ตอนที่ 443 โจรปล้นสวาท / ตอนที่ 444 ข้าจะพักแล้ว เจ้าจะไปเมื่อใด

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 443 โจรปล้นสวาท

 

 

เวลายามนี้ เฉินยางได้หลับไปแล้ว ซั่งเหมยซั่งเซียง คนหนึ่งครึ่งคืนแรก อีกคนครึ่งคืนหลังผลัดกันเฝ้าอยู่ข้างนอก นอกประตูมีเสียงซ่าๆ เฉินยางมีเรื่องอยู่ในใจ เพียงความเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็ลืมตาขึ้นมา นางชันศอกพยุงตัวขึ้น เปิดม่านออก เห็นข้างนอกมีเงาคนแล่นผ่าน

 

 

จะดูผิดก็ไม่ใช่ นางขยี้ตา แล้วลุกขึ้นนั่ง เงานั้นแล่นผ่านไปอย่างรวดเร็ว รอให้นางตั้งใจมองอีกครั้ง ก็ไม่เห็นอะไรเลย

 

 

กลางคืนดึกๆ เช่นนี้หรือจะเห็นผีเสียแล้ว?

 

 

“ซั่งเหมย…” นางหิวน้ำ ในห้องไม่มีไฟ ตัวเองเดินไปก็กลัวจะหกล้ม จึงได้แต่เรียกซั่งเหมย

 

 

ซั่งเหมยนั่งอยู่ที่เก้าอี้ข้างนอกนอนพิงขอบหน้าต่างที่แกะสลักอยู่ นางมิได้หลับลึก พอได้ยินเสียงเรียก นางก็รีบลืมตาแล้วเข้าไปจุดไฟ ประคองเฉินยางขึ้น “นายหญิง ไฉนท่านถึงตื่นขึ้นมาแล้ว คือจะไปปลดทุกข์หรือ”

 

 

เฉินยางส่ายหน้า “ช่วยข้ารินน้ำเสียหน่อย ข้าหิวน้ำ”

 

 

ในห้องมีเตาเล็กๆ บนนั้นมีกาน้ำวางอยู่ ซั่งเหมยเอามือแตะกา ยังอุ่นอยู่ นางจึงรินไปแก้วหนึ่ง เห็นนางดื่มลงไปแล้ว ก็อุ้มขานางวางไว้ในผ้าห่ม “กลางคืนหนาว ท่านนอนระวังเสียหน่อย ไม่ต้องลุกขึ้นมาแล้ว บ่าวก็ไม่ออกไปแล้ว เฝ้าท่านอยู่ข้างเตียงนี้เลย”

 

 

เฉินยางเม้มปากยิ้ม “ดูข้านี่สิ หยิ่งมากขึ้นทุกทีแล้ว” แล้วนางก็ถามอีกว่า “เจ้าหนาวหรือไม่ ไปหยิบผ้าห่มมาคลุมเสียเถิด พรุ่งนี้ให้ผู้ดูแลเฉาประกอบเตียงให้เจ้าไว้ในห้อง เจ้ากับซั่งเซียงผลัดกันนอน”

 

 

ซั่งเหมยบอกไม่หนาวแล้วยิ้มพูดว่า “นายหญิงรักบ่าว บ่าวล้วนจำไว้อยู่ในใจ เช่นนั้นบ่าวก็ไม่เกรงใจแล้ว พรุ่งนี้ก็ให้ผู้ดูแลเฉาประกอบเตียงนอนเป็นเพื่อนท่าน”

 

 

ขณะกำลังพูดอยู่ ข้างหลังก็เกิดเสียงดัง ‘โครม’ เหมือนเสียงเปิดประตู นายบ่าวในห้องทั้งสองต่างตกใจ ซั่งเหมยทำใจแข็งออกไปตรวจดู ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวออกจากห้องด้านในก็เห็นที่ประตูเชื่อมห้องด้านนอกและด้านในมีคนหนึ่งยืนอยู่ เป็นผู้ชายตัวสูงใหญ่ ยืนนิ่งไม่ไหวติง เพียงแค่มองดูก็ทำเอาหวาดผวาแล้ว

 

 

นางยกเชิงเทียนยื่นแขนส่องไปข้างหน้า “ใคร บังอาจ! นี่เป็นห้องของพระชายา ใครบังอาจบุกเข้ามา”

 

 

ในใจเฉินยางตกใจ ในห้องมีคน? นางเปิดผ้าห่มลงจากเตียง มองข้างนอกไปตามสายตาซั่งเหมย ก็เป็นคนไม่ใช่หรือ ดำมืดสนิทเห็นหน้าไม่ชัด เพียงแต่ดูรูปร่างแล้วก็รู้ว่าไม่ใช่คนในบ้าน ที่อยู่ในบ้านล้วนเป็นขันที ขันทีไม่มีคนตัวสูงเช่นนี้ อีกอย่างก็ไม่บุกเข้าห้องของนางตอนกลางคืน หรือว่าจะเจอโจรปล้นสวาทเสียแล้ว

 

 

ซั่งเหมยกำลังจะตะโกน คำว่า ‘ช่วย’ ออกจากลำคอ แต่กลับถูกชายคนนั้นตะโกนกลับมาก่อนว่า “หุบปาก! เอะอะเสียงดังหนวกหูอยู่ได้!”

 

 

เสียงนี้ช่างคุ้นเคยนัก เฉินยางยื่นศีรษะมองออกไปข้างนอก ดูไปพลางถามไปพลางว่า “ตกลงเจ้าเป็นใคร ที่นี่เป็นจวนท่านอ๋อง เจ้ากล้าบุกเข้ามาได้อย่างไร หากเจ้าไม่ออกไปตอนนี้ ข้าจะร้องให้คนมาช่วย ถึงตอนนั้นแม้อยากออกจากจวนท่านอ๋องก็ไม่ง่ายเสียแล้ว”

 

 

ที่พูดเช่นนี้ แท้จริงแล้วก็เพื่อเพิ่มความกล้าให้กับตัวเอง ในเมื่อชายคนนี้สามารถเข้ามาอย่างเงียบๆ ไม่ทำให้คนใดๆ ในจวนแตกตื่นก็บุกเข้าห้องนางได้ก็คงเป็นคนที่มีวิชาพอตัว ตอนนี้เขาไม่ลงมือก็ยังดี แต่อีกเดี๋ยวหากเกิดจิตสังหารขึ้นมา นางและซั่งเหมยก็คงถูกเขาฆ่าไม่ใช่หรือ

 

 

ชายคนนั้นได้ยินเช่นนี้ก็ร้องหึเบาๆ จากนั้นก็เดินออกจากที่มืด เปิดม่านลูกปัด ใบหน้าถูกเชิงเทียนของซั่งเหมยส่องจนสว่าง เริ่มชัดเจนขึ้นมา คราวนี้เห็นชัดแล้ว ที่แท้ก็เคยเจอกันมาครั้งหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 444 ข้าจะพักแล้ว เจ้าจะไปเมื่อใด

 

 

“ผู้หญิงช่างวุ่นวายนัก เอะอะก็จะตาย” เขามองดูรอบๆ ห้อง ขมวดคิ้วหึเบาๆ “ถือว่าเจ้ายังมีแววตา ห้องไม่ได้เปลี่ยนไป ข้าพอใจยิ่งนัก”

 

 

กลางคืนดึกๆ จู่ๆ ก็มีปีศาจสุนัขจิ้งจอกโผล่ออกมา แล้วยังมองดูทั้งในและนอกห้องอย่างไม่เกรงใจ เฉินยางดูท่าทางของเขานั้นราวกับสุนัข ทุกซอกทุกมุมล้วนไม่ปล่อย เหมือนดั่งห้องนี้มีความผูกพันกับเขาเช่นนั้น

 

 

“ใช้ได้ ในเมื่อห้องไม่ได้เปลี่ยนไป เช่นนั้นข้าก็จะพักอยู่ที่นี่” เขาเหลือบมองเฉินยาง “เจ้าก็อย่ายืนอยู่ที่นี่เลย ไปหาห้องนอนเอาเองเถิด ข้าเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว ง่วงมานาน รีบออกไป ข้าจะนอน”

 

 

เจ้าปีศาจสุนัขจิ้งจอกนี้ก็คืออวี่เหวินลู่ไม่ใช่หรือ ไม่รู้สึกตัวถึงสถานะของตัวเองเลย กลางคืนดึกๆ เตะประตูเข้าห้องนอนคนอื่น ก็เพื่อจะแย่งห้องนอนกับคนท้อง แถมยังพูดจาหน้าด้าน ไม่มีความละอายแม้แต่น้อย

 

 

ซั่งเหมยกำลังจะขึ้นไปเถียง แต่เฉินยางดึงนางไว้ก่อนกวาดตามองอวี่เหวินลู่แล้วถามเขา “ท่านซื่อจื่อรู้หรือไม่ว่าที่นี่ที่ใด”

 

 

อวี่เหวินลู่ตอบ “เมืองหลวง จวนท่านอ๋อง วันเวลาที่ข้าอยู่ที่นี่นานกว่าเจ้าเสียอีก ไม่ต้องให้เจ้ามาถาม”

 

 

เขาไม่ได้เกรงใจเลย เขาอ้อมไปที่ข้างเตียง แล้วนั่งลงไป ทำตัวดั่งเจ้าของห้องถามนางว่า “ข้าจะพักแล้ว เจ้าไปเมื่อใด”

 

 

เฉินยางถอนหายใจยาวๆ สองครั้ง แสร้งทำเป็นสงบแล้วกำชับซั่งเหมย “เจ้าไปเรียกผู้ดูแลเฉามา บอกว่าที่นี่มีโจรปล้นสวาท ไม่แน่อาจจะเป็นคนที่ฮ่องเต้อยากได้ตัวนัก ให้พระองค์ส่งคนมาจับเขาไป”

 

 

เขาเข้าเมืองหลวง ต้องแอบฮ่องเต้แน่นอน ไม่แอบย่องมาระวังการกระทำ ถึงกับยังบุกเข้ามายึดห้องของนางเปิดเผยเช่นนี้! ครั้งก่อนผูกใจเจ็บกับเขาที่สุยหนิง ครั้งนี้ไม่ว่ามองเขาอย่างไรก็ไม่ถูกชะตา ในเมื่อเขาไม่กลัวตายเช่นนี้ เช่นนั้นแล้วก็อย่าโทษนางใจเ**้ยม

 

 

“ไปเถิด เรียกฮ่องเต้มาได้จะดีที่สุด จะจบสิ้นก็จบสิ้นด้วยกัน” เขานอนลงบนเตียงอย่างสบายใจ แล้วใช้ศอกพยุ่งศีรษะ สายตามองบนตัวนาง ไม่ได้เจอกันไม่นาน ท้องโตขึ้นไปรอบหนึ่ง หรือว่าในท้องจะเป็นแฝด

 

 

“เจ้าหมายความเช่นไร อะไรจบสิ้นพวกเราก็จบสิ้นไปด้วยกัน” เฉินยางยื่นท้องเดินเข้าไป “ตกลงเจ้ามาทำอะไร หากคิดจะฉวยโอกาสที่ท่านพี่ไม่อยู่รังแกข้าไม่มีที่พึ่งพิง เจ้าก็คิดผิดเสียแล้ว ข้าไม่ใช่คนที่ถูกรังแกได้ง่ายนัก บีบข้าจนเดือดขึ้นมา เจ้าอย่าหวังจะได้ดี”

 

 

ในห้องทั้งในทั้งนอกเต็มไปด้วยกลิ่นนม แม้จะจุดธูปแล้ว เพียงแต่กลิ่นนั้นก็ไม่ได้จางลงเลย อวี่เหวินลู่ขมวดคิ้วนั่งขึ้นมา พูดอย่างมั่นใจว่า “เพียงแค่เจ้า จะมีเล่ห์กลอะไรได้อีก” สุดท้ายสายตาหยุดลงที่ท้องของนาง “ท้องโตเช่นนี้? หากเป็นลูกแฝดแบ่งข้าเสียคนหนึ่งได้หรือไม่”

 

 

เฉินยางเอามือป้องท้องแล้วเดินถอยหลังหลายก้าว “อยากได้ลูกไปทำเอาเอง หาทำลูกกับคนอื่น ข้าว่าเมื่อครู่เจ้าเข้ามานั้นถูกประตูหนีบศีรษะจนเพี้ยนเสียแล้วกระมัง ซั่งเหมย… รีบไปเรียกผู้ดูแลเฉา!”

 

 

ซั่งเหมยได้รับคำสั่ง เพียงแต่ก็ไม่ยอมขยับเสียที “นายหญิง ข้าไปแล้วท่านจะทำอย่างไร หากเขา… หากเขากล้าลงมือกับท่าน บ่าวต่อให้มีสิบชีวิตก็ไม่พอให้ท่านอ๋องประหารเลยนะ!”

 

 

อวี่เหวินลู่หึเบาๆ “ที่ข้ามาครั้งนี้ก็เพื่อมาส่งของให้สามีเจ้า ของดีที่ทำให้ศีรษะหลุดจากบ่าได้ หากทำเอาคนอื่นแตกตื่น แล้วข่าวหลุดไปถึงพระกรรณฮ่องเต้ คนที่จะศีรษะหลุดจากบ่าจะไม่ใช่เพียงแค่ข้าคนเดียว สามีเจ้า เจ้า ยังมีลูกที่อยู่ในท้องของเจ้า ล้วนไม่รอดแม้แต่คนเดียว”