ภาคที่ 5 บทที่ 70 ฝ่าบาททรงพระปรีชา

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ทุกสิ่งนี่เกิดขึ้นในชั่วพริบตา ขนาดที่คนในที่นั้นล้วนไม่ทันตอบสนอง

จนกระทั่งเสียงปึกทีหนึ่ง มีคนชนบนขาของลู่อวิ๋นฉี

คนผู้นี้ไม่ใช่ฮ่องเต้ที่ล้มลงไป แต่เป็นไทเฮาที่ถูกโยนทิ้งและถูกละเลยอยู่บนพื้น

นางยังคงไม่อาจพูดจา ร่างกายก็แข็งทื่อ แต่สู้สุดชีวิตชนเข้าใส่ลู่อวิ๋นฉี ส่งเสียงตะโกนอู้อี้

เสียงนี่ในที่สุดก็ปลุกคนที่อยู่ที่นั่นให้ตื่น

“อารักขาฝ่าบาท!”

หยวนเป่าที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดตะเบ็งเสียง ร้องคำหนึ่งออกมา

แต่เขายังไม่ทันโถมเข้าไปก็ถอยไปขางหลัง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดผวา

เขารู้ว่าลู่อวิ๋นฉีร้ายกาจยิ่ง เขาก็ระวังมาตลอด แต่ฝันก็คิดไม่ถึงว่าลู่อวิ๋นฉีจะถึงขั้นยกมือสังหารเจ้าแผ่นดิน!

สังหารเจ้าแผ่นดิน!

สังหารเจ้าแผ่นดิน!

ฮ่องเต้ถูกสังหารแล้ว!

เสียงร้องแหลมของหยวนเป่าออกจากปาก หลังจากนั้นก็เห็นลู่อวิ๋นฉีหันศีรษะมานิดหนึ่งมองเขา

แววตาของลู่อวิ๋นฉีนิ่งสนิท แต่หยวนเป่ากลับประหนึ่งเข็มเล่มหนึ่งแทงเข้าก้นกบครึ่งร่างชา

แย่แล้ว…

ความคิดแล่นผ่านก็เห็นลู่อวิ๋นฉียกมือขึ้น

ร่มเหล็กคันนั้นที่เมื่อครู่บังปิ่นเงินที่คุณหนูจวินโยนมาเสียบพรวดมาที่หน้าอกของเขา เสียงตึงทีหนึ่งหยวนเป่าตาเบิกโพลง ปากอ้าล้มลงบนพื้น

เสียงปึกดังอีกทีหนึ่งร่มเหล็กที่เสียบหน้าอกเขาอยู่กางออก บังเลือดที่กระเซ็นรอบด้านไว้

ลู่อวิ๋นฉีโยนร่มเหล็กทิ้งไป ในมือยังกำเข็มขัดไว้ พร้อมกับที่เมื่อครู่ยกมือขึ้น เข็มขัดก็รัดแน่น ศีรษะของฮ่องเต้ที่เดิมทีหน้าเขียวลิ้นจุกปากอยู่แล้วพลันตกห้อยลงมา

ในโถงตำหนักวุ่นวายชุลมุน

ชั่วพริบตาฮ่องเต้เป็นตายยังไม่รู้ชัด หยวนเป่าถูกสังหาร ขันทีทั้งหลายประหนึ่งแมลงวันเสียหัว กรีดร้องเสียงแหลม คันศรในมือไม่รู้ควรเล็งคุณหนูจวินกับกองหทารชิงซานหรือเล็งลู่อวิ๋นฉี

“ลู่อวิ๋นฉี! รีบวางฝ่าบาทลง!”

เสียงกังวานทั้งยังโกรธเกรี้ยวเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางเสียงเอะอะ

คุณหนูจวินมองตามเสียงไปทันที เห็นคนผู้หนึ่งมุดออกมาจากหลังฉากบังลม

ชุดขุนนางเคร่งขรึม ใบหน้ากระจ่างใส หนิงอวิ๋นเจานั่นเอง

เวลานี้สีหน้าของเขาโกรธเกรี้ยว

ในฐานะศิษย์ของปราชญ์ ผู้เคารพฟ้า ดิน นายเหนือหัว บุพการีและอาจารย์ เขาต้องปกป้องฮ่องเต้!

มีขุนนางพลเรือนเช่นนี้ก็มีที่พึ่งแล้ว

ขันทีทั้งหลายที่ลนลานอยู่อดไม่ได้หยุดลง จับศรที่กำลังจะยิงออกไป หยุดดาบใหญ่ที่กำลังจะฟันเข้าใส่

ไทเฮาที่นอนอยู่บนพื้นก็มีความหวังสายน้อยจุดขึ้นมาด้วย

อารักขาฝ่าบาท

อารักขาฝ่าบาท

“ทหารองครักษ์ทั้งหลาย รีบจัดการขันทีกบฏเหล่านี้!” หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ให้พวกเขารอนาน ตะโกนตามมาทันที

เขาตะโกนเรียกทหารองครักษ์

แต่ในตำหนักแห่งนี้นอกจากขันทีก็คือกองทหารชิงซาน ไม่มีทหารองครักษ์

ไม่ กองทหารชิงซานเหล่านี้วันนี้ก็เป็นทหารองครักษ์ในพระราชวัง

นอกจากนี้คนที่เขาต้องการประหัตประหารคือขันทีกบฏ

ความจริงขันทีเหล่านี้สำหรับฮ่องเต้แล้วหาใช้กบฏไม่

จบสิ้นแล้ว

ความหวังสายน้อยสุดท้ายของไทเฮาดับสลาย

สิ้นเสียงคำพูดของหนิงอวิ๋นเจา คุณหนูจวินก็ยกมือขึ้น พร้อมกับมือที่ยกขึ้นของนาง กองทหารชิงซานที่ล้อมรุมอยู่ข้างกายพลันประหนึ่งศรที่น้าวสายเต็มที่ ยิงออกไปเสียงดังปึง

ขันทีทั้งหลายได้สติกลับมาออกแรงน้าวศรอีกก็สายไปก้าวหนึ่งแล้ว ดาบยาวเหวี่ยงสะบัด เลือดเนื้อปลิวว่อน ประหนึ่งฤดูใบไม้ร่วงเกี่ยวข้าว เสียงกรีดร้องต่อเนื่อง คนล้มลงไปเป็นแถบๆ

ไม่ต้องปกป้องคุณหนูจวินอีกแล้วก็ไม่ต้องฝ่าไปยังที่ซึ่งฮ่องเต้อยู่อีก ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าด้านนอกจะมีขันทีเพิ่มหนุนมาอีก

กองทหารชิงซานที่มีเป้าหมายเพียงสังหารคนนี่ประหนึ่งหมาป่าเข้ามาในฝูงแกะ

แทบเพียงพริบตาเดียวขันทีเต็มตำหนักก็ไม่มึใครยืนอยู่แล้ว

บ้างตาย บ้างบาดเจ็บกลิ้งครวญครางอยู่บนพื้น

ในตำหนักมองไปน่าเวทนา ข้างหูเสียงดังเอะอะ แต่เทียบกับก่อนหน้านี้ยังเงียบลงไปมากนัก

หนิงอวิ๋นเจามองไปหาลู่อวิ๋นฉี

สองมือของลู่อวิ๋นฉียังคงกำเข็มขัดไว้ดังเดิม ศีรษะของฮ่องเต้ห้อยตกลงมาหน้าร่างของพระองค์

“ไม่ใช่บอกท่านว่าอย่าสังหารฮ่องเต้หรือ?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย

คำพูดของเขากำลังตำหนิ ในเสียงก็มีความโมโหอยู่นิดๆ

แต่เวลานี้ตอนนี้คำตำหนิกับความโมโหนี่ดูแล้วกลับแปลกพิกล

นี่ไม่ใช่เรื่องที่แค่ควรตำหนิกับโมโหกระมัง

สีหน้าของลู่อวิ๋นฉียังคงนิ่งสนิท แล้วก็ไม่ได้มองหนิงอวิ๋นเจา เพียงมองไปทางคุณหนูจวิน

“ข้าเคยบอกแล้ว” เขาเอ่ยพลางขมวดคิ้วนิดๆ “ทำเช่นนี้ไม่มีประโยชน์ มีแต่จะทำร้ายตนเอง”

มือของเขายังรัดคอฮ่องเต้อยู่ บนร่างเปื้อนเลือดด่างดวงจากหยวนเป่าที่ถูกสังหาร ในตำหนักระเนระนาด ด้านนอกสถานการณ์ไม่ชัด แต่ประโยคแรกที่เขาเอ่ยกลับเป็นเรื่องนี้

“ยังดีข้ามาทันแล้ว” เขาเอ่ยต่อ

คล้ายบนโลกนี้มีเพียงเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่สุด

คนผู้นี้ คนผู้นี้…

คุณหนูจวินมองลู่อวิ๋นฉี มือที่ทิ้งอยู่ข้างกายกำแน่น ใบหน้าที่เดิมทีนิ่งสงบสีหน้าสับสน

เขา…

เขาหมายความว่าอย่างไร?

นี่เขาหมายความว่าอย่างไร?

ที่เขาคิดจะทำสิ่งใด?

ลู่อวิ๋นฉีมองนาง แล้วมองฮ่องเต้เบื้องหน้าร่างอีกหน

“ข้าบอกคำตอบกับเจ้า” เขาเอ่ย “ไม่ใช่ป่วยตาย ตายเช่นนี้”

วิธีการบอกคำตอบเช่นนี้ก็ช่าง…

ที่แท้ พระบิดาถูกรัดคอตาย?

คุณหนูจวินมองฮ่องเต้ที่ไม่มีปฏิกิริยาแล้ว

ตายเช่นนี้นี่เอง

ตายเช่นนี้ยังไม่สู้หนึ่งดาบแทงตายไม่ทรมาน

ตายเช่นนี้ทรมานนัก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระบิดายังป่วย ร่างกายไม่แข็งแรง เดิมทีก็หายใจไม่ทันง่าย

คุณหนูจวินคล้ายมองเห็นสภาพทุกข์ทรมานของพระบิดาก่อนเผชิญจุดจบ

ถ้าเช่นนั้นที่พวกเขาบอกว่าพระมารดาผูกคอปลงพระชนม์ เห็นชัดยิ่งว่าก็ถูกรัดคอตายเหมือนกันสินะ

สองตาของนางถูกน้ำตาพร่ามัว

“ท่านยังนิ่งอยู่ทำอะไร!”

เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นอีกครั้ง

“รีบวางฝ่าบาทลงมา”

ลู่อวิ๋นฉีมองมาทางเขา คุณหนูจวินก็มองมาทางเขาเช่นกัน

“ข้าไม่ได้เคยบอกท่านหรือว่าฝ่าบาทตายไม่ได้” หนิงอวิ๋นเจามุ่นคิ้วเอ่ย แม้คล้ายร้อนใจอยู่บ้าง แต่ใบหน้าของเขาก็ยังคงรักษาความอ่อนโยน น้ำเสียงสงบ “รีบวางฝ่าบาทลงมา”

ลู่อวิ๋นฉีปล่อยมือ ฮ่องเต้ร่วงลงพื้นดังตุบ

หนิงอวิ๋นเจาตกใจสะดุ้งโหยง

“ท่านระวังหน่อย” เขาเอ่ย

ไทเฮาก็ส่งเสียงอู้อี้ต้องการคลานมาด้านนี้ด้วย

หนิงอวิ๋นเจามองไปทางไทเฮา คล้ายเวลานี้เพิ่งพบการมีอยู่ของนาง

“อย่าทำองค์ไทเฮาตกพระทัยสิ” เขาเอ่ย หันศีรษะมาหาลู่อวิ๋นฉี “ให้ไทเฮาพักผ่อนสักครู่ก่อน”

แม้สีหน้าและน้ำเสียงของเขาอ่อนโยนยิ่ง

แต่ไทเฮาตอนนี้ไม่มีทางเห็นเขาเป็นคนอ่อนโยนเด็ดขาด

ไทเฮาถลึงสองตาจนกลม เสียงอู้อี้ยิ่งดัง

ลู่อวิ๋นฉีก้าวหนึ่งก้าวเข้ามายื่นมือกดลำคอของไทเฮาแล้ว เสียงกึกดังขึ้นเบาๆ ไทเฮาอ่อนยวบล้มลงไม่ขยับแล้ว

“อย่าทำตายสิ” หนิงอวิ๋นเจาขมวดคิ้วเอ่ย แล้วรีบก้มศีรษะมองฮ่องเต้บนพื้นอีก ยื่นมือทดสอบลมหายใจ

“ไม่มีลมหายใจแล้ว!” เขาตะเบ็งเสียงดังคล้ายตื่นตกใจ มองลู่อวิ๋นฉี “ใต้เท้าลู่ ท่านไม่ควรเป็นคนพึ่งไม่ได้นะ!”

นี่น่าจะเป็นคนแรกนอกจากฮ่องเต้ที่ชมว่าลู่อวิ๋นฉีพึ่งได้กระมัง?

ลู่อวิ๋นฉีพึ่งได้จริงๆ ยามสังหารคนปล้นของใส่ร้ายแทนฮ่องเต้

หนิงอวิ๋นเจาไม่ได้ทำให้ทุกคนรู้สึกถึงความประหลาดของประโยคนี้ เขามองไปทางคุณหนูจวิน

“คุณหนูจวิน เจ้ารีบมาดูหน่อยว่ายังมีทางช่วยไหม?”

คุณหนูจวินไม่ได้ก้าวเท้า

แม้ไม่ไปตรวจดู แต่จากระยะห่างตอนนี้นางก็มองออก ฮ่องเต้ยังมีทางช่วย

แต่ก็มีเพียงนางที่ช่วยได้ สำหรับหมอคนอื่นเป็นคนที่ตายไปแล้ว

หนิงอวิ๋นเจามองสีหน้าของนางเข้าใจ

“คุณหนูจวิน โปรดช่วยฝ่าบาทด้วย” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง

คำนี้น่าขันอยู่บ้างจริงๆ

เมื่อครู่นี้เองนางยังทุ่มสุดกำลังใช้ความตายแลกความตายจวนเจียนจะสังหารเขาอยู่เลย

ช่วย?

ทำไมนางต้องช่วยเขา?

คุณหนูจวินมองหนิงอวิ๋นเจา นิ่งไม่ขยับ

“คุณหนูจวิน” หนิงอวิ๋นเจามองนางเช่นกัน “ตายไม่ใช่วิธีคลี่คลายปัญหาที่ดีที่สุด”

คุณหนูจวินนิ่งเฉย

“ที่จริงคุณหนูจวินก็ไม่ได้คิดจะสังหารฝ่าบาทให้ตายเช่นนี้ วันนี้เพราะถูกบีบให้จนหนทาง ดังนั้นถึงไม่อาจไม่สู้เอาเป็นเอาตาย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อ “ต่อให้สู้จนเขาตายเจ้ารอด สำหรับคุณหนูจวินแล้วก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

ใช่แล้ว นี่สำหรับนาง โดยเฉพาะนางที่ตอนนี้ลำบากนักกว่าจะเดินมาถึงก้าวนี้วันนี้แล้ว ไม่ใช่เรื่องดี

พูดอีกทางหนึ่งดีกับนางหรือไม่เดิมทีไม่สำคัญ แต่จะพัวพันถึงจิ่วหรง

สิ่งที่นางต้องการคือให้จิ่วหรงคว้าทุกสิ่งที่เป็นของเขากลับมาอย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ให้ตน คนที่สังหารเจ้าแผ่นดินเช่นนี้ผลักราชบัลลังก์ให้

แม้สำหรับฮ่องเต้พระองค์นี้แล้ว ความตายเช่นนี้จะเป็นกรรมตามสนองก็ตาม

คุณหนูจวินเงียบงัน

แต่ช่วยเขาหรือ?

“คุณหนูจวิน วันนี้เขาไม่ตาย” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “ถึงเป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุด”

……………………………………….

……………………………………….

เวลานี้ประตูตำหนักที่ปิดสนิทตัดขาดเรื่องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินข้างใน จากด้านนอกมองดูแล้วทุกสิ่งสงบเงียบ

นอกพระราชวังทหารองครักษ์ลาดตระเวน ในตลาดชาวบ้านเดินไปมา ร้านค้าเร่ขายของ ประตูเมืองรอบด้านปิดสนิท บนประตูเมืองนายทหารมองนอกเมืองอย่างระแวดระวัง บนถนนใหญ่ที่เดิมทีคนเดินทางมาไม่ขาดสายว่างเปล่าไม่มีใครสักคน

แต่สุสานหลวงที่เงียบงันเคร่งขรึมมาเสมอกลับกลายเป็นเอะอะ

“ใครกล้าขวางข้า!”

“พวกเราขุนนางใหญ่ผู้สำเร็จราชการแทน!”

“วันนี้ชาวจินยังก่อหายนะไม่ถอย โอรสสวรรค์อยู่ข้างนอกไม่กลับ จะทำให้บ้านเมืองสงบมั่นคงได้อย่างไร!”

“พวกเจ้ากล้าขวางก็คือก่อความวุ่นายให้ราชสำนัก!”

ขุนนางใหญ่กลุ่มหนึ่งชูป้ายเตือนความจำร้องโหวกเหวกเสียงดัง ไม่มีท่วงท่าสุขุมดังเช่นปกติอย่างสิ้นเชิง ดันผลักองครักษ์เสื้อแพรกลุ่มหนึ่งพุ่งไปยังตำหนักหลังหนึ่งในสุสานหลวงให้วุ่นวาย

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรคล้ายถูกพุ่งโจมตีจนยืนไม่มั่นคง แล้วก็คล้ายลังเลเพราะคำพูดของพวกเขา

“พวกเจ้าวันนี้ไม่ฟันสังหารพวกเราหน้าสุสานหลวง พวกเราก็จะเข้าเฝ้าฝ่าบาทให้จงได้!” หนิงเหยียนตวาดขรึม

เคยผ่านการนำทหารปกป้องเมืองจากการโจมตีของทหารจินมา เคยเห็นเลือดได้รับบาดเจ็บมา หนิงเหยียนขุนนางฝ่ายพลเรือนเช่นนี้ก็กลายเป็นท่าทางดุร้ายขึ้นมาบ้างแล้ว

“ไม่ผิด!”

“ใช้ชีวิตของพวกเราปลุกฝ่าบาทให้ได้สติได้ ก็ตายอย่างมีคุณค่า”

ขุนนางใหญ่ทั้งหลายหลังร่างก็ตวาดเสียงโกรธเกรี้ยวเช่นกัน

พวกเขารุกคืบหน้าอีกครั้ง เหล่าองครักษ์เสื้อแพรที่ขวางทางอยู่เริ่มถอยหลัง ท้ายที่สุดก็ถูกหนิงเหยียนหนึ่งฝ่ามือผลักคนหนึ่งตรงกลางออก ประหนึ่งประตูเขื่อนใหญ่เปิด ขุนนางทั้งหลายฉับพลันประหนึ่งน้ำหลากแห่ทะลักตรงไปยังตำหนักด้านหน้า

เหล่าองครักษ์เสื้อแพรติดตามมาแต่ไม่ได้ขวาง มองดูหนิงเหยียนมาถึงหน้าตำหนัก

หน้าตำหนักขันทีกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ โมโหและตื่นตระหนกเข้าขวาง

ทว่าสำหรับพวกหนิงเหยียนแล้ว ขันทีเหล่านี้ยิ่งไม่ชายตาแล น่าสะพรึงสู้องครักษ์เสื้อแพรผู้โหดเหี้ยมไม่ได้ กระทั่งวาจายังคร้านจะพูดสักประโยคก็ชนขันทีกลุ่มนี้ไปข้างหนึ่ง ผลักประตูตำหนักเปิด

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาทกระหม่อม…”

เสียงของขุนนางทั้งหลายดังขึ้นวุ่นวายในตำหนัก แต่ไม่นานก็เงียบลง

คนกลุ่มหนึ่งมองห้องที่ว่างเปล่าด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“ฝ่าบาทเล่า?” พวกเขาเอ่ยถาม

ขันทีทั้งหลายที่ตามเข้มาสีหน้าลนลาน อึกๆ อักๆ ปิดๆ บังๆ นี่ทำให้ขุนนางทั้งหลายยิ่งประหลาดใจ

“รีบพูด ฝ่าบาทเล่า?” หนิงเหยียนคิ้วตั้งตวาด

“ฝ่าบาท ไม่พบพวกท่าน” ขันทีคนหนึ่งแม้หวาดหวั่นแต่ก็เอ่ยด้วยท่าทางดื้อรั้นอยู่บ้าง

แต่สิ้นเสียงของเขา ก็ถูกหนิงเหยียนหนึ่งเท้าถีบล้ม

“บ่าวชั่ว!” เขาตวาด “กล้าก่อความวุ่นายให้ราชสำนัก!”

“รีบพูดฝ่าบาทอยู่ที่ไหน?” ขุนนางใหญ่คนอื่นรุมเข้ามาด้วย ตวาดเสียงโกรธเกรี้ยว

ขันทีทั้งหลายยังไม่ทันตอบ องครักษ์เสื้อแพรที่ตามมายืนอยู่ข้างประตูก็เอ่ยปากแล้ว

“ฝ่าบาทได้หยวนกงกงอารักขากลับพระราชวังแล้ว” องครักษ์เสื้อแพรคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าสีหน้านิ่งสนิทเอ่ย

กลับวังแล้ว?

พวกหนิงเหยียนตะลึง

ก่อนหน้านี้เชิญซ้ายเชิญขวาไม่ยอมกลับ ทำไมวันนี้หลบๆ ซ่อนๆ กลับไปแล้วเล่า?

แม้ฮ่องเต้หลบๆ ซ่อนๆ ออกจากวัง แต่ฮ่องเต้ก็คงไม่โง่จนถึงขั้นคิดว่าหลบๆ ซ่อนๆ กลับไปเช่นนี้ทุกสิ่งก็จะเหมือนไม่เคยเกิดขึ้นได้

ต้องมีเรื่องแน่!

“เร็ว กลับวัง!” หนิงเหยียนหน้าขรึมเอ่ย

……………………………………….

……………………………………….

กำไลเงินบนข้อมือถูกเปิดออก เผยช่องว่างด้านใน เข็มยาวเรียวเล่มหนึ่งถูกคีบออกมาจากข้างใน

คุณหนูจวินคุกเข่าข้างหนึ่งข้างกายฮ่องเต้ส่งเข็มเงินเข้าไปที่หลังคอของฮ่องเต้ช้าๆ

ฮ่องเต้ที่เดิมทีนิ่งไม่กระดิกพลันชักกระตุกชั่วครู่ ในลำคอเริ่มส่งเสียงอึกอัก

“บีบคอเขาไว้” คุณหนูจวินเอ่ย

หนิงอวิ๋นเจาไม่ลังเลสักนิดยื่นมือบีบคอของฮ่องเต้ไว้

เข็มเงินของคุณหนูจวินฉับพลันชักออกมา

เข็มเงินเรียวเล็กนี่คล้ายเปลี่ยนกลายเป็นหนักพันชั่ง พาร่างกายครึ่งหนึ่งของฮ่องเต้ยกขึ้นมาด้วย

ยังดีหนิงอวิ๋นเจาออกแรงกดลง

ฮ่องเต้คล้ายถูกเรี่ยวแรงนี่บีบจนหายใจไม่ออก ฉับพันอ้าปากกว้างแล้วลืมตาโต ไอแห้งหนักๆ

“ตื่นแล้ว!” หนิงอวิ๋นเจาตะโกนเอ่ย

แววตาของฮ่องเต้ชั่วพริบตาหนึ่งล่องลอย จากนั้นเห็นคนตรงหน้า ฉับพลันสีหน้าก็เปลี่ยน

เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเขา สีหน้าของหนิงอวิ๋นเจาพริบตาก็จริงจังวิตกด้วย

นี่บ่งบอกว่าสติของฝ่าบาทฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์เล้ว ย่อมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ด้วย

ฟื้นสภาพเร็วนัก!

เขายื่นมือจะปิดปากของฮ่องเต้ไว้โดยไม่รู้ตัว

“ไม่ต้อง” คุณหนูจวินเอ่ย ลุกขึ้นยืนตรง ก้มจากที่สูงมองฮ่องเต้ดิ้นรนจะหลุดจากสองมือของหนิงอวิ๋นเจาลุกขึ้นนั่ง “เขามีชีวิตไม่ได้แล้ว”

มีชีวิตไม่ได้แล้วหมายความว่าอย่างไร? นี่ไม่ใช่มีชีวิตอยู่หรือ?

หนิงอวิ๋นเจามองฮ่องเต้ตรงหน้า

ฮ่องเต้อ้าปากกว้างแล้ว แต่ไม่ได้เอ่ยวาจาออกมา ยังคงมีเพียงเสียงไอไม่หยุด พร้อมกับที่สิ้นเสียงพูดของคุณหนูจวิน ฮ่องเต้ฉับพลันประหนึ่งลำไผ่ถูกตัด หงายล้มลงไปโดยพลัน

หนิงอวิ๋นเจาไม่ทันระวัง ถูกดิ้นหลุดจากมือ

เสียงปึงดังขึ้นทีหนึ่ง ฮ่องเต้หงายหน้านอนลงบนพื้น

แต่ดวงตาของพระองค์ยังคงเบิกกลม คล้ายหน้าแดงเพราะความเจ็บปวด แววตาโกรธเกรี้ยวและพรั่นพรึงถักทอประสานกัน

สติน่ะตื่นเต็มที่

หนิงอวิ๋นเจามองฮ่องเต้ ฟังเสียงไอขาดเป็นห้วงๆ ที่ส่งออกมาจากปาก แล้วมองร่ากายที่คล้ายต้องการดิ้นรนแต่กลับนิ่งไม่กระดิกของเขา

“ปากพูดไม่ได้ ร่างกายขยับไม่ได้หรือ?” เขาเอ่ย

“เจ้าบอกแค่ไม่ให้เขาตาย” คุณหนูจวินเอ่ย “ไม่ได้บอกให้เขามีชีวิตเสียหน่อย”

หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้ามองนาง

“ดังนั้น นี่คือครึ่งตายไร้ชีวิต?” เขาเอ่ย

คุณหนูจวินไม่เอ่ยวาจา เพียงมองฮ่องเต้บนพื้นอย่างเฉยชา

ฮ่องเต้ก็มองนางเช่นกัน แววตาแสดงความโกรธแค้นและความหวาดกลัว

ก็เพียงแค่แววตาเท่านั้น

ทำอันใดได้อีก?

“นับถือ” หนิงอวิ๋นเจาเงยหน้ามองคุณหนูจวินแล้วเอ่ยขึ้น

เขาไม่ได้ลุกขึ้น ไม่รอคุณหนูจวินเอ่ยวาจาก็รั้งสายตากลับ คุกเข่าข้างหนึ่งบนพื้น สะบัดมือทีหนึ่งเอาม้วนสาส์นม้วนหนึ่งออกมาจากในอกเสื้อกางออก

เพราะก้มมองจากข้างบนคุณหนูจวินจึงเห็นม้วนสาส์น

นางจำได้ว่านี่เป็นรูปแบบของหนังสือแต่งตั้ง ในนั้นเห็นเพียงอักษรไม่กี่ตัว มั่นใจแล้วว่านี่คือหนังสือพระราชทานยศองค์รัชทายาท

องค์รัชทายท

สายตาของคุณหนูจวินจับอยู่บนราชโองการ มองเห็นอักษรคำว่าหรงตัวนี้กระจ่างชัด

จิ่วหรง

จิ่วหรง!

ราชโองการนี่!

พระราชทานแต่งตั้งจิ่วหรงเป็นองค์รัชทายาท!

ราชโองการนี่ไม่มีทางเป็นฮ่องเต้เขียนเด็ดขาด!

สายตาของนางจับบนร่างหนิงอวิ๋นเจา ตื่นตะลึงแล้วก็ไม่อยากเชื่อ

เขา…

หนิงอวิ๋นเจาไม่สนใจสายตาของนาง แต่กางราชโองการออกทูนให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตรอย่างตั้งใจ

“ฝ่าบาท ท่านดู นี่เขียนเรียบร้อยแล้ว” เขาเอ่ย “ประกาศราชโองการเถอะ”

ฮ่องเต้เห็นชัดว่ามองออกเช่นกันว่านี่คือสิ่งใด แววตายิ่งปั่นป่วนแต่ก็เพียงแววตาเท่านั้น ถึงขนาดกระทั่งเสียงไอก็ยังคงสงบไม่ฟืดฟาดสักนิด

เช่นนี้หรือ?

แค่เช่นนี้ได้หรือ?

คุณหนูจวินความคิดแล่นผ่านก็เห็นหนิงอวิ๋นเจาวางราชโองการลงบนพื้น เอาราชลัญจกรหยกชิ้นหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ

สีหน้าของคุณหนูจวินตื่นตะลึงอีกครั้ง

ราชลัญจกรหยก!

หนิงอวิ๋นเจาประทับราชลัญจกรหยกลงบนราชโองการหนักๆ หลังจากนั้นยัดราชลัญจกรหยกเข้าไปในอกเสื้อของฮ่องเต้ ชูราชโองการขึ้น ค้อมกายเบื้องหน้าฮ่องเต้

“ฝ่าบาททรงพระปรีชา” เขาเอ่ย น้ำเสียงนอบน้อมจริงใจเหมือนเช่นวันวาน

………………………………………