‘โชคดีที่ฉันปิดหน้าของเขาเอาไว้ น้ำเสียงของเขาฟังดูเหมือนกับว่าการแต่งงานของน้องสาวเป็นเรื่องร้ายแรงเลย’
เฉินเฉินรู้สึกค่อนข้างสิ้นหวังข้างในใจแต่ก็ต้องทำหน้าให้ดูประหลาดใจ
“แน่นอนว่าไม่ได้อยู่แล้ว!”
ก่อนที่เฉินเฉินจะได้ปฏิเสธ เสียงปฏิเสธนึงก็ดังก้องไปทั่วห้องรับแขก ทุกคนมองไปยังต้นเสียง ด้วยความประหลาดใจกับสิ่งที่พวกเขาเห็น
ส่วนคนพูดนั้นก็คือลูกพี่ลูกน้องของจางจี อู๋เหว่ย
เฉินเฉินขมวดคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไร แล้วเย้ยหยันอยู่ในใจ อู๋เหว่ยคนนี้ค่อนข้างอ่อนประสบการณ์นะ โดนกระตุ้นแค่นิดหน่อยก็เผยแผนการหลักของตัวเองออกมาแล้ว แถมยังพูดก่อนเขาด้วย
อู๋เหว่ยตระหนักได้ว่าคำพูดของเขามันดูไม่ดี แล้วปรับแต่งพวกมันใหม่ “ข้าหมายถึง การแต่งงานเป็นเรื่องสำคัญและควรจะจัดการด้วยการปรึกษาพูดคุยที่มากกว่านี้ มันไม่ควรตัดสินใจง่ายๆแบบนั้นนะครับ”
ในขณะที่เขากลบเกลื่อนได้อย่างดี เฉินเฉินก็มองเห็นร่องรอยของความเกลียดชังฝังลึกอยู่ในดวงตาของเขา
“เสี่ยวหยาเจ้าคิดว่ายังไง?”
ด้วยความที่จางเต๋อคิดว่าเรื่องนี้มันดูเห็นแก่ตัวไปหน่อย เขาจึงยังไม่ได้ทำการตัดสินใจ แล้วมองลูกสาวที่กำลังเขินอายของเขาแทน
จางเสี่ยวหยาก้มหน้าลง และชำเลืองมองเฉินเฉิน เธอยังคงเงียบอยู่สักพัก และในที่สุดเธอก็พูดออกมาด้วยความดังระดับเสียงยุง “ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านพ่อกับท่านแม่ก็แล้วกันค่ะ…”
การเป็นเด็กผู้หญิงในโลกนี้ เธอถูกปลูกฝังแนวคิดมาว่าเรื่องใหญ่ๆอย่างการแต่งงานนั้นควรตัดสินโดยได้รับคำแนะนำจากพ่อแม่
บวกกับความจริงที่ว่าเฉินเฉินถึงจะสวมเสื้อผ้าโทรมๆ แต่ก็มีเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์ซึ่งทำให้เขาแตกต่างจากพ่อและพวกพี่ชายที่ค่อนข้างหยาบกร้านกว่าและเชี่ยวชาญในการต่อสู้ ถ้าการแต่งงานเกิดขึ้นจริงๆ…เธอก็ไม่มีปัญหากับมัน
“เอ่อ ว่าไงนะ?”
ในขณะที่มองใบหน้าเขินอายของจางเสี่ยวหยา เฉินเฉินก็รู้สึกประหลาดใจมากและอดถามคำถามกับระบบไม่ได้
“ระบบ ใครเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์มากที่สุดในรัศมี 15 เมตร?”
“ท่านเจ้าของค่ะ”
เฉินเฉินจัดผมของตัวเองโดยไม่รู้ตัวในตอนที่ได้ฟังคำตอบ
ก็นะ ถ้าไม่คำนึงถึงเสื้อผ้าและอำนาจ เสน่ห์ของเขาก็โดดเด่นเหมือนกับหิงห้อยในความมืดที่อยู่ในตระกูลจาง
มันเป็นเรื่องปกติที่เด็กสาวธรรมดาจะทนเสน่ห์ของเขาไม่ได้
“แล้วคนที่มีเสน่ห์น้อยที่สุดในรัศมี 15 เมตรหล่ะ?” เฉินเฉินมองผู้ชายสามคนจากตระกูลจาง แล้วถามด้วยความเสียดสีระดับนึง
“ชายคนที่อยู่ข้างหลังกำแพง สามเมตรข้างหลังท่านค่ะ”
เฉินเฉินอึ้งกับคำตอบเล็กน้อย จากสัมผัสของเขา เขาไม่รู้สึกตัวเลยว่ามีคนอยู่หลังกำแพงด้วย
นี่อาจจะเป็นความบังเอิญที่มากเกินไปก็ได้
“ระบบ มีคนอยู่กี่คนในรัศมี 15 เมตร?”
“สิบห้าคนค่ะ ตำแหน่งคือ…”
ในตอนที่ระบบพูดจบ สีหน้าของเฉินเฉินก็แข็งทื่อ ความคิดขบขันของเขาหลุดหายไปหมดแล้ว
ข้างในห้องรับแขก มีคนจากตระกูลจางอยู่ห้าคน บวกกับคนรับใช้หนึ่งคน ซึ่งถ้านับเขาด้วยรวมทั้งหมดก็ 7 คน
ส่วนอีกแปดคนกำลังซุ่มอยู่ใกล้ๆห้องรับแขก และนี่ยังไม่พูดถึงความจริงที่ว่าเขาไม่รู้สึกถึงร่องรอยของพวกเขาด้วย
ต่อให้เขาถูกบอกว่านี่ไม่ใช่การลอบโจมตี เขาก็คงไม่เชื่อหรอก
ใครจะไปปกป้องตระกูลในลักษณะนี้ได้หล่ะ?
เขาถามระบบต่อว่ามีคนจากตระกูลจางอยู่แถวนี้กี่คน และระบบก็บอกว่าไม่นับรวมอีกแปดคนและอู๋เหว่ย
เฉินเฉินถอนหายใจอยู่ข้างในเมื่อได้ฟังคำตอบ
เห็นได้ชัดเลยว่าแปดคนที่ว่านี้อู๋เหว่ยเป็นคนจัดมาทั้งหมด
เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ต้องซับซ้อนเหมือนที่น่าจะเป็นแล้ว
เขารวบรวมพลังปราณอย่างเงียบๆเพื่อตรวจสอบชาที่เขาพึ่งดื่มไป และก็ไม่น่าประหลาดใจเลย เฉินเฉินสัมผัสได้ว่ามียาอยู่ข้างในน้ำชา
อย่างไรก็ตาม นี่มันไม่มีประโยชน์กับร่างเซียนอย่างเขา เขาสามารถชำระล้างพวกมันด้วยพลังปราณได้อย่างสบายๆ
‘ถ้าเราไม่อยู่ด้วย ตระกูลจางก็ไม่น่าจะรอดนะ’
เขาไม่ได้ห่วงจางจีจนเกินไป คนๆนี้มันดวงดีที่สุดแล้ว—พูดอีกนัยนึงก็คือ เขาดวงดีมากจนไม่สามารถตายได้ต่อให้เขาอยากก็ตาม
…
“เสี่ยวหยา ลองพิจารณาดูให้ดีนะ มองดูเขาสิ เขาดูไม่มีอะไรเลยนอกจากหน้าตา การแต่งงานอาจจะทำให้เจ้าลำบากไปทั้งชีวิตก็ได้นะ!”
อู๋เหว่ยลุกขึ้นแล้วชี้ไปที่เฉินเฉิน คำพูดของเขานั้นไม่มีการไว้หน้ากันเลย
ณ จุดนี้เอง สีหน้าของเขาบึ้งตึงอย่างถึงที่สุด และหัวใจของเขาก็กำลังลุกไหม้ด้วยความอิจฉา
เขาเป็นคนที่ดูแลลูกพี่ลูกน้องของเขามาตั้งแต่ยังเด็ก แต่เขากลับพ่ายแพ้ให้เจ้าหนุ่มจนๆที่มาจากไหนก็ไม่รู้หรอ?
แค่เพราะความหล่อเหลาและเสน่ห์ของเขารึไง?
จางจีรู้สึกหงุดหงิดกับคำกล่าวหานี้ เขาลุกขึ้นแล้วพูดอย่างไม่พอใจ “พี่เฉินก็แค่ไม่สนใจเรื่องเงินเท่านั้นแหล่ะ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เขาคงจะกลายเป็นคนที่รวยที่สุดในที่นี้แล้ว!”
คำกล่าวของจางจีนั้นมาจากใจจริง หลังจากกำจัดตระกูลหวัง เฉินเฉินก็ไม่ได้แตะต้องทรัพย์สมบัติของพวกเขาด้วยซ้ำ แล้วรีบมาช่วยเขาแทน
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถเทียบเคียงกับศีลธรรมที่สูงส่งขนาดนี้ได้เลย
ดังนั้นพอได้ฟังความคิดเห็นของอู๋เหว่ยที่มีต่อเฉินเฉิน ความโกรธของเขาจึงปะทุขึ้นในทันที
เมื่อได้ฟังดังนี้ อู๋เหว่ยก็นั่งลง ใบหน้าที่ดูหนุ่มของเขาบูดบึ้ง
“รวยที่สุดหรอ? เหอะ! ข้าไม่ได้จะว่าเจ้านะ แต่เจ้ามันโดนหลอกง่ายเกินไปจริงๆ
“ถ้าเขาเป็นคนที่รวยที่สุดในที่นี้ได้อย่างง่ายดาย ทำไมเขาถึงสวมเสื้อผ้าโทรมๆแบบนั้นหล่ะ?
“ข้าจะบอกความจริงให้ฟังนะ ไม่มีคนสติดีที่ไหนในโลกนี้มาทรมานตัวเองหรอก ถ้าคนเราสามารถหาผ้าไหมดีๆมาสวมได้ ก็คงจะไม่สวมเสื้อกระสอบ หรือถ้าคนเราสามารถกินอาหารดีๆได้ ก็คงจะไม่กินขยะหรอก”
เฉินเฉินยกนิ้วให้กับคำพูดของเขาในขณะที่นั่งอยู่กับที่
สำหรับคนไม่ดีอย่างอู๋เหว่ย เขาได้มาถึงแก่นของปัญหานี้แล้ว
ถ้าเขามีเงินทำไมถึงสวมเสื้อผ้าแบบนี้หล่ะ? ผ้าไหมมันสบายกว่าไม่ใช่หรอ?
ซึ่งก็เกินความคาดหมาย จางจีมีแต่จะโกรธขึ้นเมื่อฟังคำพูดเหล่านี้ เขาชี้ไปที่เฉินเฉิน ความชื่นชมในสายตาของเขานั้นไม่อาจเทียบเคียงได้
“พี่เฉินหน่ะ! เขาต่างตรงไหนกัน? เจ้ารู้ไหมว่าพี่เขาเป็นคนที่ทุ่มเทขนาดไหน?”
คำกล่าวนี้ทั้งดังและเปี่ยมไปด้วยพลัง ทำให้แม้แต่เฉินเฉินเองยังรู้สึกเขิน
ก่อนที่เขาจะรู้ตัว จางจีก็ได้กลายเป็นแฟนคลับของเขาไปซะแล้ว
“เคยเห็นคนกระโดดจากหน้าผาลมทมิฬที่สูงเป็นพันเมตรไหม? เอาเถอะ อย่างเจ้าคงไม่รู้หรอก” จางจีพยายามจะพูดอีกแต่เขาก็กลับไปนั่งแทน
เขาตั้งใจจะถ่ายทอดเรื่องราวการฝึกตนของเฉินเฉินด้วยการกระโดดหน้าผา จากนั้นก็จะเล่าเรื่องราวของลูกนกอินทรีย์ แต่หลังจากคิดไปได้ซักพัก เขาก็เข้าใจว่าคำพูดของเขามันไม่เพียงพอที่จะบรรยายตัวตนและจริยธรรมที่สูงส่งของเฉินเฉิน ดังนั้นเขาจึงกลืนคำพูดกลับไป
“อู๋เหว่ย คำกล่าวของเจ้ามันก็เกินไปหน่อยนะ ข้าจางเสี่ยวหยาไม่ใช่คนประเภทที่สนใจแต่เรื่องเงิน”
จางเสี่ยวหยาที่เงียบมานานพูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน สำหรับเสียงเล็กๆของเธอนั้น ความไม่พอใจก็ได้เปิดเผยต่อสาธารณะ
หลังจากได้ฟังเช่นนี้ อู๋เหว่ยก็หัวเราะออกมาอย่างกระทันหัน และเสียงก็ยิ่งดังขึ้นทุกวินาทีที่ผ่านไป
“ฮ่าฮ่า! นี่เจ้าหมายความว่าข้า อู๋เหว่ยผู้นี้กลายเป็นคนร้ายไปแล้วหรอ!?”
คุณท่านและคุณนายจางขมวดคิ้วให้กับคำพูดบ้าๆที่ออกมาจากปากของอู๋เหว่ย
จางเต๋อหันไปหาคนใช้แล้วแจ้งกับเธอ “เสี่ยวหลาน พานายน้อยเหว่ยไปพักที่ห้องซักหน่อยเถอะ”
คนใช้รีบตอบสนองในทันที แต่ก่อนที่เธอจะได้เคลื่อนไหว อู๋เหว่ยก็ทุบโต๊ะแล้วหยิบแก้วชาตรงหน้าเขา
“ท่านลุง ข้ารักเสี่ยวหยา! ข้าขอถามท่าน ท่านจะยอมยกเสี่ยวหยาให้ข้าไหม?”
สีหน้าของทุกคนในห้องเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังคำพูดพวกนี้
จางเต๋อตะคอก “เจ้าลูกไม่รักดี ออกไปจากห้องเดี๋ยวนี้!”
แม้แต่จางเต๋อก็นึกไม่ถึงว่าอู๋เหว่ยจะคุกคามตระกูลจาง
คุณนายจางที่นั่งข้างๆถอนหายใจแล้วพูดออกมา “ลูกเหว่ย พวกเราทุกคนรู้ความคิดของเจ้าดี แต่เสี่ยวหยาเคยบอกพวกเรามานานแล้วว่าเธอไม่ได้รักเจ้า”
สีหน้าของอู๋เหว่ยซีดไปพักนึง จากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกรธในทันที
“ไม่รักข้าหรอ? เหอะ ข้ารู้ว่าพวกตระกูลจางไม่เคยสนใจข้าอยู่แล้ว!
“ในสายตาของพวกเจ้า ข้าก็เป็นแค่หมาที่ตระกูลจางเลี้ยงเอาไว้!”
“เจ้าลูกสามหาว! ตลอดหลายปีมานี้ข้าเลี้ยงดูเจ้าแตกต่างจากลูกจีตรงไหน? ข้าตั้งใจจะยกตระกูลให้เจ้าดูแลหลังจากที่ลูกจีเข้าสู่หนทางแห่งการฝึกตนแล้วด้วยซ้ำ ดูเหมือนว่าข้าควรจะส่งเจ้าไปรบเพื่อสั่งสมประสบการณ์แทนสินะ!” จางเต๋อตะคอก เขาพยายามลุกขึ้นยืน แต่ด้วยเหตุผลบางประการร่างกายของเขานั้นอ่อนยวบ และบังคับให้เขากลับไปนั่งลง
อู๋เหว่ยเย้ยหยันคำพูดของเขา มือของเขาจับแก้วเอาไว้แน่น
“เจ้าก็แค่เสแสร้งเท่านั้นแหล่ะ ข้าจะแสดงให้ดูเองว่าการไม่ใส่ใจข้านั้นผลที่ตามมาจะเป็นยังไง! แล้วก็ ยัยผู้หญิงชั้นต่ำ! รอไปก่อนเถอะแล้วจะได้เห็นว่าข้าจะทำอะไรกับเจ้า!”
หลังจากนั้น อู๋เหว่ยก็โยนแก้วไปที่ตรงหน้าจางเสี่ยวหยาอย่างรุนแรง
“เพล๊ง!”
ด้วยเสียงแก้วแตก ความวุ่นวายก็เกิดขึ้นรอบห้องรับแขกอย่างกระทันหัน