บทที่ 1862+1863

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1862 เลือกนาย

ชั้นฟ้าที่ห้าเป็นเขตแดนคาบเกี่ยวระหว่างสามภพ ภพมาร ภพปีศาจ ภพเซียนล้วนแต่มีกองกำลังของตนอยู่ที่นั่น

คิดจะไปแย่งชิงศาสตราวุธเทพที่นั่นย่อมยากเย็นแสนเข็ญ กู้ซีจิ่วคิดแวบเดียวก็เข้าใจความยากลำบากท่ามกลางนั้นได้แล้ว ต้องอันตรายยิ่งนักเป็นแน่

“ในสังกัดขององค์ชายมีแม่ทัพนายกองที่เก่งกาจอาจหาญมากมาย เหตุใดจึงไม่นำกำลังทหารไปเล่า?”

อวิ๋นเยียนหลีส่ายหน้า “อันที่จริงระหว่างเซียนและมารมีการลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกไว้ หากเราผู้เป็นอ๋องนำกำลังทหารไปเกรงว่าจะเป็นการปลุกระดมฝูงชนเกินไป จะก่อให้เกิดสงครามระหว่างสองภพเซียนมารได้ง่ายๆ ดังนั้นจะเป็นการดีกว่าถ้าพาไปแค่คนสองคน ยังมีเหตุผลอีกข้อหนึ่งที่กล่าวไว้ว่า มีแต่ต้องพาสตรีไปด้วย ถึงจะมีโอกาสได้รับศาตราเทพชิ้นนี้”

ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!

ในเมื่ออวิ๋นเยียนหลีเอ่ยจุดประสงค์ทั้งหมดออกมาแล้ว เช่นนั้นกู้ซีจิ่วย่อมไม่เกรงอกเกรงใจเขาอีก เอ่ยเงื่อนไขของตนออกมาเช่นกัน

เธอสามารถช่วยอวิ๋นเยียนหลีชิงศาตราเทพได้ แต่ไม่ว่าจะได้มาครองหรือไม่ อวิ๋นเยียนหลีล้องต้องช่วยให้เธอได้พบหน้าซ่างเซียนกว่าหนึ่งร้อยเก้าสิบคนนั้น ถึงแม้จะเป็นเพียงการได้เห็นจากที่ไกลๆ ก็ยังดี

อวิ๋นเยียนหลีก็ตอบรับอย่างปรีดาเช่นกัน

ขณะที่ทั้งสองกำลังสนทนากันอยู่ พลันมีแสงทองเจิดจ้าแยงตาสายหนึ่งพุ่งวาบขึ้นมา…

แสงทองนั้นแวบผ่านไป อวิ๋นเยียนหลัวผุดลุกขึ้นมาทันที “ศาตราเทพชิ้นนั้นกำลังจะอุบัติขึ้นแล้ว! แม่นางกู้ พวกเราต้องไปเดี๋ยวนี้!”

….

ทิวทัศน์ของชั้นฟ้าที่ห้าแต่กต่างจากสี่ชั้นฟ้าก่อนหน้านี้จริงๆ

พลังวิญญาณเบาบางมาก ภูผาสูงเสียดฟ้า ดูสูงชันยิ่งนัก แม่แต่สายน้ำที่ไหลเชี่ยวก็เป็นสีเหลืองขุ่นทั้งสิ้น

ศาตราเทพอุบัติ ย่อมเกิดความเคลื่อนไหว ด้วยหตุนี้จึงทำให้ระดับสูงของสามภพเซียนมารปีศาจแตกตื่นกันถ้วนหน้า

ระหว่างทางกู้ซีจิ่วและอวิ๋นเยียนหลีพบเจอผู้คนไม่น้อยเลย เซียนมารปีศาจล้วนมีหมด

อวิ๋นเยียนหลีกล่าวไว้ไม่ผิดเลย คนเหล่านั้นล้วนพาคนมาด้วยสองสามคนจริงๆ และทุกกลุ่มล้วนมีสตรีอยู่หนึ่งคน

อวิ๋นเยียนหลีรูปโฉมหล่อเหลา ระหว่างเดินทางจึงดึงดูดสายตาของสตรีได้ไม่น้อย

ส่วนกู้ซีจิ่วก็เปลี่ยนชุดดำของเธอออกไปแล้ว สวมใส่ชุดสีขาวซีดที่เห็นรูปร่างไม่ชัดแทน บนศีรษะสวมหมวกงอบไว้ บนหมวกมีผ้าคลุมห้อยลงมา บดบังใบหน้าของเธอไว้ ดังนั้นฝูงชนจึงไม่ทราบว่าสรุปแล้วเธออัปลักษณ์หรืองดงาม

อย่างไรก็ตามยังคงมีสายตาของคนมากมายที่คยเพ่งเล็งเธอ คาดเดาไปว่าที่แท้แล้วเป็นผู้มีวาสนาคนใดกันแน่ คู่ควรได้รับความโปรดปรานจากองค์ชายอวิ๋นเยียนหลีเช่นนี้หรือ?

กู้ซีจิ่วย่อมไม่สนใจสายตาเหล่านี้ ติดตามอวิ๋นเยียนหลีมุ่งตรงสู่ใจกลางหุบเขาใหญ่แห่งหนึ่ง ได้ยินว่าศาตราเทพจะอุบัติขึ้นที่นั่น…

….

จะอย่างไรกู้ซีจิ่วก็คาดไม่ถึงเลยเช่นกัน เธอมาช่วยอวิ๋นเยียนหลีแย่งชิงศาตราเทพชิ้นหนึ่งชัดๆ เพียงมาให้ความช่วยเหลือเท่านั้น กลับนึกไม่ถึงเลยว่าสุดท้ายแล้วเจ้านายที่ศาตราเทพเลือกสวามิภักดิ์จะเป็นเธอ!

ศาสตราเทพชิ้นนี้เป็นอาวุธที่ไม่พบเห็นกันบ่อยนัก…เป็นบรรทัดทองเล่มหนึ่ง!

บรรทัดทองเล่มนั้นมีความยาวสองจุดสองฉื่อ ตัวไม้บรรทัดสลักขีดไว้อย่างประณีต แสงทองส่องระยับ เปี่ยมด้วยแสงมงคล ขอบทั้งสองด้านของไม้บรรทัดปานคมกระบี่ คมกริบอย่างยิ่ง หากฟันอาวุธสักชิ้นลงบนร่างมันอย่างส่งๆ จะหักออกเป็นสองท่อนทันที…

กู้ซีจิ่วเห็นมากับตาว่าไม้บรรทัดที่ส่องแสงพร่างพราวเล่มนี้ ฟันอาวุธในมือของผู้ที่มาเพื่อแย่งชิงศาตราเทพเหล่านั้นขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย เหลือไว้เพียงซากเหล็กที่แตกหัก

ในบรรดานี้รวมไปถึงกระบี่บิน ‘เงากระจ่าง’ อันเลื่องชื่อของอวิ๋นเยียนหลีด้วย…

เงากระจ่างเล่มนั้นก็เป็นศาสตราเทพที่แข็งแกร่งคงกระพันชิ้นหนึ่งเช่นกัน กลับถูกไม้บรรทัดเล่มนั้นฟันขาดเป็นสามท่อนได้ปานเฉือนเต้าหู้ ทำให้อวิ๋นเยียนหลีปวดใจเหลือคณา

หากกล่าวถึงขั้นตอนการชิงศาสตราเทพแล้วอันที่จริงเรียบง่ายมุทะลุยิ่งนัก แต่ละคนต่างพุ่งทะยานไปยังหุบเขาที่มีแสงทองปรากฏขึ้น ระว่างทางย่อมมีเหตุการณ์จำพวกเจ้าใช้เล่ห์กลกับข้า ข้าวางหลุมพรางเจ้า ด้วยหมายจะกำจัดคู่ต่อสู้ทิ้งสักสองสามคนทั้งสิ้น

ส่วนกู้ซีจิ่วกับอวิ๋นเยียนหลีเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ยามที่ทั้งสองลงมือพร้อมกัน ในสิบครั้งคู่ต่อสู้จะล้มคว่ำไปแล้วแปดเก้าครั้ง ก่อนเผ่นหนีไป

————————————————————————–

บทที่ 1863 เลือกนาย 2

ในกลุ่มคนที่ถูกพวกเขากำจัดไปเหล่านั้นมีทั้งคนของภพมารและภพปีศาจ แน่นอนว่าย่อมมีคนของภพเซียนด้วย

คนของภพเซียนยังว่าดี เมื่อเห็นว่าองค์ชายมาช่วงชิง ต่อให้พ่ายแพ้ก็ไม่กล้าตอบโต้เอาคืน ทำได้เพียงยอมรามือไปเอง

แต่คนของคนมารกับภพปีสาจกลับไม่เหมือนกัน หลังจากพวกเจาเสียเปรียบอยู่หลายหน จึงร่วมมือกันเสียเลย เข้าโจมตีพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองพร้อมกัน…

ผู้ที่มาเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ตะเกียงขาดน้ำมัน หากว่าใช้มาตรฐานการบำเพ็ญของภพเซียนมาวัด คนเหล่านั้นล้วนอยู่ในขั้นจินเซียนขึ้นไป มีอยู่สองสามคนที่บรรลุขั้นซ่างเซียนแล้ว…

เมื่อคนเช่นนี้ร่วมมือกันมาล้อมโจมตีพวกกู้ซีจิ่วทั้งสอง ย่อมเพียงพอจะให้พวกเขาสองคนยุ่งง่วนได้

โชคดีที่วรยุทธ์ขององค์ชายผู้นี้บรรลุถึงระดับซ่างเซียนแล้ว ส่วนกู้ซีจิ่วหลังจากได้ต่อสู้ ในที่สุดก็ทราบแล้วว่าระดับบำเพ็ญของตนเมื่ออยู่ที่นี่แล้วก็ยังคงสูงยิ่งนัก พอฟัดพอเหวี่ยงกับอวิ๋นเยียนหลีเลย ถึงขั้นที่สูงกว่าเล็กน้อยด้วย

ประกอบกับเธอมีประสบการณ์ในการต่อสู้อย่างโชกโชน เมื่อต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ เธอจึงเป็นผู้บัญชาการ ทำให้อวิ๋นเยียนหลีเสียเปรียบน้อยลงมากนัก

เริ่มแรกอวิ๋นเยียนหลียังไม่กล้าเชื่อคำเธอไปเสียทั้งหมด เกรงว่าจะถูกเธอลากลงคูเอา แต่หลังจากได้ลิ้มรสชาติชัยชนะอันหอมหวานภายใต้การบัญชาการของกู้ซีจิ่วแล้ว เขาก็เริ่มเชื่อฟังเธออย่างสมบูรณ์…

ทั้งสองร่วมงานกันอย่างเข้าขา ระหว่างทางกำจัดคู่ต่อสู้ไปกว่าสิบกลุ่ม รอจนถึงยามที่เข้าสู่หุบเขาแล้ว รอบข้างก็ยังมีอยู่อีกเจ็ดแปดกลุ่ม…

เจ็ดแปดกลุ่มนั้นย่อมเป็นผู้เลิศล้ำในหมู่ผู้เลิศล้ำไม่ว่าจะเป็นด้านวรยุทธ์หรือว่าแผนการล้วนเป็นเลิศทั้งสิ้น คล้ายว่าพวกเขาได้ปรึกษาหารือกันไว้ดีแล้ว รวมตัวกันมาล้อมโจมตีทั้งสองคน…

ชัดเจนยิ่งนัก พวกเขาคิดจะกำจัดพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองก่อน จากนั้นค่อยต่อสู้แย่งชิงกันอีกที

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนสองคนต้องต่อสู้แบบแข็งชนแข็งกับยอดฝีมือที่มีพลังยุทธ์ทัดเทียมกันเกือบยี่สิบคน ย่อมไร้เหตุผลสิ้นดี

กู้ซีจิ่วตัดสินใจในทันใด เธอจะต้านทานคนเหล่านี้เอาไว้ ให้อวิ๋นเยียนหลีหาจังหวะไปดึงบรรทัดทองที่เสียบอยู่ในก้อนหินและโผล่หัวออกมาแล้วเล่มนั้น

ผลลัพธ์คือยามที่อวิ๋นเยียนหลีไปดึงไม้บรรทัดเล่มนั้น ไม้บรรทัดเล่มนั้นไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด ราวกับหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกับก้อนหินเหล่านั้น

ด้วยพลังกำลังของอวิ๋นเยียนหลี ต่อให้เป็นภูเขาทั้งลูก เขาก็สามารถโคจรพลังวิญญาณหยิบยกขึ้นมาได้ แต่เขากลับดึงไม้บรรทัดเล่มนี้ออกมาไม่ได้

ซ้ำยังถูกไม้บรรทัดเล่มนั้นดีดสะท้อนกลับไปอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วด้วย หวิดจะชนถูกคมกระบี่ของศัตรูคนหนึ่งแล้ว

ยังคงเป็นกู้ซีจิ่วที่รั้งตัวเขาไว้ ถึงทำให้เขารอดพ้นจากการถูกแทงทะลุช่องท้องได้ ในช่วงที่โอ้เอ้กันเพียงเล็กน้อยนี้ ในฝ่ายศัตรูมีคนสามสี่คนเหาะทะยานไปทางไม้บรรทัดเล่มนั้นแล้ว…

กู้ซีจิ่วพลันร้อนใจ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายเข้าไปทันที คว้าไม้บรรทัดเล่มนั้นไว้…

คนอื่นๆ เห็นเธอได้โอกาสก่อน จึงผละจากอวิ๋นเยียนหลีมาโจมตีเธอแทน ศาสตราวุธกว่าสิบชนิดต่างพุ่งมาทักทายเธอ

ในช่วงเวลาคับขันเธอไม่ทันได้คิดให้ถี่ถ้วน ฝ่ามือพลันออกแรง ไม่บรรทัดเล่มนั้นถูกเธอดึกออกมาได้อย่างง่ายดาย แสงทองสาดส่องออกมา คมอาวุธที่ฟาดฟันเข้าเธอเหล่านั้นล้วนถูกไม้บรรทัดเล่มนี้ฟันจนกลายเป็นเศษซาก…

เดิมทีอวิ๋นเยียนหลีหมายจะใช้กระบี่เข้ามาช่วยหนุน ผลคือถูกไม้บรรทัดเล่มนั้นโจมตีใส่อย่างไม่เลือกหน้า ทำให้เกิดฉากที่น่าสลดขึ้น

ส่วนใหญ่แล้วศาสตราเทพหรืออาวุธวิเศษต่างเลือกนายด้วยตัวเอง ยามนี้เห็นได้ชัดว่าบรรทัดทองเล่มนี้ยอมรับกู้ซีจิ่วเป็นนายแล้ว คนอื่นๆ หมดสิทธิ์แม้แต่จะคิดแล้ว

ถึงแม้คนที่เหลือจะไม่พอใจ แต่ก็เป็นคนที่รู้จักยอมแพ้เช่นกัน ในเมื่อศาสตราเทพเลือกนายแล้ว พวกเขาอยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้รับผลดีอันใด ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงแยกย้ายกันไป

อันที่จริงบนร่างของกู้ซีจิ่วมีศาสตราเทพอาวุธวิเศษมากมายแล้ว ในปีนั้นตี้ฝูอีได้มอบของดีมากมายไว้ให้เธอ

เธอไม่ใคร่ชมชอบบรรทัดทองเล่มนี้จริงๆ เธอค่อนข้างชอบของที่เรียบง่ายใช้งานได้จริง จึงไม่ชอบบรรทัดทองที่ส่องแสงฉูดฉาดบาดตาถึงเพียงนี้

————————————————————————