บทที่ 452
หลังจากนั้นหลินจื่อเฟิงก็ชี้แจงความแตกต่างของสถานะ เจ้าสำนัก เจ้าสำนัก(พรรค) เจ้าอาจารย์และเทพศักดิ์สิทธิ์ ให้เขาฟัง

เมื่อฟังจบ ทันใดนั้นหลัวซิวก็ตระหนักได้ว่า ตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจว่าทำไมหลายคนถึงมองมาที่ตนด้วยสายตาแปลก ๆ

ที่กล่าวกันว่า ต้นไม้ใหญ่มักต้านลมนั้น ถ้าหากมีคนรู้สึกว่าไม่ถูกใจ ไม่พอใจตนขึ้นมา ก็มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดปัญหาโดยไม่จำเป็น

“ขอบใจเฮียหลินที่ชี้แนะ” หลัวซิวเอ่ยขอบคุณ สำหรับเรื่องหลักเกณฑ์พวกนี้ เขาไม่มีความรู้เลยจริง

“ศิษย์พี่หลัวไม่ต้องเกรงใจไป เราทั้งสองแค่พบเจอก็รู้สนิทสนม เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดต้องใส่ใจด้วยเล่า?” หลินจื่อเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม “ไม่รู้ว่าศิษย์พี่หลัวมาร่วมงานงานประมูลยาไม้เสวียน เพื่อหายา หรือหาวัตถุดิบสมบัติ?”

“ข้าต้องการดินเหลืองเสวียน” หลัวซิวตอบไปโดยตรง เรื่องพวกนี้ ไม่ได้มีอะไรจำเป็นต้องปิดบังอยู่แล้ว

อีกอย่างเขาพบว่า หลินจื่อเฟิงคนนี้ดูเหมือนจะรู้เรื่องอะไรมากมาย บางทีเขาอาจจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับดินเหลืองเสวียนได้บ้าง

“ดินเหลืองเสวียน? เหมือนจะเป็นวัตถุดิบหนึ่ง ใช่เพื่อสร้างค่ายพิทักษ์เขาใช่หรือไม่?”

“ใช่แล้ว” หลัวซิวยิ้มบาง ๆ “เฮียหลินรู้หรือไม่ว่าจะหาดินเหลืองเสวียนได้จากที่ใด?”

ในความจริงดินเหลืองเสวียน นอกจากจะใช้เพื่อสร้างค่ายพิทักษ์เขาระดับ7แล้ว ยังสามารถใช้เพื่อหลอมอาวุธนักยุทธ์ขั้นดินกลางได้อีกด้วย นักยุทธ์ขั้นดินกลางที่มีส่วนผสมของดินเหลืองเสวียน จะยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ไม่หักหรือพังได้ง่าย ๆ

“เหย ๆ ศิษย์พี่หลัวถามถูกคนแล้วล่ะ ข้ารู้มาว่ามีคนหนึ่งที่มีดินเหลืองเสวียนในครอบครอง” หลินจื่อเฟิงพูดพร้อมรอยยิ้ม

“ใครหรือ?”

หลินจื่อเฟิงส่ายหน้า “คนคนนี้ข้าไม่รู้จักหรอก แต่ก่อนหน้านี้ไม่กี่วัน ได้ยินมาว่ามีคนพบเจอดินเหลืองเสวียนที่เทือกเขาเหิงหยุน แล้วเกิดการทะเลาะวิวาท สุดท้ายดินเหลืองเสวียนก็ตกอยู่ในมือของจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่ง ข้าคิดว่างานประมูลยาครั้งนี้ คนคนนี้ก็น่าจะมาด้วยเช่นกัน”

ได้เยินเช่นนั้น หลัวซิวก็พยักหน้าตอบรับ เนื่องจากปรากฏตัวในเทือกเขาเหิงหยุนใกล้ ๆ นี้ คนคนนั้นที่ได้ครอบครองดินเหลืองเสวียน คงจะไม่มีทางพลาดงานประมูลยาที่ร้อยปีจะมีสักครั้งหรอก เพียงแค่หวังว่าอีกฝ่ายจะไม่จำเป็นต้องใช้ดินเหลืองเสวียน หากนำมาขายที่งานประมูลยาก็จะดีที่สุด

ณ ครึ่งทางขึ้นภูเขา ในเวลานี้คึกคักเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้งานประมูลยายังไม่ได้เริ่มอย่างเป็นทางการ นักยุทธ์หลายคนที่มายังที่นี้ก่อนเวลาที่หนด ก็ได้เริ่มตั้งแผงลอยกันแล้ว แต่ในผู้ที่ออกมาตั้งแผงลอยในเวลาเช่นนี้ ต่างก็เป็นเพียงแค่นักยุทธ์ชั้นล่าง ๆ เท่านั้น จึงไม่ได้มีสมบัติอะไรที่น่าสนใจ

ทันใดนั้น หลัวซิวก็เกิดลางสังหรณ์บางอย่างในใจ หันหลังกลับไปมองทางบันไดของสำนักเขาแห่งสำนักเสวียนหยาง ก็เจอกับกลุ่มคนจากสำนักไป๋ซิงกู่ซึ่งมาที่สำนักไม้เสวียนพอดี

คนพวกนี้ออกนอกประเทศเทียนหวูเป็นครั้งแรก ต่างก็ตื่นตาตื่นใจกับทุกอย่างที่อยู่นอกแดน น่าจะได้ยินมาว่าที่สำนักไม้เสวียนได้จัดงานประมูลยาที่ร้อยปีจะจัดสักครั้งจึงได้มาที่นี่เพื่อเปิดหูเปิดตา

เพียงแต่ความงดงามของเหยียนซีโรว่ เรียกได้ว่านารีเป็นเหตุจริง ๆ แม้ว่าจะเรียนรู้ที่จะใช้ผ้าบางบังหน้าไว้ชั้นหนึ่งแล้ว แต่ความงดงามราวกับนางฟ้านางสวรรค์ที่ทำให้ผู้คนตาลุกวาวนั้น ไม่ว่าจะเดินไปทางไหน ต่างก็มักจะดึงดูดความสนใจจากผู้คนนับไม่ถ้วนได้อย่างง่ายดาย

หลัวซิวขมวดคิ้ว แอบพูดกับไป๋หุ้ยเหลียนว่าหญิงแก่คนนั้นสมองมีปัญหาหรือไร? ในงานประมูลยา มีทั้งคนดีและคนเลวปะปนกันเต็มไปหมด พาเหยียนซีโรว่มาที่แบบนี้มันเกิดปัญหาได้อย่างง่ายดาย

“แม่หญิงนางนี้ช่างคุ้นหน้าเสียจริง เป็นศิษย์ของสำนักตระกูลในเทือกเขาเหิงหยุนใดหรือ?”

น้ำเสียงขี้เล่นนั้นถูกส่งมาจากใครคนหนึ่ง หลัวซิวก็สามารถสังเกตได้ในทันที ชายคนหนึ่งสวมชุดสีขาว ใบหน้างดงามตามบรรทัดฐานของผู้ชาย เป็นชายหนุ่มที่ดูอ่อนน้อมถ่อมตน ในมือสะบัดพัดเบา ๆ บนร่างกายปรากฏผลการฝึกตนแห่งแดนราแสดงออกถึงความสชายุทธ์ขั้น4 แค่ดูก็รู้แล้วว่าเป็นท่านชายจากกองกำลังใหญ่

สายตาของคนผู้นี้นอกสนใจอย่างชัดเจนต่อเหยียนซีโรว่ ส่วนกลุ่มคนจากสำนักไป๋ซิงกู่ที่อยู่ข้างกายนางนั้น ก็ถูกชายชุดขาวเมินไปโดยปริยาย

ชายหนุ่มชุดขาวคนนี้ก็ไม่ได้มาคนเดียว ด้านหลังของเขายังมีติดตามอยู่อีกหลายคน ทุกคนต่างก็มีผลการฝึกตนแดนราชายุทธ์ สองคนในนั้นมีผลการฝึกตนสูงที่สุดซึ่งได้บรรลุถึงราชายุทธ์ขั้น7

เหยียนซีโรว่เห็นชายหนุ่มชุดขาวเข้าใกล้ตัวเอง คิ้วเรียวงามนั้นก็ขมวดเข้าหากันทันที