ภาคที่ 5 บทที่ 69 ความยินดีและความทุกข์

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เขาไม่ได้บอกว่ามาทันแล้ว แต่เป็นครั้งนี้มาทันแล้ว

ผู้อื่นได้ฟังบางทีอาจไม่สนใจ อาจรู้สึกว่าพูดผิด

แต่คุณหนูจวินรู้ความหมายของเขา

ครั้งนั้นนางมาลอบสังหารฮ่องเต้ ลู่อวิ๋นฉีไม่รู้ ถูกดึงออกไป รอเขาเดินทางมาถึงตนเองก็ตายแล้ว เขามาไม่ทันคว้าความชอบ

ครั้งนี้เขามาทันแล้ว นอกจากนี้ยังขวางการโจมตีเอาชีวิตนี่ของนางไว้ได้อีก

ขันทีที่ถือดาบหอกรอบด้านแห่เข้ามา กองทหารชิงซานที่เหลือรอดอยู่โงนเงนคุ้มกันนางไว้ ขวางลูกศรดาบหอก แล้วก็ขวางโอกาสที่นางจะเข้าใกล้ฮ่องเต้ด้วย

ไม่มีโอกาสแล้ว

ดังนั้น ยังไม่ได้หรือ?

ดังนั้น นี่คือฟ้าไม่ให้เขาตายหรือ?

คุณหนูจวินยืนอยู่ที่เดิม รู้สึกสับสนยิ่ง โกรธแค้นหรือ? สิ้นหวังหรือ? แล้วก็เหมือนกับว่างเปล่าไปหมด ความรู้สึกใดล้วนไม่มีแล้ว

“หยุดให้หมด” เสียงของลู่อวิ๋นฉีดังขึ้น

เสียงของเขาไม่ได้ตะเบ็ง แต่ขันทีทั้งหลายที่ตะโกนโวยวายอยู่ล้วนได้ยิน ทั้งยังหยุดมือโดยไม่รู้ตัว

นี่ทำให้หยวนเป่าโมโหอยู่บ้าง

“พวกเจ้าทำอะไร?” เขาตะโกน “ยังไม่รีบจับกบฏอีก!”

พร้อมกันนั้นเขาก็มองลู่อวิ๋นฉีอย่างเคียดแค้น

ถึงกับยังถูกเขามาทันแล้ว

เพื่อไม่ให้เขาเข้าร่วมกับเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้อยู่ที่สุสานหลวงจึงพยายามสุดกำลังปกป้องหนิงอวิ๋นเจา โน้มน้าวฮ่องเต้ไม่ให้ลู่อวิ๋นฉีสังหารคุณหนูจวิน

เขาย่อมไม่ได้สนใจความเป็นความตายของคุณหนูจวิน เขาพียงสนใจว่าสังหารคุณหนูจวินเรื่องนี้ใครจะทำ

เห็นชัดยิ่งว่าฮ่องเต้ทนคุณหนูจวินไม่ได้แล้ว เวลานี้ใครสังหารคุณหนูจวิน ในสายพระเนตรฮ่องเต้ก็คือความชอบใหญ่หลวงเรื่องหนึ่ง

ความชอบประการนี้ ย่อมต้องเป็นเขาได้มา

เมื่อวานซืนฮ่องเต้ตัดสินใจลงมือกับคุณหนูจวิน นอกจากนี้ถือโอกาสจัดการไทเฮา เขาลำบากนักกว่าจะโน้มน้าวให้ฮ่องเต้ดึงลู่อวิ๋นฉีออกไป พาเพียงตนเองกลับวังมาจัดการเรื่องนี้

กำลังจะเห็นความชอบใหญ่หลวงสำเร็จ ลู่อวิ๋นฉีกลับยังคงมาทันแล้ว

ฮ่องเต้มองลู่อวิ๋นฉีไม่โมโหสักนิด

“อวิ๋นฉี เจ้ามาทันแล้ว!” พระองค์หลุดปากตะโกน

เสียงนี้ไม่ปิดบังความยินดีสักนิด

เมื่อครู่พระองค์ถูกปิ่นเงินที่แหลมคมประหนึ่งมีดบินที่สตรีคนนั้นโยนมาทำเอากลัวจนเหงื่อกาฬไหลทั่วร่างจริงๆ

ยังคิดว่าครั้งนี้หลบไม่พ้นแล้ว คิดไม่ถึงลู่อวิ๋นฉีจะพุ่งออกมาใช้ร่มเหล็กขวางไว้

พูดมาพูดไป ขันทีเหล่านี้ก็ยังสู้ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้ อย่างไรลู่อวิ๋นฉีก็พึ่งพาได้

อย่างน้อยในด้านกำลังยุทธ์กับความเร็วการตอบสนอง

ความชื่นชมที่ไม่ปิดบังสักนิดของฮ่องเต้ทำให้หยวนเป่ายิ่งโกรธ ความโกรธนี่ทำให้เขาระวังอีกหน

ลู่อวิ๋นฉีถูกฮ่องเต้บัญชาให้เฝ้าสุสานหลวงด้านนั้น จากการแย่งชิงหลายวันนี้ เขาทำให้องครักษ์เสื้อแพรของลู่อวิ๋นฉีกลายเป็นองครักษ์เฝ้าประตูแล้ว

ตอนพวกเขาออกมาปิดบังลู่อวิ๋นฉี ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ลู่อวิ๋นฉีทำไมปรากฏตัวได้?

นี่นับว่าขัดพระบัญชาหรือไม่?

ลู่อวิ๋นฉีที่ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบไร้ข่าวคราวเช่นนี้ทำให้โจรกบฏเหล่านี้หวาดกลัว แต่ไยไม่ใช่ทำให้เขาหวาดกลัวด้วย

แต่เวลานี้เขาไม่มีความกล้าเอ่ยกับฮ่องเต้ว่านี่คือลู่อวิ๋นฉีขัดพระราชโองการ

อย่างไรเมื่อครู่ลู่วิ๋นฉีที่ขัดราชโองการคนี้ก็ช่วยชีวิตฮ่องเต้ไว้จริงๆ

ได้แต่เก็บไว้หลังจากนี้ค่อยเตือนฮ่องเต้แล้ว

หยวนเป่าเก็บสายตาเคียดแค้นกลับมา

“เร็ว สังหารโจรกบฏนี่” พระองค์ชี้คุณหนูจวินพลางตะโกน

หลังอาวุธลับของคุณหนูจวินถูกโจมตีร่วง กองทหารชิงซานก็หยุดเคลื่อนไหวด้วย เวลานี้ถูกขันทีชั้นแล้วชั้นเล่าล้อมไว้

ขันทีทั้งหลายผู้ถือคันศรซึ่งสับสนวุ่นวายเพราะการโจมตีระยะใกล้ก็ฉวยโอกาสจัดศรเล็งพวกเขาใหม่อีกหน

ประตูใหญ่ของตำหนักยังคงปิดสนิท แต่ในเมื่อลู่อวิ๋นฉียังเข้ามาแล้วย่อมจินตนาการได้ว่าข้างนอกต้องวางทหารองครักษ์และขันทีอยู่ทั่วรอคำสั่งคำเดียวพุ่งเข้ามาแน่นอน

จบสิ้นแล้ว

หลี่กั๋วรุ่ยมือหนึ่งกำโล่ มือหนึ่งกำดาบยาว ในใจเย็นยะเยือกไปหมด

ความจริงมาจนถึงตอนนี้เขาล้วนไม่รู้แล้วว่าเขากำลังทำอะไร

ที่แท้เขากำลังทำอะไร?

คิดถึงตนเองเดิมทีเป็นแม่ทัพตัวเล็กๆ ที่ไม่ติดอันดับคนหนึ่ง แต่สำหรับเขาที่อายุสิบสี่ปีเข้ากองทัพไม่มีตระกูลหนุนหลัง อาศัยดาบจริงหอกจริงสังหารศัตรูได้ประทานตำแหน่งขุนนางก็เพียงพอคู่ควรภาคภูมิใจแล้ว

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงต่อมาเขายังเริ่มเลื่อนตำแหน่งหมือนฝัน จนกระทั่งวันนี้ยืนอยู่ในพระราชวังเป็นทหารองครักษ์ของโอรสสวรรค์ นี่จักกลายเป็นเรื่องราวอันเป็นตำนานในชีวิตนี้ของเขา

แต่ตอนนี้ทุกสิ่งล้วนจบสิ้นแล้ว เรื่องราวอันเป็นตำนานนี้จะไม่ถูกจดบันทึก ชีวิตของเขาหลี่กั๋วรุ่ยจะมีเพียงอักษรสี่คำสั้นๆ ก่อกบฏถูกประหาร

ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเล็งดาบยาวในมือไปที่คุณหนูจวินคนนี้ยังทันหรือไม่?

หรือเขาอาจจะใช้ดาบยาวฆ่าตัวตายเสียเลยจะยิ่งจบเร็วกว่า เลี่ยงไม่ให้ต้องทรมานจากการเฉือนทั้งเป็น

แม้ถูกดาบรุมฟันจนตายอีกครั้งจะไม่เป็นรองเฉือนทั้งเป็น คุณหนูจวินก็รู้สึกว่าไม่มีสิ่งใดน่ากลัว

นางเพียงชั่วพริบตามึนงงอยู่บ้าง

ทุกสิ่งนี่ที่นางผ่านมาเป็นความฝันหรือความจริง?

นางกำลังฝันอยู่ใช่หรือไม่

ที่จริงนางกำลังเดินอกมาจากจวนสกุลลู่ วิ่งมาถึงตำหนักมาลอบสังหารฮ่องเต้ ยังไม่ทันถูกสังหารตายแล้วก็ไม่ได้เกิดใหม่

คุณหนูจวินวางสองมือไว้หน้าร่าง มองไปทางลู่อวิ๋นฉี บนใบหน้าไม่มีความสิ้นหวังแล้วก็ไม่มีความหวาดกลัว มีเพียงความนิ่งสงบ

กองทหารชิงซานข้างกายนาง ไม่ว่าที่ได้รับบาดเจ็บหรือที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ก็สีหน้านิ่งสงบเช่นกัน

เหมือนไม่สนใจว่าตนเองทำสิ่งใด แล้วก็ไม่สนใจว่ากำลังมุ่งสู่ความตาย

มีได้มีเสีย มีสำเร็จมีล้มเหลว นี่ก็คือวิถีฟ้า แม้ไม่แน่ว่าจะยุติธรรม

ลู่อวิ๋นฉีก็กำลังมองนางเช่นกัน

สองตาของเขาดำเข้มอย่างที่คุ้นเคย แต่เวลานี้ไม่เห็นก้นบึ้ง ลึกไม่อาจหยั่ง

ตอนนี้ ต้องการเพียงเขาสั่งคำเดียว ทุกสิ่งล้วนจบสิ้น

“สังหาร…” ฮ่องเต้ฟื้นกลับมาเย็นชาใหม่อีกครั้ง อ้าปากด้วยท่าทางเคียดแค้นอยู่บ้าง

ลู่อวิ๋นฉีหมุนกายมองฮ่องเต้

“ฝ่าบาท กระหม่อมมีคำพูดประโยคหนึ่งต้องการพูดกับคุณหนูจวิน” เขาเอ่ยขัดฮ่องเต้

ฮ่องเต้ขมวดพระขนงเล็กน้อย

“ยังมีสิ่งใดจำต้องพูดอีก?” หยวนเป่าที่อยู่ด้านข้างตะโกนแล้ว “ไม่จำเป็นต้องพูดจากับโจรกบฏพรรค์นี้ นางเพียงต้องตายก็พอ”

ลู่อวิ๋นฉีมองก็ไม่มองเขาสักที เพียงมองฮ่องเต้

“ข้าไม่คิดจะสอบสวน” ฮ่องเต้เอ่ยด้วยสีพระพักตร์เย็นชา

ลู่อวิ๋นฉีขานรับ หันหน้ามองไปหาคุณหนูจวิน

“มีเรื่องหนึ่ง เจ้าไม่เคยถามข้ามาตลอด” เขาเอ่ยขึ้น

คุณหนูจวินมองเขาอย่างเฉยเมย

“ข้าเป็นทุกข์นัก” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยต่อ “ข้ารอให้เจ้าถามมาตลอด”

ถามอะไร?

หยวนเป่าอดไม่ได้เสียสมาธิด้วยความสงสัยใคร่รู้

เขารู้ว่าลู่อวิ๋นฉีคนนี้เคยยุ่งเกี่ยวกับคุณหนูจวิน หรือตอนนี้ต้องการถามคุณหนูจวินดูว่าเสียใจไหม? หากตอนนั้นยอมตามเขา ไหนเลยจะมีจุดจบเช่นวันนี้

บุรุษน่ะ ล้วนชอบท่าทีเช่นนี้

“ถามอะไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถามอย่างเฉยชา

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง

“พ่อของข้าตายอย่างไร” เขาเอ่ยขึ้น

อะไร?

หยวนเป่าตะลึง

พ่อของลู่อวิ๋นฉีไม่ใช่ดื่มเหล้าดื่มจนตายรึ?

คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี

ใช่แล้ว นางเคยอยากถามประโยคนี้ แต่ประโยคนี้ถามแล้วมีความหมายอันใดอีกเล่า?

“พ่อของข้าตายอย่างไร?” นางเอ่ยถามอย่างเฉยชา

ลู่อวิ๋นฉีเผยรอยยิ้มจางๆ ให้นาง

“ตายเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น ยกมือดึงเข็มขัดออกมา หมุนตัวรัดคอของฮ่องเต้ไว้

พระพักตร์ที่ยังมีสีหน้าเย้ยหยันอยู่ของฮ่องเต้พริบตากลายเป็นม่วงแดง สองมือคว้าไปที่ลำคอโดยสัญชาติญาณ

แต่เรี่ยวแรงของพระองค์อยู่ต่อหน้าลู่อวิ๋นฉีประหนึ่งไม่มีอยู่

ลู่อวิ๋นฉีลากพระองค์มาด้านหน้าร่างแล้ว สองมือดึงรั้งสองปลายเข็มขัดแน่น พร้อมกับการเคลื่อนไหวของเขา ในตำหนักเสียงกระดูกถูกบีบจนหักพลันดังขึ้น

“ตายเช่นนี้” เขาเอ่ยอีกครั้ง เสียงเรียบสนิท

……………………………………