บทที่ 1860+1861

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1860 นี่คือเสด็จพ่อของข้า

กู้ซีจิ่วหยักมุมปากนิดๆ “เลี้ยงอาหารท่านสักมื้อเป็นอย่างไร?”

อวิ๋นเยียนหลีถูฝ่ามือพลางยิ้ม “เช่นนั้นเราผู้เป็นอ๋องก็ไม่เกรงใจแล้ว!”

อันที่จริงในหลายวันมานี้กู้ซีจิ่วสัมผัสได้ว่ามีคนสะกดรอยตามเธออยู่ แถมคนที่สะกดรอยเธอยังสลับสับเปลี่ยนตัวอยู่เสมอด้วย เห็นได้ชัดว่าได้รับคำสั่งมา

เดิมทีเธอก็แค่มาเที่ยวเล่นอยู่แล้ว ในใจไร้เล่ห์กล ย่อมไม่เกรงกลัวการสะกดรอยของพวกเขา ทุกวันล้วนกระทำเรื่องราวของตนไป แค่ทำเป็นไม่เห็นพวกเขาไปเสีย

ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว คนที่สะกดรอยตามเธอเหล่านั้นคือคนที่องค์ชายอวิ๋นเยียนหลีผู้นี้ส่งมา

เขาน่าจะไม่ไว้ใจเธอ เกรงว่าเธอจะเป็นสายลับที่ภพมารส่งมา…

ตอนนี้เขาออกโรงด้วยตัวเองแล้ว คลายความสงสัยในตัวเธอแล้วหรือ? หรือว่ามาหยั่งเชิงด้วยตัวเอง?

ไม่ว่าเขาจะมีจุดประสงค์ใด กู้ซีจิ่วล้วนไม่อินังขังขอบ น้ำมาใช้ดินต้านทหารมาใช้ขุนพลตั้งรับก็เท่านั้น อีกอย่างเขาก็เป็นองค์ชายของแดนพ้นโศก ย่อมทราบเรื่องราวมากกว่าเป็นแน่ บางทีเธออาจจะล้วงข้อมูลอะไรจากปากเขาได้บ้าง

….

กู้ซีจิ่วเชิญเขามาเลี้ยงอาหารที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งที่ใหญ่ที่สุดในดินแดนนี้

อาหารของที่นี่ย่อมเปี่ยมด้วยพลังวิญญาณ มีส่วนช่วยในการยกระดับพลังวิญญาณ เพียงแต่ค่อนข้างแพงอยู่บ้าง อีกทั้งเงินตราแลกเปลี่ยนของที่นี่ก็ไม่ใช่เงินตำลึง แต่เป็นหินวิญญาณประเภทหนึ่ง

โชคดีที่ความสามารถด้านการหาเงินของกู้ซีจิ่วเป็นเลิศ เตร็ดเตร่อยู่ที่นี่กว่าหนึ่งเดือน เก็บเกี่ยวสะสมทรัพย์ได้ส่วนหนึ่งแล้ว เป็นเจ้ามือเลี้ยงอาหารผู้อื่นได้ไม่มีปัญหา

ระหว่างมื้ออาหาร อวิ๋นเยียนหลีเอ่ยถามเธอ “แม่นางกู้กำลังตามหาบางสิ่งอยู่ใช่หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วก็ไม่ปิดบังเขาเช่นกัน “ใช่ ตามหาคนผู้หนึ่งอยู่”

อวิ๋นเยียนหลีขันอาสา ให้เธอบอกลักษณะของคนๆ นั้นมา เขาสามารถช่วยตามหาได้

กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ “ข้ารู้แค่ว่าเขาสวมชุดสีม่วง เป็นบุรุษ อย่างอื่นไม่รู้เลย”

อวิ๋นเยียนหลีพูดไม่ออกเลย เขาเงียบไปครู่หนึ่ง “ในแดนพ้นโศกผู้ที่สวมอาภรณ์สีม่วงได้มีเพียงเชื้อพระวงศ์เท่านั้น…”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า “คนผู้นั้นสวมชุดสีม่วงสว่าง บาดตายิ่งนัก และเชื้อพระวงศ์ที่สวมใส่อาภรณ์สีม่วงได้นอกจากพระบิดาของท่าน ที่เหลือข้าเคยพบหมดแล้ว ไม่ใช่ทั้งสิ้น”

อวิ๋นเยียนหลีชะงักไปครู่หนึ่ง “ในแดนพ้นโศก สีม่วงสว่างมีเพียงจักรพรรดิเท่านั้นที่สวมได้”

กู้ซีจิ่วกำลังคีบลูกชิ้นลูกหนึ่งอยู่ เมื่อได้ยินวาจาลูกชิ้นในมือก็กลิ้งตกลงไปในจาน

ไม่ใช่กระมัง?!

คนผู้นั้นที่เธอต้องการตามหาคือจักรพรรดิเซียนหรือ?! จักรพรรดิเซียนที่มีสองโอรสหนึ่งธิดาแล้วเนี่ยนะ?

อวิ๋นเยียนหลีมองกู้ซีจิ่วด้วยสายตาที่ค่อนข้างซับซ้อน “แม่นางตามหาเขาเพราะเหตุใด?”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้าอีกครั้ง “ไม่เพราะเหตุใด ตอนที่คนผู้นี้อยู่ในโลกเบื้องล่างเคยมีความเกี่ยวข้องกับข้า ต่อว่าไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงหายสาบสูญไป”

“รูปร่างหน้าตาเขาเป็นอย่างไร?”

กู้ซีจิ่วยังคงส่ายหน้า “ไม่รู้ ข้าเสียความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเขาไป เพียงจำได้รางๆ ว่าเขาสวมอาภรณ์สีม่วง อย่างอื่นไม่รู้เลย”

อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจ “อยู่ที่โลกเบื้องล่างสวมอาภรณ์สีม่วง ขอเพียงเขาโบยบินขึ้นมาสู่ดินแดนเบื้องบนแล้ว ก็ไม่อาจสวมใส่ชุดสีม่วงได้อีก…ถ้าท่านจำรูปโฉมของเขาได้ก็ยังตามหาได้ง่ายหน่อย ถ้าจดจำไม่ได้ก็ยากแล้ว แม้แต่นามก็จำไม่ได้หรือ?”

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า

อวิ๋นเยียนหลีเงียบไปครู่หนึ่ง เอ่ยถามอีก “เช่นนั้นถ้าแม่นางได้พบหน้าเขาอีกครั้งจะจำเขาได้หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วไม่แน่ใจเท่าไหร่ “น่าจะได้กระมัง”

อวิ๋นเยียนหลีคิดเล็กน้อย พลันหยิบกระจกทรงโบราณบานหนึ่งออกมาจากบนร่าง นิ้วมือเขาตวัดร่ายวิชาลงบนกระจก จากนั้นก็ให้กู้ซีจิ่วมองดู “ใช่เขาหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วมองเข้าไปในกระจกแวบหนึ่ง เห็นใบหน้าของบุรุษหล่อเหลาในชุดสีม่วงสว่างคนหนึ่ง

ขนงดุจกระบี่เนตรดุจดารา นาสิกโด่งปากเป็นเหลี่ยม รูปโฉมมีความคล้ายคลึงกับอวิ๋นเยียนหลีสี่ห้าส่วน เพียงแต่มีสง่าราศีกว่า

กู้ซีจิ่วส่ายหัวทันที “ไม่ใช่เขา!”

เมื่ออวิ๋นเยียนหลีได้ยินไม่กี่คำนี้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “นี่คือเสด็จพ่อของข้า”

———————————————————————–

บทที่ 1861 ท่านอยากฟังความจริงหรือว่าถ้อยคำพิธีการ

เสด็จพ่อของเขาเจ้าสำราญยิ่งนักจริงๆ ได้ยินว่าเคยจำแลงกายลงสู่โลกเบื้องล่างแล้วสร้างหนี้ดอกท้อขึ้น จักรพรรดินีเซียนโกรธกริ้วเรื่องนี้ยิ่งนัก ทว่าไม่อาจจัดการอีกฝ่ายได้ ทำได้เพียงพูดจาแดกดันเสียดสีต่อหน้าโอรสบ้างเป็นครั้งคราว ด้วยเหตุนี้อวิ๋นเยียนหลีจึงรู้จักนิสัยของบิดาตนดี

อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็โล่งใจเหมือนกัน เอ่ยชมเชยไปประโยคหนึ่ง “องค์ชายช่างปราดเปรื่องปรีชานัก”

จากนั้นทั้งสองคนจึงพร้อมใจกันไม่เอ่ยถึงคนผู้นี้อีก

กู้ซีจิ่วสนทนากับอวิ๋นเยียนหลีอยู่พักหนึ่ง ทราบจากปากของเขาว่าถึงแม้ที่แดนพ้นโศกสีม่วงสว่างจะสงวนไว้สำหรับจักพรรดิเซียนเท่านั้น แต่ที่ภพมารภพปีศาจไม่มีข้อจำกัดนี้…

กู้ซีจิ่วขมวดคิ้วนิดๆ

ลางสังหรณ์ของเธอบอกว่าคนผู้นั้นคือเซียน ไม่ใช่มารหรือปีศาจ…

เธอนึกถึงความฝันนั้นอีกครั้ง ในความฝันบุรุษผู้นั้นไม่ได้สวมชุดสีม่วง แต่สวมชุดสีขาว ชุดนั้นขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะ ปานหมอกเมฆา

หากว่าเขาขึ้นมายังดินแดนเบื้องบน อาจจะสวมชุดขาวแล้วกระมัง?

เธอสอบถามอีกครั้งว่าผู้ใดบ้างที่สวมใส่สีขาวได้

อวิ๋นเยียนหลีถอนหายใจพลางเอ่ยตอบ “นั่นคือสีที่ซ่างเซียนสวมใส่”

ได้ทราบความจากการสนทนาว่า ในดินแดนพ้นโศกแห่งนี้มีซ่างเซียนอยู่ถึงสองร้อยแปดคน อีกทั้งคนเหล่านี้ก็ไม่ได้พำนักอยู่ที่แดนพ้นโศกตลอด มีมากมายที่ชมชอบตระเวนไปทั่วสี่คาบสมุทร ท่องเที่ยวไปทั่วหล้า ต้องการจะพบพวกเขาทั้งหมดสักครั้ง ล้วนยากเสียยิ่งกว่ายาก

ตัดซ่างเซียนที่เป็นสตรีทิ้งไปสิบห้าคน ก็ยังเหลืออยู่เกือบสองร้อยคน…

สุดท้ายอวิ๋นเยียนหลีจึงอดไม่ได้ที่เอ่ยขึ้นว่า “แม่นางกู้ เราผู้เป็นอ๋องคิดว่า ท่านอาศัยอาภรณ์ตามหาคนเช่นนี้ค่อนข้างเลื่อนลอยไม่แน่นอน ท่านลองคิดให้ละเอียดอีกครั้งเถิด เขายังมีลักษณะพิเศษใดอีกหรือไม่?”

กู้ซีจิ่วนึกถึงกล่องที่คนผู้นั้นอุ้มไว้ในความฝัน เธอหลุบตาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ขอกระดาษกับพู่กันจากพนักงานเสียเลย และวาดสิ่งที่เห็นในความฝันออกมา…

จะว่าไปก็แปลก ในความฝันเธอมองเห็นเงาร่างของคนผู้นั้นไม่ชัดเลย ทว่ามองเห็นลักษณะของกล่องใบนั้นอย่างชัดเจน ยามนี้เธอจึงวาดออกมา จากนั้นก็ให้อวิ๋นเยียนหลีดู

อวิ๋นเยียนหลีจ้องมองอยู่พักหนึ่ง ส่ายหน้าให้ “ภาพเหมือนของคนผู้นี้คลุมเครือเกินไป มองใบหน้าไม่ออกเลยจริงๆ ส่วนกล่องข้าก็ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เพียงแต่ข้าสามารถช่วยตามหาได้”

เขาเก็บภาพที่กู้ซีจิ่ววาดไว้

ครุ่นคิดเล็กน้อย เอ่ยขึ้นอีกว่า “เท่าที่ข้ารู้ ในวันมะรืน ณ ชั้นฟ้าที่แปดจะมีงานชุมนุมผลไม้เซียน และเป็นงานชุมนุมของเหล่าเซียนด้วย คิดว่าคงมีซ่างเซียนมาร่วมงานมากมาย เพียงแต่ท่านไม่มีลำดับเซียน น่าจะขึ้นไปไม่ได้ หากว่าท่านไม่รังเกียจ เมื่อถึงวันนั้นก็ปลอมเป็นสาวใช้ของข้าไปเข้าร่วมงานได้ เพียงแต่ถ้าทำเช่นนั้นอาจจะเป็นการหมิ่นเกียรติท่าน…”

ดวงตากู้ซีจิ่วส่องประกายเล้กน้อย “ไม่เป็นไร เมื่อถึงวันมะรืนข้าจะปลอมเป็นสาวใช้ของท่านไปดูด้วย”

อวิ๋นเยียนหลียิ้มแวบหนึ่ง “ได้! วางใจเถอะ ต่อให้ท่านปลอมเป็นสาวใช้ เราผู้เป็นอ๋องก็จะไม่ให้ท่านต้องทำงานเบ็ดเตล็ดพวกนั้นหรอก”

กู้ซีจิ่วยังคงซาบซึ้งในน้ำใจขององค์ชายผู้นี้ยิ่งนัก มีเขาคอยช่วยเหลือ เธอก็เบาแรงขึ้นไม่น้อยเลย หลังจากเธอเอ่ยขอบคุณเขาแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามประโยคหนึ่ง “ซีจิ่วกับองค์ชายรู้จักกันเพียงผิวเผินเท่านั้น เหตุใดองค์ชายจึงยอมช่วยเหลือข้าเช่นนี้?”

อวิ๋นเยียนหลียิ้มอีกครา “ท่านอยากฟังความจริงหรือว่าถ้อยคำพิธีการเล่า?”

“ย่อมต้องเป็นความจริง ข้าไม่สนใจถ้อยคำพิธีการ”

“ว่ากันตามจริงแล้ว แม่นางค่อนข้างสันโดษ เราผู้เป็นอ๋องเกรงว่าแม่นางจะเป็นสายลับที่สองภพมารปีศาจส่งมา จึงส่งคนไปสะกดรอยตามแม่นาง ยามนี้ยืนยันได้แล้วว่าแม่นางเป็นผู้บริสุทธิ์จริงๆ ข้ารู้สึกละอายใจกับแม่นาง ต้องการชดเชยให้ ในเมื่อช่วยได้ย่อมต้องช่วย ยังมีอีก เราผู้เป็นอ๋องคิดจะเชิญแม่นางไปช่วยธุระประการหนึ่ง หากว่าแม่นางตกลง เราผู้เป็นอ๋องจะขอบคุณยิ่งนัก”

กู้ซีจิ่วก็ตรงไปตรงมาเช่นกัน “ธุระใด?”

“ไม่กี่วันมานี้ ณ ชั้นฟ้าที่ห้ามีแสงของสมบัติล้ำค่าสาดส่องออกมาเป็นระยะๆ น่าจะมีศาตราเทพใกล้อุบัติขึ้นแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางพอจะไปรับศาสตราวุธเทพชิ้นนี้กับข้าได้หรือไม่?”

——————————————-