บทที่ 231
บุญคุณ
แม้ชิวซูจะมีสกุลฉินหนุนหลังอยู่ แต่เขาก็ไม่กล้าเสี่ยงที่จะงัดข้อกับหอการค้าหยูเย่ที่เคยเอาชนะสกุลเจียงมาได้
“พวกเรากลับ!” ชิวซูหัวโจกตระหนักได้ดังนั้น ก็กวักมือเป็นสัญญาณเรียกลูกน้องกลับ
เมื่อเห็นว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เดินออกไปจนลับตาแล้ว บริวารสกุลหลิวก็รีบเข้ามาหาหลิวซู และกล่าวขอบคุณลู่จุ้นที่ช่วยเหลือนายหญิงเอาไว้
หลิวซูเองแม้ตาจะมองไม่เห็น แต่นางก็หันมาทางลู่จุ้นพร้อมกล่าวขอบคุณด้วยตัวของนางเอง
“ขอบคุณท่านจอมยุทธ์ หากไม่ได้ท่านในวันนี้ ข้าคง-”
“เรื่องเล็กน้อยน่า สักวันข้าจะกำจัดคนพวกนั้นให้สิ้นซากเอง เจ้าวางใจเถอะ” ลู่จุ้นพูดแทรก พร้อมกับประคองสองมือน้อยๆของนางเอาไว้
“ในเมื่อเจ้าปลอดภัยดีแล้ว ข้าขอลา” ลู่จุ้นจ้องมองดวงตาที่ว่างเปล่าของนางอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกล่าวอำลาแม่นางหลิว แต่มือเล็กๆของนางก็คว้าแขนเสื้อของเขาเอาไว้
“ท่านจอมยุทธ์ได้รับบาดเจ็บนี่เจ้าคะ มารักษาอาการที่บ้านสกุลหลิวของข้าก่อน ถือว่าเป็นการตอบแทนที่ท่านผู้กล้าช่วยข้าเอาไว้”
ท่าทีของนางทำให้เหล่าบริวารประหลาดใจอยู่ไม่น้อย แม้หลิวซูจะเป็นคนมีเมตตา แต่ก็ไม่มีใครเคยเห็นนางเอ่ยปากชวนใครไปบ้านมาก่อน
“ข้าซาบซึ้งในน้ำใจของท่านแม่นางหลิว แต่ข้าขอผ่าน” ลู่จุ้นหน้าแดงระเรื่ออย่างเก็บอาการไม่อยู่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ปฏิเสธนางไป และค่อยๆดึงมือของนางออกอย่างเบามือ
พอได้ยินถ้อยคำของลู่จุ้น นางก็เพิ่งนึกได้ว่าการชวนบุรุษไปที่บ้านนั้นไม่ใช่คุณสมบัติของสตรี นางจึงเขินอายเล็กน้อย แต่หลิวซูก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจลง
“ข้าไม่รู้จะตอบแทนท่านยังไงดี ดังนั้นอย่าได้ปฏิเสธความหวังดีของข้าเลยนะเจ้าคะ” หลิวซูพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
บริวารสกุลหลิวเห็นคุณหนูไม่ละทิ้งความพยายาม จึงก้าวมาข้างหน้าและช่วยพูดโน้มน้าวลู่จุ้นอีกแรง “จอมยุทธ์ลู่ ท่านเป็นคนแรกที่คุณหนูของพวกเรายอมเอ่ยปากชวน ดังนั้นอย่าได้ปฏิเสธนางเลย”
“เด็กหนอเด็ก” พี่เลี้ยงสาวอีกคนของหลิวซูก็พึมพำขึ้นเบาๆ หลิวซูที่ได้ยินดังนั้นใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำเข้าไปใหญ่ แทนที่นางจะเบือนหน้าหนีด้วยความอาย ใบหน้าของนางกลับแสดงให้เห็นถึงความคาดหวังที่มากขึ้นกว่าเดิม
ลู่จุ้นที่เห็นใบหน้าอันสะสวยของนางก็ใจอ่อน จึงตามหลิวซูและบริวารของนางไปยังบ้านสกุลหลิว
ณ สวนหลังบ้านสกุลหลิว หลิวเกิงเฉิงผู้นำตระกูลหลิวที่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวของตนก็บันดาลโทสะลงกับแก้วชาที่อยู่บนโต๊ะ
เพล้งงงงงงง!
“บัดซบ! ไอ้พวกสกุลฉินเริ่มกำเริบเสิบสานขึ้นทุกวัน หากประมุขฉินไม่มีคำอธิบายที่ฟังขึ้น เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแน่!”
สำหรับหลิวเกิงเฉิงแล้ว หลิวซูเปรียบเสมือนแก้วตาดวงใจของเขา แต่สกุลฉินกลับฉวยโอกาสที่สกุลหลิวกำลังตกต่ำลักพาตัวนางไป ทำให้หลิวเกิงเฉิงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
แต่หลิวซูและมารดาของนางก็ช่วยปรามหลิวเกิงเฉิงเอาไว้ก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำอะไรโง่ๆลงไป
“ช้าก่อนท่านพ่อ! ตระกูลหลิวของพวกเราไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนแต่ก่อน หากเราเปิดหน้าสู้กับสกุลฉินโดยตรงจะยิ่งทำให้ทุกอย่างมันแย่ลงนะเจ้าคะ”
หลังจากที่ลูกสาวและภรรยาของเขาช่วยกันเกลี้ยกล่อม ก็ทำให้หลิวเกิงเฉิงสงบใจลง ก็ทิ้งตัวลงไปบนเก้าอี้ของตนด้วยความเหนื่อยใจ
“เฮ้อออ เอาล่ะๆ ข้าจะไม่ทำอะไรก็ตามที่เข้าทางพวกมันอีก” หลิวเกิงเฉิงส่ายหัวให้กับความสะเพร่าของตนเองที่ไม่ยอมส่งจอมยุทธ์ฝีมือดีไปคุ้มกันลูกสาว
“โอ้ จริงด้วย เกือบลืมไปเลย ต้องขอบคุณจอมยุทธ์ลู่ที่ช่วยลูกสาวข้าเอาไว้ ขออภัยที่ไม่ได้ให้การต้อนรับท่านอย่างดี” จ้าวสกุลหลิวโกรธจัดจนลืมนึกถึงแขกคนสำคัญไป แต่พอเขาได้สติก็รีบลุกขึ้นคำนับลู่จุ้น
ลู่จุ้นเห็นดังนั้นก็รีบประคองผู้อาวุโสขึ้น “ท่านหลิวกล่าวเกินไปแล้ว ข้าแค่บังเอิญผ่านมาจึงช่วยนางเอาไว้เท่านั้น”
“ไม่เกินไปนักหรอก ข้าละอายใจยิ่งนัก นอกจากไม่สามารถรักษาดวงตาของหลิวซูได้แล้ว หากข้าเสียนางไปอีก ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร” แม้ลู่จุ้นจะไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก แต่หลิวเกิงเฉิงก็พยายามเน้นให้เห็นถึงบุญคุณที่ลู่จุ้นมีต่อสกุลหลิว
“ท่านพ่อ! เป็นความผิดของข้าเองที่นึกอยากออกไปนอกบ้านจนต้องตกอยู่ในสภาพนี้ ท่านอย่าได้โทษตัวเองนักเลย” หลิวซูเห็นบิดาของตนคิดมากจึงรีบพูดแย้งขึ้น
“พวกท่านวางใจเถอะ ถึงข้าไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่อะไร แต่อาการของลูกสาวท่านไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธี รักษาเสียทีเดียว” ทันทีที่ลู่จุ้นพูดจบ เขาก็เริ่มรู้สึกเสียใจที่พลั้งปากออกไปจึงค่อยๆก้มหน้าลงหลบสายตาของหลิวเกิงเฉิง
เพราะก่อนหน้านี้หลังจากที่ปรมาจารย์ทัณฑ์สวรรค์มาเยือน เย่เย่ก็ได้กำชับเขาไว้ว่าไม่ให้เอาสินค้าออกไปโฆษณาหรือขายตามที่ต่างๆอีก เพื่อหลีกเลี่ยงความสนใจจากผู้คนไปสักระยะ
แต่หลิวเกิงเฉิงไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าผิดปกติของลู่จุ้น พอเขาได้ยินลู่จุ้นพูดดังนั้นจึงจับไหล่ลู่จุ้นเอาไว้ และถามเขาด้วยความร้อนใจ “จอมยุทธ์ลู่ ท่านพูดจริงงั้นรึ?”
แม้ลู่จุ้นจะอยากหันหลังกลับไปคิดทบทวนให้ดีกว่านี้ แต่เมื่อกระสุนถูกยิงออกไปแล้วก็มิอาจเรียกคืนกลับมาได้ จึงได้แต่พยักหน้าและอธิบายให้พวกเขาฟัง
“เท่าที่ข้ารู้ มีโอสถชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ผงวิเศษเบิกเนตรที่มีสรรพคุณถอนพิษจากแมลงแทบทุก ชนิดที่ส่งผลต่อระบบประสาทตา เพียงแต่ข้าเองก็ไม่รู้ว่าจะหามันได้จากที่ไหน”
ถึงแม้ลู่จุ้นจะไม่มียานั้นติดตัว แต่ข้อมูลจากลู่จุ้นก็ทำให้ผู้คนสกุลหลิวเริ่มมีความหวังขึ้นมา
“จอมยุทธ์ลู่นอกจากท่านจะช่วยลูกสาวของข้าเอาไว้แล้ว ท่านยังให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์อีก ข้ารู้สึกซาบซึ้งใจยิ่งนัก สกุลหลิวติดหนี้บุญคุณท่านแล้ว” หลิวเกิงเฉิงพร้อมด้วยภรรยาคำนับลู่จุ้นด้วยความปีติยินดี
หลิวซูที่ได้ยินว่ามีหนทางรักษาดวงตาของนางก็รู้สึกดีใจ จนน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาที่บอดสนิททั้งสองข้าง
ไม่ว่าสกุลหลิวจะหาผงเบิกเนตรพบหรือไม่ สำหรับพวกเขาลู่จุ้นก็นับว่าเป็นผู้มีพระคุณต่อคุณหนูหลิวซู…