บทที่ 1864+1865

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1864 หวงถูคือผู้ใด?

ดังนั้นเธอจังคิดจะมอบบรรทัดทองเล่มนี้ให้อวิ๋นเยียนหลี อวิ๋นเยียนหลีกลับยิ้มแล้วตอบว่า “ซีจิ่ว ศาตราวุธวิเศษ ผู้มีวาสนาเท่านั้นถึงจะได้ครอง ในเมื่อสิ่งนี้เลือกเจ้าแล้ว เช่นนั้นเจ้าก็คือนายของมัน อย่าได้ปฏิเสธเลย”

ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างรู้สึกผิด อวิ๋นเยียนหลีกลับเป็นผู้ที่ใจกว้างนัก ไม่เก็บมาใส่ใจ เอ่ยยิ้มๆ “ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ขอเพียงคนที่ได้สิ่งนี้ไปเป็นคนของภพเซียนเรา นี่ก็น่ายินดีมากพอแล้ว”

ในเมื่อเขากล่าวมาเช่นนี้แล้ว กู้ซีจิ่วจึงไม่พูดจาเป็นอื่นอีก

ทิวทัศน์ของหุบเขาแห่งนี้พิสดารอันตรายยิ่ง อวิ๋นเยียนหลีจึงเสนอให้เดินเล่นในหุบเขานี้ดูเสียหน่อย ถือโอกาสชมทิวทัศน์ไปด้วย กล่าวอย่างติดตลกว่า “สถานที่แห่งนี้มีศาตราเทพชิ้นหนึ่งอุบัติขึ้น แสดงให้เห็นว่าอุดมไปด้วยพลังวิญญาณ ไม่แน่ว่าในหุบเขาลูกนี้อาจจะยังมีของดีอย่างอื่นอยู่อีก พวกเราถือโอกาสไปหาดูสักหน่อยก็ไม่เสียหายนี่”

กู้ซีจิ่วย่อมไม่ปฏิเสธ ต่อสู้อยู่นานถึงเพียงนั้น เธอเหน็ดเหนื่อยอยู่บ้าง คิดจะพักผ่อนเสียหน่อยเช่นกัน การเดินเล่นก็นับว่าเป็นวิธีพักผ่อนที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน

ตอนนี้เป็นยามราตรีแล้ว ดวงจันทร์ที่เห็นที่นี่ ใหญ่กว่าที่เห็นบนโลกเบื้องล่างถึงสามเท่า!

กลมเกลี้ยงทองอร่าม แขวนลอยอยู่กลางนภา

นภาครามปานถูกชะล้างด้วยวารี แจ่มใสอย่างยิ่ง

รอบข้างมีไอเมฆล่องลอย มีแสงกะพริบวิบวับของหิ่งห้อยที่บินว่อนอยู่รอบๆ ทิวทัศน์เช่นนี้ดึงดูดความสนใจได้จริงๆ

หลังจากทั้งสองคนได้ร่วมมือกันเช่นนี้แล้ว ความสัมพันธ์ย่อมแน่นแฟ้นขึ้นไม่น้อย ยามนี้นับว่าเป็นคนคุ้นเคยกันแล้ว

กู้ซีจิ่วสนทนาปราศรัยกับเขา ได้ทราบเรื่องราวอีกอย่างหนึ่งจากปากเขา

บรรดาเทพศักดิ์สิทธิ์ เซียนศักดิ์สิทธิ์ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์อันใดเหล่านั้นของโลกเบื้องล่างเมื่อดับขันธ์แล้ว ขอเพียงไม่ได้ล่วงล้ำไปในเส้นทางที่ผิดพลาด สวรรค์จะอนุญาตให้พวกเขามาจุติที่ดินแดนเบื้องบน และเมื่อจุติแล้วจะได้เป็นซ่างเซียน เสพสุขกับเกียรติภูมิของการเป็นซ่างเซียน

กู้ซีจิ่วยังไม่ได้เอ่ยอะไร กลับเป็นหยกนภาที่อดไม่รนทนไม่ไหวแล้ว ส่งเสียงขึ้นมาในสมองของกู้ซีจิ่ว ‘เจ้านาย ท่านลองถามหน่อยสิว่าหวงถูได้ถือจุติในดินแดนเบื้องบนแห่งนี้หรือไม่?!’

‘หวงถูคือผู้ใด?’ กู้ซีจิ่วฉงน เพียงแต่เธอรู้สึกคุ้นเคยกับชื่อนี้อยู่รางๆ

‘เป็น…เคยเป็นคนรู้จักของสหายของข้า…เจ้านาย สหายคนนั้นของข้าคิดถึงเขามาก ไม่รู้ว่าหลังจากเขาดับขันธ์ไปแล้วได้ดับสูญไปอย่างแท้จริงหรือไม่ เจ้านาย ท่านช่วยถามให้ข้าหน่อยนะ’

ในใจกู้ซีจิ่วรู้สึกพิกลเล็กน้อย เอ่ยถามอีก ‘เช่นนั้นเขาดับขันธ์ไปเมื่อไหร่?’

‘ข้า…ข้าก็ไม่รู้ เจ้านาย ท่านลองถามดูก่อนเถอะ’

ด้วยเหตุนี้ กู้ซีจิ่วจึงเอ่ยถาม เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นเยียนหลีคุ้นเคยกับรายชื่อของซ่างเซียนเหล่านั้น ดังนั้นเขาจึงส่ายหน้าแทบจะทันที “ไม่มีนะ ไม่มีคนผู้นี้อยู่” จากนั้นก็ส่ายหน้าอีกครั้ง “ซีจิ่ว มิใช่ว่าผู้ปกครองของโลกเบื้องล่างทั้งหมดล้วนสามารถมาจุติเป็นซ่างเซียนที่นี่ได้ มีกฎเกณฑ์เงื่อนไขที่เข้มงวดยิ่งนัก ถ้าพวกเขาละเมิดไปเพียงข้อสองข้อ การดับขันธ์ก็จะกลายเป็นการดับขันธ์อย่างแท้จริง สูญสิ้นไปจากสังสารวัฏอย่างสมบูรณ์ ไม่มีคนผู้นี้อยู่อีกต่อไป…ไม่เช่นนั้นเนิ่นนานมาจนปานนี้แล้ว คงเป็นไปไม่ได้ที่ดินแดนเบื้องบนจะมีซ่างเซียนอยู่เพียงสองร้อยกว่าคน…”

หยกนภาห่อเหี่ยวไปทันที

ยามมีชีวิตอยู่ตี้ฝูอีฝ่าฝืนสวรรค์ไปมากมายหลายครั้ง เห็นลิขิตสวรรค์ไร้ตัวตน หากมิใช่เพราะห่วงว่ากู้ซีจิ่วจะถูกสวรรค์ล้างแค้นเอาคืน ท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่แน่ว่าตี้ฝูอีจะยอมปฏิบัติตามเส้นทางที่สวรรค์ลิขิตเอาไว้…

เขาที่เป็นเช่นนี้เห็นทีว่าจะไม่ได้รับอนุญาตให้เกิดใหม่เสียแล้ว

เห็นทีว่าตี้ฝูอีผู้นี้คงจะดับสูญไปจริงๆ ตามหาไม่ได้อีกแล้ว!

เจ้านายผู้น่าสงสารต่อให้เสียความทรงจำเกี่ยวกับเขาไปแล้ว จิตใต้สำนึกก็ยังต้องการตามหาเขาอยู่…

หยกนภามองกู้ซีจิ่ว เห็นนางพูดคุยถึงข่าวนี้ได้โดยสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน เห็นได้ชัดว่านางไม่รู้เลยว่าข่าวนี้สำหรับตัวนางแล้วมีความหมายเช่นใด

นางคงคิดจะไปพบซ่างเซียนเหล่านั้นอยู่กระมัง?

หาได้ทราบไม่ว่าในบรรดาซ่างเซียนเหล่านั้นไม่มีคนที่นางกำลังตามหาอยู่เลย…

โชคดีที่นางเสียความทรงจำไปแล้ว มิเช่นนั้นเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อนางมหาศาลปานใดกัน?!

———————————————————————–

บทที่ 1865 ตำนานลิขิตสวรรค์

ทั้งสองเดินไปด้วยคุยไปด้วย มองเห็นว่าด้านหน้ามีอารามหลังหนึ่งอยู่ลิบๆ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นอาคารที่ดูคล้ายอาราม

หลังคากระเบื้องเคลือบ กำแพงหินหยกสีม่วงเข้ม มีไผ่ม่วงรายล้อมรอบวิหาร ดูลึกลับยิ่งนัก

กู้ซีจิ่วประหลาดใจ ไม่นึกเลยว่าจะมีการสร้างอาคารไว้ในสถานที่เปลี่ยวร้างเช่นนี้

ผู้คนในโลกเบื้องล่างสร้างวัดวาอารามเพื่อบูชาเทพเซียนสารพัด แล้วคนของดินแดนเบื้องบนสร้างอารามเพื่อบูชาใคร?

เมื่ออวิ๋นเยียนหลีเห็นอารามนี้กลับมีสีหน้าเคร่งขรึม “ซีจิ่ว พวกเราไปนมัสการกันเถอะ”

“ที่นี่สักการะผู้ใด?”

“ลิขิตสวรรค์”

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

เท่าที่เธอทราบ ลิขิตสวรรค์คือกฎระเบียบของของสรรพสิ่งในโลกหล้า เช่นเดียวกับการที่โลกหมุนรอบตัวเองหนึ่งครั้งคือหนึ่งวัน โคจรครบหนึ่งรอบคือหนึ่งปี เป็นกฎเกณฑ์ฟ้าดินอย่างหนึ่ง มันก็เป็นเทพเหมือนกันหรือ? เป็นประเภทที่ต้องสักการะบูชาด้วยหรือ?

ความสนใจใคร่รู้ผุดขึ้นมาในหัวใจเธอ จึงเดินตามเข้าไป

เหนือประตูอารามมีอักษรอยู่ที่คำ ‘สวรรค์ไม่เที่ยง’

อักษรทั้งสี่ตัวเป็นอักษรแบบโซ่วจิน[1] ตวัดพลิ้วเฉียบคมดุจตะขอเงิน ดูดุดันและกลมมน ให้ความรู้สึกกว้างไกลไร้ขอบเขตของนภาที่ครอบคลุมปฐพีไว้

เมื่อเดินเข้าไปในอาราม จะพบรูปสลักของเทพเจ้าองค์หนึ่ง

เมื่อกู้ซีจิ่วเห็นรูปสลักองค์นี้ในใจเสมือนถูกบางสิ่งกระแทกเข้าใส่!

รูปสลักองค์นี้แตกต่างจากรูปสลักที่พบเห็นอยู่ทั่วไปเหล่านั้น ลักษณะของมันค่อนข้างประหลาด คล้ายกับคนสี่คนรวมร่างกัน!

คนที่อยู่ด้านหน้าสุดผู้นั้นสวมใส่อาภรณ์สีม่วง บนใบหน้าสวมหน้ากากจิ้งจอกเอาไว้ หน้ากากจิ้งจอกนั้นเป็นสีแดงสด บดบังทั้งใบหน้าไว้ เผยเพียงดวงตาที่หยีโค้งเล็กน้อยคู่หนึ่ง คล้ายว่ากำลังยิ้มอยู่

คนที่อยู่ด้านซ้ายสวมชุดสีขาว บนใบหน้าสวมหน้าเอาไว้เช่นกัน รูปลักษณ์ของหน้ากากอันนี้ดูประหลาด ค่อนข้างคล้ายนัยน์ตาจิ้งจอก หน้ากากนี้เผยเพียงริมฝีปากงามได้รูปเท่านั้น เยือกเย็นดุจเหมันต์

คนที่อยู่ด้านขวาสวมชุดแดง หน้ากากบนใบหน้าเป็นสีขาวเงินยวง ซ่อนเร้นเครื่องหน้าทั้งหมดเอาไว้ ทั้งตัวคนดุจเปลวเพลิงกองหนึ่ง มอบความรู้สึกทรงเสน่ห์ชั่วร้ายให้แก่ผู้คน

รูปหลักที่อยู่ด้านหลังสวมชุดสีดำ ประหนึ่งเมฆาทึบทะมึน หน้ากากบนใบหน้าก็เป็นสีดำขลับ นิ้วมือจรดร่ายคาถาพิสดารอย่างหนึ่ง ราวกับพร้อมจะทำลายโลกาได้ในทันใด

ทั้งสี่คนนี้ถูกรวมไว้ด้วยกัน ดูแปลกประหลาดจนไม่อาจบรรยายได้

อวิ๋นเยียนหลีคุกเข่าลงไปแล้ว โขกศีรษะให้แก่รูปสลักนั้นราวกับกำลังอธิษฐานอะไร

กู้ซีจิ่วอยู่อยู่ที่ด้านหนึ่ง มองรูปสลักเทพเจ้านั้นอย่างใจลอยอยู่บ้าง

เธอรู้สึกอยู่ตลอดว่ารูปสลักเทพเจ้าเหล่านี้ค่อนข้างมีผลกระทบต่อเธอ ทำให้หัวใจบีบรัดขึ้นมาเป็นพักๆ อย่างน่าประหลาด

รูปสลักนี้คล้ายว่าจะสลักออกมาหยกเนื้องามสี่สีสัน แกะสลักอย่างวิจิตรประณีต แม้แต่รอยพับจีบของอาภรณ์ก็สลักออกได้สมจริงทั้งสิ้น

กู้ซีจิ่วฉวยโอกาสยามที่อวิ๋นเยียนหลีคุกเข่าสักการะอยู่ เพ่งพิศรูปสลักทั้งสี่แวบหนึ่ง

ถึงแม้รูปสลักทั้งสี่จะสวมหน้ากากไว้ทั้งหมด แต่รูปร่างกลับแตกต่างกัน ไม่คล้ายว่าเป็นคนคนเดียวที่มีหลายโฉมหน้า

‘หรือว่าลิขิตสวรรค์จะเป็นคนสี่คน?’ ข้อสงสัยผุดวาบขึ้นมาในสมองของกู้ซีจิ่ว ถือโอกาสสอบถามหยกนภาไปด้วย

หยกนภากำลังตะลึงงันอยู่ กู้ซีจิ่วเอ่ยถามมัน มันก็คล้ายว่าไม่ได้ยิน

กู้ซีจิ่วใช้นิ้วเคาะมัน ‘โง่งมไปแล้วหรือ? ทำไมถึงไม่ตอบล่ะ?’

ในที่สุดหยกนภาก็ได้สติกลับมาแล้ว ‘เจ้านาย ลิขิตสวรรค์เป็นกฎเกณฑ์ของฟ้าดินที่ถือกำเนิดขึ้นมาตามธรรมชาติ ว่ากันตามเหตุผลแล้วมัน…มันไม่ใช่มนุษย์…ข้า…ข้าก็ไม่รู้ว่าทำไมอยู่ที่นี่ถึงกลายเป็นรูปสลักเทพสี่องค์ไปได้…’

‘เจ้าไม่ใช่ผู้เผยแพร่วจีแห่งสวรรค์เหมือนกันหรอกหรือ? ทำไมถึงไม่รู้ว่ามันคืออะไร?’

‘เจ้านาย ข้าเพียงได้รับการชี้นำจากมันเป็นครั้งคราวเท่านั้น ไม่รู้เลยว่าสรุปแล้วมาจากไหนกันแน่ และไม่รู้ว่ามันคืออะไร…’

โอเค ดูเหมือนว่าหยกนภาจะเปรียบเสมือนตัวรับคลื่นความถี่จากลิขิตสวรรค์ อีกทั้งเรื่องราวที่มันรู้เกี่ยวกับดินแดนเบื้องบนแห่งนี้ยังสู้เธอไม่ได้เลยด้วยซ้ำกู้ซีจิ่วจึงคร้านจะถามไถ่มันแล้ว

เมื่ออวิ๋นเยียนหลีสักการะเสร็จ ทั้งสองคนจึงออกมา กู้ซีจิ่วเอ่ยถามอวิ๋นเยียนหลี “ลิขิตสวรรค์คือคนสี่คนหรือ?”

————————————————————————–

[1] อักษรแบบโซ่วจิน เป็นการอักษรที่ลายเส้นตวัดพลิ้วไหวดุจใบไผ่ต้องลม ผู้ที่คิดค้นคือจักรพรรดิฮุ่ยจงแห่งราชวงศ์ซ่งเหนือ