ตอนที่ 304 ปรึกษาหารือ / ตอนที่ 305 ขอร้อง

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

ตอนที่ 304 ปรึกษาหารือ

 

 

“ใช่” จิ้นหยวนยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน

 

 

เธอถลึงตาแล้วดึงแขนเสื้อเขา “ไปค่ะ เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่า”

 

 

ทั้งสองเข้าไปในห้องคนไข้ที่ยังว่างอยู่ เธอหมุนตัวปิดประตูลงแล้วถอนหายใจ “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? คุณพ่อฉันเขา… เขา…”

 

 

ต่อให้เธอโกรธคุณพ่อมาก แต่ในสายตาคนอื่นท่านก็ยังเป็นพ่อบังเกิดเกล้าของเธออยู่ดี ถ้าเขาแย่ ลูกสาวอย่างเธอก็คงไม่ได้ดูดีเหมือนกัน

 

 

           จิ้นหยวนตบหลังมือเธอเบาๆ อย่างปลอบโยนและให้เธอตั้งสติ “ไม่ต้องเป็นห่วงนะ เขากับคุณเป็นคนละคนกัน คุณเป็นคนดีก็พอแล้ว”

 

 

           “คุณก็พูดได้สิคะ เขาเป็นคุณพ่อของฉัน ท่านทำร้ายคุณแม่จนเจ็บหนักขนาดนั้น อย่างมากก็เป็นการใช้กำลังรุนแรงในครอบครัว ไม่ถือเป็นการทำร้ายร่างกายโดยเจตนา แจ้งความไปก็คงไม่มีใครสนใจ คุณบอกฉันหน่อยสิคะว่านี่มันอะไรกัน? ทำไมฉันถึงมีพ่อแบบนี้? ท่านยังทำร้ายพวกเราไม่พออีกเหรอ? ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?”

 

 

           ต่อหน้าผู้ชายของตัวเอง เธอพูดพรั่งพรูความในใจทุกอย่างออกมาจนหมดเปลือก พูดจนน้ำตาไหล

 

 

           จิ้นหยวนรั้งเธอเข้าไปกอดด้วยความสงสารจับใจ เช็ดน้ำตาให้เธอเบาๆ เอ่ยปลอบโยนเธอ “ไม่ต้องร้องนะ เราก็ไม่ต้องไปสนใจท่านสิ”

 

 

           “ไม่ได้หรอกค่ะ” เธอสูดน้ำมูก “คุณแม่เป็นคนดื้อ ฉันรู้ค่ะว่าคุณแม่ยังมีเยื่อใยให้คุณพ่อ ถ้าฉันไม่ดำดูดีคุณพ่อ คุณแม่ต้องไม่สบายใจแน่”

 

 

           “แล้วคุณอยากช่วยท่านใช้หนี้หรือเปล่า?” เงินหลักล้านถือว่าเล็กน้อยมากสำหรับจิ้นหยวน ขอแค่เธอเอ่ยปาก เขาก็จะจัดการให้เธอทันที

 

 

           ใครจะไปรู้ว่าเฉียวซือมู่จะส่ายศีรษะปฏิเสธ “ไม่ค่ะ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ตอนนี้ ช่วยใช้หนี้ให้ก็เสียเปรียบสิคะ ถือสิทธิ์อะไรไม่ทราบ? ถ้าเกิดเราใช้หนี้ให้แล้วเกิดท่านทำผิดซ้ำซากอีกล่ะคะ?”

 

 

           “แล้วคุณอยากจะทำยังไง?” จิ้นหยวนกอดเธอเอาไว้

 

 

           “ปล่อยเอาไว้อย่างนี้ก่อนค่ะ คุณพ่อเพิ่งจะทำร้ายคุณแม่ ช่วงนี้คงไม่กล้ามาอีกแน่ รอให้ท่านมาหาก่อน ถึงตอนนั้นล่ะจะได้เห็นดีกัน!” เฉียวซือมู่เอ่ยพลางเหวี่ยงกำปั้นเล็กๆ ไปมา

 

 

           จิ้นหยวนมองดูท่าทางกรุ่นโกรธของเธอแล้วจับกำปั้นเล็กๆ ของเธอไปจุมพิตเบาๆ “ครับ คุณอยากจะทำอะไรผมก็สนับสนุนทั้งนั้น แต่คุณต้องระวังอย่าปล่อยให้ตัวเองโกรธจนเป็นผลเสียต่อร่างกายล่ะ”

 

 

           “อื้ม ไม่แน่นอนอยู่แล้ว” เธอลังเลชั่วครู่แล้วมองหน้าเขา “ช่วงนี้ฉันคงต้องอยู่เฝ้าคุณแม่ที่นี่ คุณ…”

 

 

           จิ้นหยวนหน้าเข้มขึ้น “แล้วผมล่ะ?”

 

 

           เธอชะงักชั่วครู่ “คุณไม่ได้บาดเจ็บนี่ ต้องให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนด้วยเหรอคะ?”

 

 

           พอคิดว่าเธอจะไม่อยู่ข้างกายเขา จิ้นหยวนก็รู้สึกไม่สบายเนื้อไม่สบายตัวขึ้นมาทันที เขารบเร้าจนเธอต้องยอมแพ้ และรับปากว่าเธอจะมาอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ในเวลากลางวัน และจ้างพยาบาลพิเศษดูแลคุณแม่ในเวลากลางคืน

 

 

           จิ้นหยวนหอมแก้มเธออย่างพึงพอใจ เขาเสนอตัวช่วยเธอจัดการเรื่องนี้ อย่างน้อยก็หาตัวคุณพ่อเธอให้เจอก่อน

 

 

           เธอฟังแล้วคัดค้านทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด “ตอนนี้ยังก่อนดีกว่าค่ะ รอให้คิดวิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า”

 

 

           วิธีที่ดีต่อทั้งสองฝ่ายของเธอก็คือ ทำให้คุณแม่พอใจ ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้คุณพ่อได้รับบทเรียนด้วย

 

 

           ถ้าทำได้แบบนั้นน่าจะดีที่สุด เธอแอบคิดในใจ

 

 

           แต่ยังไม่ทันที่เธอจะคิดวิธีออก เรื่องราวก็เกิดจุดเปลี่ยนขึ้นอีกครั้ง

 

 

           หลายวันผ่านไป อาการบาดเจ็บของเวินเยวี่ยฉิงค่อยๆ ดีขึ้น แต่สภาพจิตใจเธอกลับหนักอึ้งขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่เฉียวซือมู่เผลอ เธอมักจะเผยสีหน้ากังวลใจออกมาเสมอ

 

 

           เฉียวซือมู่รู้ดีแก่ใจว่าท่านกำลังคิดอะไรอยู่ ได้แต่แอบโกรธในใจที่คุณแม่เป็นคนใจอ่อนเกินไป

 

 

 

 

ตอนที่ 305 ขอร้อง

 

 

           เฉียวซือมู่ไม่อยากเกี่ยวข้องกับคนคนนั้นอีก จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นท่าทางของเวินเยวี่ยฉิงเสีย เธอไปเฝ้าไข้เวินเยวี่ยฉิงในตอนกลางวัน และให้นางพยาบาลดูแลในตอนกลางคืน เวินเยวี่ยฉิงดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่จึงไม่ได้พูดอะไร

 

 

           วันเวลาค่อยๆ ผ่านไป อาการบาดเจ็บของเวินเยวี่ยฉิงดีวันดีคืน ในที่สุดคุณหมอก็แจ้งว่าเธอสามารถกลับบ้านได้แล้ว จิ้นหยวนจึงไปทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลและรับเธอกลับบ้านโดยเฉพาะ

 

 

           เฉียวซือมู่นั่งเงียบไปตลอดทาง แสร้งทำเป็นไม่เห็นสีหน้าของเวินเยวี่ยฉิง เธอช่วยเก็บกวาดห้องนอนที่ไร้คนอยู่นานหลายวัน เก็บกวาดเสร็จแล้วลงมือเข้าครัวทำอาหารแสนอร่อยให้เธอ จนแล้วจนรอดเวินเยวี่ยฉิงก็ยังไม่มีโอกาสคุยกับเฉียวซือมู่เสียที

 

 

           หลังรับประทานอาหาร เฉียวซือมู่เก็บจานชามคนเดียวเงียบๆ พอเดินออกจากห้องครัวเวินเยวี่ยฉิงจึงเรียกเธอเอาไว้ “มู่มู่ ลูกกำลังโกรธแม่ใช่ไหม?”

 

 

           เฉียวซือมู่มองเวินเยวี่ยฉิงแวบหนึ่ง เห็นสีหน้าร้อนรนของเธอแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นนั่งลงข้างเธอ “คุณแม่อยากพูดอะไรกับหนูคะ พูดมาเถอะค่ะ”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงครุ่นคิดชั่วครู่แล้วเอ่ยถาม “ลูกเกลียดพ่อมากเลยใช่ไหม?”

 

 

           “เปล่าค่ะ หนูแค่ไม่อยากเห็นหน้าคุณพ่ออีก” เธอรู้อยู่แล้วว่าสักวันคุณแม่จะต้องถามคำถามนี้กับเธอ เธอจึงตอบอย่างไม่ลังเลเลยสักนิด

 

 

           “อย่างนั้นเหรอ?” เวินเยวี่ยฉิงยิ้มเหม่อๆ “แม่รู้ว่าลูกกำลังโกรธที่แม่ใจอ่อน ถึงยังไงเขาก็เป็นสามีที่ใช้ชีวิตร่วมกับแม่เป็นสิบๆ ปี เมื่อก่อนเขาไม่ใช่คนแบบนี้ ลูกเข้าใจความรู้สึกของแม่หรือเปล่า? ถึงตอนนี้เขาจะไม่ใช่คนดีอะไร แต่แม่ก็ทนเห็นเขาต้องตายต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก”

 

 

           เธอมองหน้าเฉียวซือมู่ด้วยสายตาแรงกล้า “ลูกเข้าใจความรู้สึกของแม่หรือเปล่า? แม่ไม่ให้อภัยเขา และไม่คิดจะใช้ชีวิตร่วมกับเขาอีก แม่แค่ไม่อยากเห็นเขาตายไปทั้งๆ อย่างนี้ก็เท่านั้นเอง”

 

 

           เฉียวซือมู่มองเวินเยวี่ยฉิงด้วยสายตาเย็นชา “แล้วคุณแม่อยากจะพูดอะไรกับหนูกันแน่คะ?”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงชะงักไปชั่วครู่ ทันใดนั้น เธอคว้าจับมือเฉียวซือมู่หมับ “มู่มู่ ลูกช่วยพ่อด้วยนะ ได้ไหม? ไม่ต้องช่วยใช้หนี้ก็ได้ อย่างน้อยก็ช่วยชีวิตเขาเอาไว้”

 

 

           “คุณแม่แน่ใจได้ยังไงคะว่าหนูทำได้?”

 

 

           “แม่รู้ ลูกเป็นคนฉลาด แล้วจิ้นหยวนยังดีกับลูกมากขนาดนั้น ถ้าลูกคิดจะช่วยจริง พ่อของลูกต้องมีทางรอดแน่นอน มู่มู่ เขาเป็นพ่อของลูกนะ ลูกจะไม่ยอมรับเขาก็ได้ จะเกลียดเขาก็ได้ แต่ลูกจะปล่อยให้พ่อเขาตายไปต่อหน้าต่อตาแบบนี้ไม่ได้ ลูกเข้าใจไหม?”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงจับมือเธอแน่น สีหน้าเว้าวอน

 

 

           เฉียวซือมู่จ้องหน้าเวินเยวี่ยฉิงนิ่ง “คุณแม่ลืมไปแล้วเหรอคะว่าคุณพ่อทิ้งเราไปยังไง? คุณแม่ไม่เกลียดคุณพ่อเลยเหรอคะ?”

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงยิ้มขมขื่น “ใครบอกว่าแม่ไม่เกลียดเขา? ที่ผ่านมาแม่เกลียดเขามาก มากจนนอนไม่นอน ถ้าตอนนั้นเขากลับมาปรากฎตัวตรงหน้าแม่ แม่คงฉีกอกเขาไปแล้ว แต่ทำอย่างนั้นแล้วมันจะได้อะไร? เขาเป็นพ่อของลูก เป็นสามีของแม่ คนที่เคยมีช่วงเวลาแสนโรแมนติกด้วยกัน คนที่เฝ้ารอการเกิดของลูก คนที่พาลูกออกไปนั่งม้าหมุน พาลูกไปขับรถเล่น ลูกลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้วเหรอ?”

 

 

           “แต่ว่า…” เฉียวซือมู่ยังคงไม่เห็นด้วย

 

 

           เวินเยวี่ยฉิงเอ่ยแทรกขึ้น “แม่บอกแล้วว่าลูกจะไม่ยอมรับเขาก็ได้ ไม่สนใจเขาก็ได้ แต่แม่ขอแค่ลูกช่วยชีวิตเขา อย่าปล่อยให้เขาถูกทำร้ายจนตายก็พอแล้ว” เธอมองลูกสาวด้วยสายตาแรงกล้า “นี่เป็นคำขอเดียวของแม่ ลูกรับปากแม่ได้หรือเปล่า?”