แดนนิรมิตเทพ บทที่ 745
ไฟบนเวทีก็หรี่ลงอย่างกะทันหัน ทำให้ทุกคนรู้สึกตื่นเต้นทันที

พรึบ!

ไฟหลากสีที่อยู่ทางด้านซ้ายและด้านขวาของเวทีจะสว่างทันที ตามด้วยควันสีขาว ทำให้เวทีดูเหมือนแดนสวรรค์

ทุกคนแทบกลั้นหายใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย เพียงแค่ฉากเปิดการแสดง ก็ทำให้คนรู้สึกว่ารายการต่อไปไม่ธรรมดาแน่นอน

เสียงเพลงที่ไพเราะดังขึ้นมาอย่างช้า ๆ เป็นดนตรีคลาสสิก เศร้าแต่ไม่มากเกินไป ทำให้คนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจเล็กน้อย

เมื่อได้บรรยากาศแล้ว ดนตรีก็เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน กลายเป็นดนตรีคลาสสิกที่เยือกเย็น

ผู้หญิงสวมชุดยาวสีขาวราวกับนางฟ้าที่เดินออกมาจากภาพวาด ถือดาบยาวและปรากฏตัวอยู่ใต้แสงไฟ

ดนตรีเปลี่ยนแปลงอีก มีความเศร้าเล็กน้อย เหมือนแม่ทัพหญิงที่ถูกศัตรูโอบล้อมทุกด้าน แต่เธอก็ไม่ท้อถอย ต่อสู้จนถึงนาทีสุดท้าย

นี่คือการรำที่ดัดแปลงมาจากเพลงประกอบละครเจ้าชายหลานหลิงในสมรภูมิ มันมีความฮึกเหิมของการต่อสู้ที่อยู่ในสนามรบตามเพลงต้นฉบับ แล้วยังมีความงดงามของหญิงสาวที่อยู่ในยุทธภพ

ผู้หญิงสวมชุดขาว บางครั้งเต็มไปด้วยกล้าหาญ บางครั้งเต็มไปด้วยอ่อนโยน ทำให้คนรู้สึกสงสาร และทำให้คนถอนหายใจด้วยความเศร้า

และทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มตลอดการแสดง จนทุกคนมองด้วยความอึ้ง ลืมแม้กระทั่งปรบมือเสียด้วยซ้ำ

เมื่อเพลงจบลง ทุกคนต่างเงียบ ถึงได้ยินเสียงเข็มตก

จนกระทั่งหญิงสาวที่สวยเหมือนนางฟ้าโค้งคำนับทุกคนเล็กน้อย ทุกคนถึงได้สติกลับคืนมา

“สวยมาก!”

“เยี่ยมมาก! นี่คือการรำดีที่สุดที่ผมเคยเห็น!”

“สวย สวยจนผมอยากจะร้องไห้!”

นักศึกษาต่างคนต่างพูด ทุกคนยืนขึ้นและส่งเสียงเชียร์ ตะโกนเพื่อแสดงความตื่นเต้นที่อยู่ภายในใจของตนเองออกมา

เฉินโม่รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ตั้งแต่ตอนที่เขาเห็นหญิงสาวคนนั้นยืนอยู่บนเวที เฉินโม่ก็รู้ว่าจะต้องเกิดความโกลาหลแน่นอน

เช่นเดียวกับงานฉลองโรงเรียนตี้ยีแห่งอู่โจว เกรงว่าการรำนี้จะถูกบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยหัวหนานอีกครั้ง

ตอนนี้เฉินโม่เข้าใจเหตุผลที่จัดงานเลี้ยงต้อนรับนี้แล้ว

เพราะคุณหนูตระกูลมู่หรงแห่งเจียงหนาน สามารถทำให้มหาวิทยาลัยจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้

“โอ้ สวรรค์! ไม่นึกเลยว่าจะมีการรำที่สวยงามเช่นนี้อยู่ในโลกใบนี้!” สีหน้าของจี๋ต๋าจิ่วตูเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม และมีน้ำลายไหลออกจากมุมปาก ไม่รู้ว่าเขารู้สึกว่าการรำสวยหรือว่าคนสวย!

ห่าวเจี้ยนขยับแว่นตากรอบดำ และขยี้ตาไม่หยุด ไม่รู้ว่าเขาซาบซึ้งจนร้องไห้หรือลืมตานานเกินไป จนทำให้เขารู้สึกระคายเคืองตา

เหวินถิงอี้ท่องบทกวีว่า “เหมือนเมฆที่ปกคลุมดวงจันทร์ และลอยเหมือนเกล็ดหิมะที่ปลิวไปตามลม……”

ขณะที่เหวินถิงอี้ท่องไปครึ่งประโยค เขาก็หยุดทันที บางทีเขาอาจรู้สึกว่าบทกวีลั่วเสินฝู่ของเฉาจื่อเจี่ยน ไม่เพียงพอที่จะบรรยายความงามของมู่หรงยานเอ๋อร์ได้อีกต่อไปแล้ว

กู่หลินเฟิงและเจี่ยจวินซื่อตกตะลึงเช่นกัน พวกเขามองมู่หรงยานเอ๋อร์ที่อยู่บนเวที ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

“เธอเป็นน้องปีหนึ่งจริง ๆ เหรอ? เธออยู่ห้องไหน? ไม่ได้ ฉันต้องการย้ายห้อง พวกนายอย่ามาขวางฉัน!” จี๋ต๋าจิ่วตูดึงแขนเสื้อขึ้นมาด้วยสีหน้าตื่นเต้น

“ไอ้อ้วน เทพธิดาเล่หรูหั่วของห้องพวกเราก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเธอ เพียงแต่เธอไม่ได้ขึ้นไปแสดงบนเวทีเท่านั้น” ห่าวเจี้ยนเตือนเบา ๆ

จี๋ต๋าจิ่วตูเหลือบมองเล่หรูหั่วซึ่งอยู่ไม่ไกลและกล่าวด้วยความอิจฉาว่า “เทพธิดาเล่หรูหั่วถูกไอ้เบื๊อกเฉินจับจองแล้ว ในฐานะเพื่อน ฉันทำได้เพียงอดทนต่อความเจ็บปวด และไม่แย่งชิงกับเขา!”

ห่าวเจี้ยนกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ความจริงแล้วนายสามารถยิงชิงได้ ฉันสนับสนุนนาย!”