ตอนที่ 441 รู้จักปีนกำแพงตั้งแต่เด็ก
พูดถึงเฝิงเยี่ยไป๋ ตอนนี้มีความหวังที่จะได้กลับแล้ว เขาอยู่ที่โรงน้ำชาซู่หยางไม่กี่วัน ก็ได้ยินพ่อค้าทางเรือบอกว่าอันผิงอ๋องสั่งคนสร้างเรือบ้านลำใหญ่ จะเชิญขุนนาง นางโลมมีชื่อเสียง และพ่อค้าใหญ่ ไปกินดื่มบนเรือ เรือบ้านที่เป็นเช่นนี้มีสิบกว่าลำ แถมยังสามารถให้พักอยู่ได้ ได้ยินว่ายิ่งใหญ่อลังการ หลังคาเรือฝังเพชรพลอยและแต่งด้วยทองคำ ตอนนี้ก็รอเพียงเรือบ้านลงน้ำแล้ว
เขายังได้ยินแม่บ้านที่คุยกันอยู่ข้างตรอก บอกว่าในบ้านจะเปลี่ยนมีดที่ใช้คล่องมือเสียหน่อย อยากจะไปหาช่างตีเหล็กแซ่หลี่ที่อยู่ตะวันออกของเมือง เพียงแต่ช่างตีเหล็กแซ่หลี่ไม่ได้โผล่หน้ามาหลายวัน ไม่เพียงแค่ช่างตีเหล็กแซ่หลี่ ร้านตีเหล็กที่อยู่ในเมืองช่วงหลายวันนี้ก็ต่างปิดร้านไป กระทะที่แตกแล้วของบ้านนางก็ไม่มีที่ซ่อม
ทั้งเรือบ้านจะลงน้ำ และก็ช่างตีเหล็กที่หายไป ดูเหมือนเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันสองเรื่องที่จริงแล้วสามารถเชื่อมเข้าด้วยกัน งานเลี้ยงใดทีูจะต้องสรุางเรือบ้านครั้งละสิบกว่าลำ แถมยังดื่มกินสำราญช่วงเวลาคับขันเช่นนี้
ร้านตีเหล็กในเมืองปิดเพียงร้านเดียวไม่น่าแปลก เพียงแต่ปิดทุกร้าน นี่ก็ผิดสังเกตแล้ว
เรือบ้านปกตินั้นจะแบ่งสองชั้น ชั้นที่หนึ่งไว้ใช้ดื่มเหล้า ชั้นที่สองเป็นห้องสำหรับหาความสุขกับนางโลม เพียงแต่เรือบ้านของอันผิงอ๋องไม่เหมือนกัน เรือบ้านของเขานั้นมีเพียงชั้นเดียว เพียงแต่เรือบ้านของเขาดูไกลๆ แล้วก็ไม่เล็ก หากใช้เดินทหาร เรือลำหนึ่งสามารถใส่ทหารสองสามพันคนไม่มีปัญหา เรือสิบลำ นั่นก็คือมีคนหลักหมื่น นึกไปถึงช่างตีเหล็กที่หายไปอย่างไร้เหตุผล หากเขาเดาไม่ผิด ก็คงจะถูกจับไปตีดาบกระมัง!
หลังจากเจี่ยชีไปสืบ ก็ยืนยันการคาดเดาของเขา นอกจากทหารที่เห็นกันอยู่ห้าพันนาย ใต้ดินยังมีทหารนับหมื่นซ่อนอยู่ อันผิงอ๋องไม่ได้โง่ เขาขุดภูเขาเป็นถ้ำ แล้วเอาทหารที่เกินออกมานั้นซ่อนอยู่ในนั้น
พอเป็นเช่นนี้ก็ชัดเจนแล้ว ทหารเรือสองสามหมื่น บวกกับทหารเดินเท้าขึ้นเขา บนน้ำบนบกเข้าตีทั้งสองทาง อีกอย่างนี่ยังเป็นเพียงคนเดียว ยังมีอ๋องอันชิ่ง สถานการณ์ของซู่หยางเป็นเช่นนี้แล้ว เฟิงหยางยิ่งไม่ต้องพูดถึง กำลังทหารมีแต่จะมากกว่าไม่มีน้อยกว่า ทหารเรือราชสำนักไม่ถนัดสู้รบ หากพวกเขาสามารถตีด่านซื่อสุ่ย ก็ห่างจากเมืองหลวงเพียงเอื้อมมือแล้ว
ส่วนหลังจากนั้นจะทูลฮ่องเต้เช่นไร ก็ต้องดูความจริงใจของซู่อ๋องแล้ว
อวี่เหวินลู่เร่งม้าเร็ว จะต้องใช้ถึงห้าวันได้อย่างไร คืนวันที่สามก็เข้าเมืองหลวง ไหลลู่บอกจะไปหาโรงเตี๊ยมแล้วพักเสียก่อน เขาบอกไม่ต้อง หันม้าแล้วไปที่ตรอกฉางอัน “พวกเรากลับไปพักที่บ้าน ไม่ต้องพักโรงเตี๊ยมอะไรนั่น”
ไหลลู่เตะม้าแล้วตามขึ้นไป “ท่าน ที่นั่นตอนนี้ไม่ใช่บ้านของพวกเราแล้ว นั่นเป็นจวนท่านกู้หลุนอ๋อง พวกเราไปพักที่โรงเตี๊ยมเถิด!”
“ข้าเกิดและโตที่นั่นตั้งแต่เด็ก ไฉนถึงไม่ใช่บ้านข้าแล้ว” เขาไม่ฟังเลย ฟาดม้าแล้ววิ่งเหยาะๆ ขึ้นมา เวลาเช่นนี้ไม่ต่างกับเด็กเลย ดื้อดึงเสียจริง
ไหลลู่อยู่ข้างหลังเรียกเขา “ท่าน… ท่าน ท่านรอข้าด้วย” เขาตามขึ้นไป แล้วควบอยู่ข้างๆ กล่อมอย่างลำบากว่า “ท่าน พวกเราที่มาครั้งนี้คือมาส่งสาร เปิดเผยมากไม่ดีนัก ที่จวนท่านกู้หลุนอ๋องนั้นต้องมีสายข่าวมากมาย หากพวกเราไปแล้วถูกพบเจอ ก็จะแย่เอาได้”
อวี่เหวินลู่หันศีรษะจ้องมองเขา “เจ้าไม่เชื่อความสามารถของข้าหรือ ข้าเพิ่งหัดเดินก็รู้จักปีนกำแพงแล้ว เพียงแค่จวนท่านอ๋องเท่านั้น ยังจะขวางข้าได้หรือ”
“ไม่ใช่บ่าวไม่เชื่อท่าน เพียงแต่บ่าวไม่เชื่อตัวเอง ท่านปีนกำแพงได้ บ่าวทำไม่ได้ ยามที่มานั้นท่าน… ท่านอ๋องกำชับแล้ว ให้บ่าวไม่ห่างตัวท่าน ท่านจะทิ้งบ่าวไม่ได้”
ตอนที่ 442 ซื่อจื่อที่กลับบ้านตัวเองยังต้องปีนกำแพง
อวี่เหวินลู่มีความผูกพันกับจวนซู่อ๋องนี้มาก ผู้ชายล้วนเก็บซ่อนความรู้สึกอยู่ในใจไม่เผยออกมาง่ายๆ บางครั้งเขาก็อยากจะหาคนมาพูด เพียงแต่คำพูดถึงปากก็พูดไม่ออกอีก หลายปีแล้ว ตอนที่ไปนั้นเขาก็ไม่ค่อยยอมแล้ว ตอนนี้กลับมา ไม่สนว่าจะเป็นบ้านใคร นั่นล้วนเป็นบ้านของเขา!
ไหลลู่ห้ามเขาไม่อยู่ พูดกล่อมอยู่ตลอดทาง ม้าหยุดแล้ว พวกเขาก็อยู่ที่หน้าจวนท่านอ๋องแล้ว
“ท่าน… ท่านเข้าไปแล้วจะให้บ่าวทำอย่างไร ท่านจะทิ้งบ่าวไม่ได้นะ”
อวี่เหวินลู่สนใจเขาเสียที่ใด เขาสะบัดมือปัดเขาออก ตั้งท่าแล้วกำลังจะปีนกำแพง ไหลลู่ตาไว เข้าไปกอดที่ขาของเขาไว้ “ท่าน ท่านจะทิ้งบ่าวไม่ได้ บ่าวไม่ติดตามท่าน บ่าวจะตาย ท่านทิ้งบ่าวไม่ได้ ท่านจะเข้าไป บ่าวก็จะเข้าไปด้วย!”
เจ้าคนใช้นี้ ปกติก็ไม่เคยเห็นภักดีเช่นนี้ วันนี้พูดแล้วพูดเล่า เขากลับสงสัยแล้วว่าตัวเองพายายมาด้วย อวี่เหวินลู่กลัวเขาตะโกนจนทำให้คนมามุงดู จึงอุดปากเขาไว้ ตะโกนเสียงต่ำว่า “หุบปาก ขืนร้องอีกข้าจะตัดลิ้นเจ้า พูดอยู่ได้น่ารำคาญ!”
ไหลลู่ทำตาน้อยใจ ร้องเสียงต่ำๆ แล้วกะพริบตา แสดงว่าตัวเองจะหุบปาก ให้เขาเอามือออก
อวี่เหวินลู่ชี้ไปที่เขาแล้วเตือน “ขืนส่งเสียงอีก ข้าจะฆ่าเจ้าเสียตอนนี้” จากนั้นก็ปล่อมมือออก หิ้วที่คอเสื้อของเขาแล้วโยนเขาขึ้นไป ไหลลู่ไม่ทันระวัง ก็เกาะอยู่ที่กำแพงทันที จะขึ้นก็ไม่ได้ ลงก็ไม่ได้ ขาถีบอยู่บนกำแพงแทบจะร้องออกมา “ท่าน ท่านรีบมาช่วยบ่าว บ่าวจะตกลงไปแล้ว ท่านรีบมาช่วยบ่าว”
“หุบปาก!” อวี่เหวินลู่มองดูรอบๆ ด้วยความระมัดระวัง ดุเขาว่า “โยนเจ้าขึ้นไปแล้ว ตัวเองก็ค่อยๆ ปีนขึ้นไป ปีนไม่ขึ้นก็ไสหัวไป อย่าตามข้ามา”
ตัวเขาเองนั้นมีวิชา ร่างกายเหมือนดั่งติดปีกเช่นนั้น สองขาเขย่ง ก็ยืนอยู่บนกำแพงอย่างง่ายดาย “ข้าเข้าไปแล้ว เจ้า… ก็ช่วยเหลือตัวเองเสียเถิด!”
อวี่เหวินลู่พูดจาเยาะเย้ยจบ ก็กระโดดลงไปในความมืด ไหลลู่เกาะอยู่บนกำแพง เห็นว่าเขากระโดดเข้าไปหายลับตาไป ในใจร้อนรนขึ้นมา ก็ออกแรงถีบขึ้นไปข้างบน พอถีบไปแล้ว ก็ออกแรงมากไป มือหยุดไม่ทัน คนเหมือนดั่งปลาที่กระโดดโผล่เหนือน้ำ พุ่งเข้าไปอยู่ในสวน
เขานวดสะโพกที่เจ็บอยู่แล้วลุกขึ้นมา จวนท่านอ๋องจะว่าใหญ่ก็ไม่ใหญ่ จะว่าเล็กก็ไม่เล็ก โชคยังดีที่เขาโตที่นี่ตั้งแต่เด็ก ไม่เช่นนั้น พอได้เข้ามาแล้วคงต้องงมหาอยู่นาน
จะหาอวี่เหวินลู่ไม่ยาก ไหลลู่โตมาด้วยกันกับเขา รู้ว่าเขามีความผูกพันกับที่ใดมากที่สุด เพียงแค่ไม่รู้ว่าจะก่อเรื่องหรือไม่ เพราะอย่างไรเสียก็ไม่ใช่บ้านของตัวเองแล้ว ข้างในมีการเปลี่ยนแปลงใดก็ไม่อาจรู้ได้
แม่ของอวี่เหวินลู่ด่วนจากไป ที่เขาใช้ชีวิตอยู่ในเมืองหลวงหลายปีนั้นล้วนเป็นพี่สาวของเขาที่เลี้ยงดู คนภายนอกรู้เพียงจวนซู่อ๋องมีซื่อจื่อคนหนึ่ง กลับยังไม่รู้ว่ามีท่านหญิงอยู่ ท่านหญิงคนนี้มีนามว่าชางผิง เกิดมาก็พิการ เป็นคนขาเบี้ยว ผู้หญิงรักสวยเป็นธรรมชาติ ใครไม่อยากให้ตัวเองเกิดมาครบสมบูรณ์ เพียงแต่นางเป็นตั้งแต่เกิด เกิดมาเช่นนี้จนตอนหลังได้หาหมออยู่ไม่น้อยก็รักษาไม่ได้
ตอนยังเด็กยังไม่รู้สึกว่ามีผลมากมายเท่าใดนัก เพียงแต่พอโตขึ้นมา คนในบ้านตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไร ตัวนางเองกลับข้ามกำแพงในใจนั้นไม่ได้ เริ่มจากไม่ยอมออกจากบ้าน จนตอนหลังแม้แต่เดินก็ไม่ยอม คนก็ค่อยๆ ซุกผอม สุดท้ายแล้วอายุที่ควรจะเป็นดั่งดอกไม้ผลิบาน นางกลับแห้งเ**่ยวเร็วกว่าคนอื่น
ในบ้านหลังนี้ที่อวี่เหวินลู่ปล่อยวางไม่ลงนั้น ก็มีเพียงพี่สาวของเขาเท่านั้น