในวันเปิดกิจการ”

 

 

ช่วงนี้นางเอาแต่วุ่นเรื่องเตรียมเปิดกิจการน้านบะหมี่อยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รู้จริงๆ ว่าระยะนี้ซุนเหลียงไฉกำลังทำอะไรบ้างในแต่ละวัน เวลานี้เห็นเขาช่วยเอาหน้าให้ตัวเองเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ทว่าไม่นานก็รู้สึกตัว นางยิ้มพร้อมกับคำนับกลับ “ขอบคุณเถ้าแก่ซุนที่มาร่วมอวยพร เชิญเข้าไปนั่งด้านในก่อน”

 

 

ซุนเหลียงไฉพยักหน้า ยกมือขึ้นบอกให้ลูกน้องนำของกำนัลตามเข้าไป ส่วนตัวเองนั้นฉวยโอกาสตอนที่ทุกคนไม่ได้สนใจลอบขยิบตาให้เมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ แล้วเชิญเขาเข้าไปด้านในอย่างมีมารยาท

 

 

บรรดาผู้คนที่ล้อมมุงดูอยู่เริ่มส่งเสียงดังอึกทึกกัน ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเป็นร้านแพรไหมที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวง บรรดาฮูหยินและคุณหนูทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ไปตัดเย็บอาภรณ์ที่นั่นกันทั้งนั้น ขอเพียงแค่ท่านต้องการ และมีทรัพย์เพียงพอที่จะจ่ายแล้วล่ะก็ ไม่มีสิ่งใดเลยที่ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงจะหามาไม่ได้ โดยเฉพาะหลายปีก่อน ร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงได้มีกระเป๋าตำราแบบใหม่เพิ่มขึ้นมา สามารถทำตามความต้องการของลูกค้าได้ ใช้วัสดุหลากหลายชนิดมาทำกระเป๋าตำราที่มีรูปแบบและลวดลายที่แตกต่างกัน กล่าวกันว่าร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงเพิ่งจะผลิตกระเป๋าตำราออกมาจำหน่ายก็มีคนมารอต่อแถวซื้อยาวเหยียด แม้ต่อมาจะมีคนลอกเลียนแบบกระเป๋าตำราก็ตาม แต่ทว่าพอพวกเขาเพิ่งจะวางขายได้ไม่นานร้านแพร   ไหมอวิ๋นเสียงก็มีรูปแบบและลวดลายใหม่ๆ ออกมา กระเป๋าตำราแบบเก่าก็ไม่มีคนถามหาแล้ว นานวันเข้าก็ไม่มีคนพยายามลอกเลียนแบบแล้ว ต่อมากระเป๋าตำราก็กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของร้านแพรไหมอวิ๋นเสียงไปเรียบร้อย

 

 

มีคนสำคัญในเมืองหลวงถึงสามท่านมาร่วมอวยพรการเปิดกิจการร้านของเมิ่งเชี่ยนโยว ร้านต่างๆ ที่อยู่ในละแวกนั้นต่างก็มองดูอย่างโง่งม แล้วก็คิดว่าแม่นางท่านนั้นต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญอย่างแน่นอน ตนควรจะไปเตรียมของกำนัลมาอวยพรให้นางด้วยดีหรือไม่ หากภายหน้ามีเรื่องเดือดร้อนจะได้ขอร้องให้นางช่วยได้

 

 

ในตอนที่ทุกคนต่างก็ลังเลตัดสินในไม่ได้นั้น มีกลุ่มคนเดินมาทางนี้พอดี

 

 

ทุกคนต่างก็เขย่งเท้าชะเง้อมองดู คราวนี้เห็นคนต่อแถวกันมายาวเหยียด มีห้าหกคนตีฆ้องร้องป่าวอยู่ด้านหน้า ตรงกลางมีสิบห้าสิบหกคนที่ถือของกำนัลอยู่ ต่อจากนั้นก็มีหกคนตีฆ้องร้องป่าว สุดท้ายคือบุคคลที่สูงส่งไม่เป็นรองใคร เป็นคุณชายน้อยที่นั่งบนหลังม้าอย่างสง่าประหนึ่งว่าสุริยันและจันทราได้ปรากฏขึ้นมาพร้อมกัน ยังมีหนุ่มน้อยอายุประมาณสิบกว่าปีที่จูงม้าให้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวก็เห็นว่ามีความเคลื่อนไหวเกิดขึ้น จึงเดินออกมาจากร้านอีกครั้ง ตอนที่เห็นหวงฝู่อี้เซวียนสองเท้าพลันหยุดชะงัก แล้วรออยู่ที่เดิม มองดูเขาที่ เดินเข้ามาอย่างเชื่องช้า

 

 

เหวินซื่อกับโจวเซี่ยวและซุนเหลียงไฉก็มองเห็นเขาเช่นเดียวกัน จึงเดินออกมาจากข้างในร้าน

 

 

กลุ่มคนที่มาอวยพรก็อยู่อยู่ที่หน้าร้าน หวงฝู่อี้ปล่อยเชือกบังเ**ยนม้า เดินไปด้านหน้าขวนที่มาอวยพรแล้วยกมือขึ้น คนที่กำลังตีฆ้องร้องป่าวอยู่ก็หยุดลงทันที คนที่ถือของกำนัลมาก็ยืนอยู่ที่เดิม

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนลงจากม้า ก้าวเดินเข้ามาหาแม่นางเมิ่งอย่างสง่าผ่าเผย นางจึงส่งยิ้มให้เขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเอ่ยขึ้นว่า “ซื่อจื่อแห่งจวนอ๋องฉี มาแสดงความยินดีกับแม่นางในดวงใจที่เปิดกิจการ ขอให้กิจการเจริญรุ่งเรืองสืบไป”

 

 

เสียงดังครึกโครมขึ้นอีกครั้ง กลุ่มคนที่รายล้อมอยู่ต่างก็เข้าใจทันที ไม่แปลกเลยที่แม่นางผู้นี้จะมีเกียรติพอที่จะทำให้ผู้มีอำนาจต่างๆ มาแสดงความยินดีได้ ที่แท้นางก็คือแม่นางท่านนั้นที่เป็นข่าวแพร่สะพัดไปทั่วว่าเป็นคนที่ซื่อจื่อชื่นชอบ

 

 

คราวนี้บรรดาร้านค้าที่อยู่ในละแวกนั้นไม่ลังเลอีกต่อไป ต่างก็กลับไปยังร้านของตนแล้วสั่งให้ลูกน้องรีบไปเตรียมของกำนัลอันมีค่ามา ตนที่เป็นเพื่อนบ้านก็ต้องไปร่วมยินดีด้วยเช่นกัน ไปทำทำความรู้จัก ถ้าหากว่าทำให้ผู้มีฐานะสูงท่านนี้พูดคุยด้วยก็ยิ่งดีไม่น้อย

 

 

ไม่ว่าคนที่อยู่บริเวณนั้นจะคิดเช่นไรก็ตาม แต่เมื่อถูกหวงฝู่อี้เซวียนเรียกว่าแม่นางในดวงใจต่อหน้าผู้คนมากมาย เมิ่งเชี่ยนโยวก็หน้าแดงขึ้น

 

 

เหวินซื่อ โจวเซี่ยวและซุนเหลียงไฉเดินออกมาคำนับหวงฝู่อี้เซวียน “ซื่อจื่อ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้าเล็กน้อย “วันนี้พวกเรามาร่วมอวยพรให้กับโยวเอ๋อร์ ทุกท่านมิต้องเกรงใจ”

 

 

โจวเซี่ยวกับซุนเหลียงไฉนั้นยังดี แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหวินซื่อและภรรยาได้พบกับฉีอ๋องซื่อจื่อที่กล่าวกัน จึงอดไม่ได้ที่จะลอบพิจารณาดูเสียหน่อย เห็นเขาดูสง่างามราวหยก สูงส่งไร้ที่เปรียบ ก็แอบชื่นชมในใจ

 

 

วันนี้แม้แต่อี้เซวียนก็ยังมาอวยพร มันเหนือความคาดหมายของเมิ่งเชี่ยนโยวจริงๆ จึงพูดขึ้นโดยปิดน้ำเสียงที่แสดงความรู้สึกยินดีไว้ไม่มิดว่า “ขอบพระคุณทุกท่านที่มาร่วมอวยพรเจ้าค่ะ เชิญเข้าไปด้านใน ข้าจะทำบะหมี่ให้พวกท่านด้วยตัวเอง”

 

 

—————————-