ตอนที่ 302 เห็นแก่ที่เขาเป็นพ่อ / ตอนที่ 303 อย่างนี้นี่เอง

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 302 เห็นแก่ที่เขาเป็นพ่อ

 

 

           มาวันนี้เธอกลับได้ข่าวว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ส่วนลึกสุดในใจเธอไม่รู้ว่าดีใจมากกว่าหรือว่าผิดหวังมากกว่ากันแน่

 

 

           แต่ดูจากท่าทางของคุณแม่แล้ว คุณแม่น่าจะดีใจมากกว่า

 

 

           แล้วตอนนี้คุณพ่ออยู่ที่ไหน?

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงลังเลชั่วครู่ “ตอนนั้นแม่โกรธมาก แม่ถามคำถามเขามากมาย ตอนแรกเขาก็ยอมตอบโดยดี แต่ตอนหลังเราก็ทะเลาะกันจนได้ แม่โมโหที่เขาทำผิดแล้วยังไม่สำนึกผิดอีก คิดแต่จะให้แม่เอาเงินให้เขาไปใช้หนี้ แม่โกรธมากก็เลยกลับ”

 

 

           ที่แท้สิ่งที่เวินเยวี่ยฉิงพูดตอนนั้นถือว่าเป็นความจริง หลังจากเธอจากเฉียวจื่อจี้ไปแล้ว เธอรู้สึกกลุ้มใจมากจึงไปเที่ยวบ้านเพื่อนสองวันแล้วค่อยกลับบ้าน

 

 

           เฉียวซือมู่เพิ่งรู้ว่าสองวันนั้นคุณแม่หายไปไหนมา แต่เธอยังคงคลางแคลงใจอยู่ดี “แล้วทำไมคุณแม่ถึงไม่พูดความจริงกับหนูล่ะคะ กลัวหนูโกรธอย่างนั้นเหรอ?”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงถอนหายใจ “ถึงแม่จะโกรธพ่อของลูก แต่ก็อย่างที่เขาบอก ถ้าไม่ใช้หนี้เขาก็คงไม่รอด แม่ก็เลยคิดจะใช้หนี้ให้เขา ถือเสียว่าเห็นแก่ที่เขาเป็นพ่อของลูก แต่เรื่องแบบนี้เป็นเรื่องน่าอับอาย ลูกกำลังจะแต่งงาน แถมยังแต่งเข้าตระกูลใหญ่ขนาดนั้นอีกต่างหาก ถ้าเกิดคนอื่นรู้ว่าลูกมีพ่อแบบนี้ ครอบครัวเขาคงดูถูกลูกมากกว่าเดิมอีก”

 

 

           เฉียวซือมู่ฟังแล้วมองเธอด้วยความประหลาดใจมาก และรู้สึกซาบซึ้งใจในขณะเดียวกัน “คุณแม่รู้ได้ยังไงคะว่าครอบครัวเขา…”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “แม่เป็นคนคลอดลูกออกมานะ คิดว่าแม่ไม่รู้จักลูกของแม่หรือไง? ทุกครั้งที่แม่ถามถึงความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับแม่ของเขา ถ้าลูกไม่โกหกก็มักจะตอบเลี่ยงๆ สุดท้ายก็ใช้วิธีเปลี่ยนเรื่องคุยเสียดื้อๆ ลูกอาจจะคิดว่าตัวเองไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย แต่ในสายตาแม่ ลูกบอกแม่มากพอแล้ว”

 

 

           เฉียวซือมู่เหงื่อตก ที่แท้คนที่เข้าใจเธอมากที่สุดในโลกก็คือคุณแม่นั่นเอง เธออ้าปากอยากจะอธิบาย แต่กลับถูกเวินเยวี่ยฉิงขัดขึ้นเสียก่อน “แม่รู้ดีว่าผู้หญิงทุกคนแต่งงานไปก็ต้องเจอด่านนี้ด้วยกันทั้งนั้น ตอนนี้แม่ยังไม่มีวิธี แต่ก็ไม่อยากทำให้ลูกต้องลำบาก ก็เลยคิดจะจัดการเรื่องนี้เองลับหลังลูก จากนั้นแม่จะได้แยกทางกับพ่อเขาให้เด็ดขาด แต่นึกไม่ถึงเลยว่า…”

 

 

           เฉียวซือมู่หัวใจกระตุกวูบ “นึกไม่ถึงอะไรคะ?” เธอนึกถึงบาดแผลตามร่างกายของคุณแม่ แล้วหวนนึกถึงเรื่องที่คุณแม่ไม่ยอมให้เธอแจ้งความ พอปะติดปะต่อทุกอย่างเข้าด้วยกัน ทำให้เธอเข้าใจทันที “คุณพ่อเป็นคนทำร้ายคุณแม่ใช่ไหมคะ?”

 

 

           ถ้าคุณพ่อเป็นคนทำร้ายคุณแม่ ถ้าเช่นนั้นทุกอย่างก็จะลงล็อกพอดี คุณแม่เป็นคนรักหน้าตามาก ท่านไม่มีวันยอมขึ้นโรงพักเพราะเรื่องแบบนี้แน่ และท่านไม่อยากทำให้เธอต้องเสียชื่อเสียงด้วย จึงไม่ยอมให้เธอแจ้งความ

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “ใช่ เขาเอง” น้ำเสียงเธอแฝงรอยเกลียดชัง

 

 

           “ทำไมคะ? ทำไมคุณพ่อต้องทำร้ายคุณแม่ด้วย?” เฉียวซือมู่ไม่เข้าใจ

 

 

           ตามหลักแล้วคุณแม่ยินดีช่วยใช้หนี้ให้คุณพ่อ คุณพ่อต้องดีใจสิถึงจะถูก แล้วทำไมกลับมาทำร้ายคุณแม่แบบนี้ล่ะ? คุณพ่อเป็นบ้าไปแล้วหรือ?

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยตอบ “ตอนที่แม่บอกว่าจะช่วยใช้หนี้ให้ถึงได้รู้ว่า ช่วงที่ผ่านมาเขาไม่เพียงใช้เงินที่หอบหนีไปจนหมด แต่ยังไปกู้หนี้นอกระบบมาอีกเป็นล้าน ตอนนี้อย่าว่าแต่เขาเลย แม้แต่แม่เองก็ไม่มีปัญญาใช้หนี้ให้หรอก”

 

 

           “ตอนนั้นแม่ตกใจมากเกินไป ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าผู้ชายหนักแน่นอย่างเขาจะกลายเป็นผีพนันไปได้ แม่ก็เลยพูดจาไม่ดี และบอกว่าจะไม่ช่วยเขาใช้หนี้ เขาฟังแล้วหน้าเปลี่ยนสีทันที แล้วยังลงไม้ลงมือกับแม่อีก” เธอเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

 

 

 

 

ตอนที่ 303 อย่างนี้นี่เอง

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าสามีตัวเองจะกลายเป็นคนครึ่งผีครึ่งคนแบบนั้น ที่สำคัญ เธอไม่มีเงินเยอะมากขนาดนั้น เงินที่มีอยู่ก็เป็นเงินที่ลูกสาวให้เธอ แล้วเธอจะเอาเงินนี้ไปใช้หนี้ให้เขาจนหมดได้อย่างไร?

 

 

           ส่วนเฉียวจื่อจี้อาจเป็นเพราะชีวิตมีความหวังขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็ต้องผิดหวัง เขาคงทนรับความผิดหวังไม่ได้ถึงได้ลงมือทำร้ายเธอ

 

 

           เธอหวนนึกถึงท่าทางน่ากลัวของสามีตัวเองแล้วกลัวจนตัวสั่น ตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอจะไม่มีวันยอมให้ลูกสาวเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วยเด็ดขาด เพราะเฉียวจื่อจี้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่ใช่เฉียวจื่อจี้คนเดิมอีกต่อไปแล้ว

 

 

           “คุณพ่อทำเกินไปแล้ว!” เฉียวซือมู่ฟังถึงตรงนี้แล้วผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ เอ่ยด้วยความกรุ่นโกรธ “ตอนนั้นยังทำเราเจ็บแสบไม่พออีกเหรอคะ? ตอนนี้ยังคิดจะกลับมาทำร้ายเราอีก นี่มัน… หนูล่ะอยากจะคิดจริงๆ ว่าไม่เคยมีเขาเป็นพ่อมาก่อน!”

 

 

           เฉียวซือมู่รักและสนิทกับคุณแม่มากที่สุด คุณพ่อเคยทำร้ายจิตใจเธอไปแล้วครั้งหนึ่ง ทำให้ความรู้สึกที่เธอมีต่อคุณพ่อเบาบางลงไม่น้อย ตอนนี้มาเห็นคุณแม่ถูกคุณพ่อทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บ จึงทำให้เธอรู้สึกโกรธเกลียดคุณพ่อมาก

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงส่ายศีรษะ “ลูกอย่าโกรธเลยนะ แม่บาดเจ็บแบบนี้ เขาเองก็ตกใจมากเหมือนกัน ต่อไปเขาคงไม่มายุ่งกับแม่อีกแล้ว ลูกสบายใจเถอะ”

 

 

           เฉียวซือมู่กลับไม่เห็นด้วย “คุณแม่คิดในแง่ดีเกินไปแล้ว คุณพ่อติดหนี้ตั้งหลายล้านนะคะ ตอนนี้คุณพ่อไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกแล้ว ถ้าไม่มาหาฟางเส้นสุดท้ายอย่างคุณแม่แล้วจะไปหาใคร? หนูว่านะ เดี๋ยวคุณพ่อก็ต้องมาหาคุณแม่อีก”

 

 

           “แล้วตอนนี้เราควรจะทำยังไงดี?” เวินเยวี่ยฉิงชักหัวคิ้วชนกันแน่น “ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อบังเกิดเกล้าของลูก แม่คงไล่เขาไปไม่ได้หรอก”

 

 

           คุณแม่ก็เป็นคนใจอ่อนแบบนี้ ไล่ออกไปแล้วอย่างไรต่อ? เฉียวซือมู่แอบแขวะในใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

 

 

           คุณแม่เข้าใจเธอดีที่สุด เธอเองก็เข้าใจคุณแม่ดีที่สุดเหมือนกัน เธอรู้ว่าลึกๆ แล้วในใจคุณแม่ยังมีเยื่อใยต่อคุณพ่อ มิเช่นนั้นท่านคงไม่รับปากใช้หนี้ให้คุณพ่อหรอก เพียงแต่ท่านไม่มีเงินมากพอจึงทำตามที่พูดไม่ได้ก็เท่านั้นเอง ดังนั้น เธอจึงไม่พูดอะไรต่อหน้าท่านอีก แต่แอบคิดในใจเงียบๆ ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี

 

 

           ตอนแรกเธอยังเหลือเยื่อใยให้คุณพ่ออยู่บ้าง แต่พอเห็นคุณแม่ถูกคุณพ่อทำร้ายจนบาดเจ็บแบบนี้ เยื่อใยเส้นบางๆ ที่ยังเหลืออยู่ก็หายวับไปกับตาทันที เพราะสำหรับเธอแล้ว คุณพ่อทำผิดมหันต์ขนาดนั้น บีบให้เธอกับคุณแม่เกือบตาย ทำให้คุณแม่ต้องเจ็บหนักจนต้องนอนโรงพยาบาลตั้งนาน คุณพ่อกลับมาอย่างสำนึกผิดเธอยังต้องขอคิดดูก่อนเลย แล้วตอนนี้กลับเลวร้ายกว่าเดิมอีกอย่างนั้นเหรอ?

 

 

           ตอนนี้เธอไม่คาดหวังอะไรกับคุณพ่ออีกแล้ว เพราะฉะนั้น เธอต้องรีบหาวิธีจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ทำให้คุณพ่อมาหาเรื่องคุณแม่ไม่ได้อีก

 

 

           เธอปลอบใจเวินเยวี่ยฉิงอีกสักพัก เวินเยวี่ยฉิงทั้งเจ็บตัว ทั้งมีอาการสมองได้รับการกระทบกระเทือน การพูดคุยเป็นเวลานานทำให้เธอเหนื่อยมาก เพียงไม่นานเธอก็ผลอยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า

 

 

           เฉียวซือมู่ดึงผ้าห่มคลุมกายเวินเยวี่ยฉิง มองดูเธอค่อยๆ ผลอยหลับไป รอยฟกช้ำดำเขียวบนใบหน้าทำให้เธอเจ็บปวดใจมาก เธอกำมือแน่นแล้วเดินออกจากห้อง

 

 

           เธอเปิดประตูออกแล้วต้องตกใจสะดุ้งโหยง “ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”

 

 

           พูดจบแล้วถึงนึกขึ้นมาได้ว่าคุณแม่เพิ่งหลับไป จึงเอ่ยเสียงเบา “คุณมาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”

 

 

           จิ้นหยวนยืนอยู่หน้าประตู “สักพักแล้วล่ะ”

 

 

           เธอหันมองเข้าไปในห้อง “คุณได้ยินที่เราคุยกันหมดแล้วใช่ไหมคะ?”