ภาคที่ 5 บทที่ 71 นี่คือโรค

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

ฝ่าบาททรงพระปรีชา

ประโยคนี้คือคำที่หนิงอวิ๋นเจาชอบพูดที่สุด แล้วก็เป็นคำที่ฮ่องเต้ชอบฟังเขาพูดที่สุด

เพียงแต่นาทีนี้ สี่คำจริงที่เคยทำให้ฮ่องเต้ได้ยินแล้วหัวใจเบิกบาน กลับประหนึ่งดาบแหลมคมฟันลงมา

ฝ่าบาททรงพระปรีชา

ฝ่าบาททรงพระปรีชา

ฮ่องเต้ดวงตามืดดับ เป็นลมไปแล้ว

หนิงอวิ๋นเจาคล้ายตื่นตกใจ

“ฝ่าบาท!” เขาตะโกนเสียงดัง โถมเข้าไปเขย่าหัวไหล่ของฮ่องเต้ สีหน้าเจ็บปวด หันศีรษะมองไปทางประตูตำหนัก “อารักขาฝ่าบาท! ใครรีบมานี่ซิ! อารักขาฝ่าบาท!”

เสียงของเขากังวานใสทั้งยังเพราะความโศกเศร้าคับแค้นจึงเต็มไปด้วยพลัง ฝ่าทะลุในตำหนักที่ปิดสนิทพุ่งไปยังด้านนอก

อารักขาฝ่าบาท….

คุณหนูจวินมองเขา สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง

เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนี้ นางรู้สึกว่าทำให้คนไม่อยากเชื่อยิ่งกว่านาทีนั้นที่ตนเองตื่นขึ้นมาพบว่าตนกลายเป็นจวินเจินเจินเสียอีก

หนิงอวิ๋นเจายื่นมืออุ้มฮ่องเต้จะแบกขึ้นหลังตนเองแล้วมองคุณหนูจวินอีกหน

“เร็ว คุณหนูจวิน พวกเรารีบไป”

น้ำเสียงของเขาเคร่งเครียดและจริงจัง เหมือนกับว่าพวกเขากำลังอารักขาฝ่าบาทจริงๆ

ไม่รอคุณหนูจวินตอบรับ หนิงอวิ๋นเจาก็ชี้กองทหารชิงซานอีกหน

“พวกเจ้าสองสามคนส่งไทเฮากลับตำหนักก่อน” เขาเอ่ย หนึ่งเท้าถีบฉากบังลมออก เผยประตูลับบานหนึ่งที่เปิดอยู่ด้านหลัง

พูดจบประโยคนี้ก็ยังคงไม่หยุด ยื่นมือชี้ลู่อวิ๋นฉี

“ทหารองครักษ์ทั้งหลาย จัดการเขา”

จัดการเขา?

คุณหนูจวินมองไปทางลู่อวิ๋นฉี

ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ที่เดิมฉับพลันก้มตัวเก็บหน้าไม้ที่ร่วงกระจายอยู่บนพื้นสองสามคันถือขึ้นมา

กองทหารชิงซานก้าวขึ้นมาข้างหน้าบังอยู่หน้าร่างคุณหนูจวินทันที ดาบในมือเล็งไปที่ลู่อวิ๋นฉี

มือของลู่อวิ๋นฉีกดลงแล้ว แต่ศรไม่ได้หันออกข้างนอก แต่หันเข้าข้างใน

เสียงพรวดดังขึ้นทีหนึ่ง ศรหนักสี่ห้าดอกแทงเข้าด้านหน้าร่างของเขา เลือดฉับพลันทะลักออกมา เสื้อที่เดิมทีมีคราบเลือดเพียงประปรายพริบตาย้อมแดงฉาน

เขา…

คุณหนูจวินสองตาแข็งค้างเล็กน้อย

เขาคุกเข่าดังตึกล้มลงกับพื้นหายไปจากในสายตา

ทุกสิ่งนี้เกิดขึ้นรวดเร็วทั้งยังลื่นไหลราบรื่น

ทุกสิ่งนี่เดิมทีก็ต้องเป็นเช่นนี้…

“อารักขาฝ่าบาท!”

เสียงตะโกนพุ่งโจมตีประตูตำหนัก ผ่านทะลุพลิกพระราชวังทั้งหมด

ด้านนอกเสียงฝีเท้าเอะอะแห่แหนมา ในตำหนักถูกชนเปิด มีทหารองครักษ์พุ่งเข้ามา ไกลออกไปยังมีกำลังคนของกรมพระราชวังมากกว่าเดิมวิ่งมาอีก

เมื่อเห็นภาพด้านในตำหนักนี่ ทหารองครักษ์ทั้งหลายล้วนหน้าถอดสี

“อารักขาฝ่าบาท!”

“รีบจับกุม!”

เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นต่อ

ทหารองครักษ์ทั้งหลายมองฮ่องเต้ที่ถูกหนิงอวิ๋นเจาแบกอยู่หลังร่างกางมือนี้ปกป้อง แล้วมองกองทหารชิงซานที่กำลังใช้ดาบหอกเล็งลู่อวิ๋นฉีที่นอนอยู่บนพื้น จากนั้นเคลื่อนไหวทำตามโดยไม่รู้ตัว

ทหารองครักษ์กลุ่มแล้วกลุ่มเล่าแห่เข้ามา ดาบหอกเล็งไปยังลู่อวิ๋นฉี ล้อมปกป้องหนิงอวิ๋นเจากับฮ่องเต้

……………………………………….

……………………………………….

ทหารแถวแล้วแถวเล่าควบอาชาเร็วรี่ผ่านไปบนถนนใหญ่ เมืองหลวงวันนี้ทหารม้าวิ่งเคลื่อนไหวทำให้คนกังวลที่สุด ชาวบ้านบนถนนอดไม่ได้สีหน้าวิตก หรือชาวจินบุกมาอีกแล้ว?

แต่ทหารม้าเหล่านี้ไม่ได้มุ่งไปยังประตูเมืง แต่มุ่งไปยังพระราชวัง

ฮ่องเต้ด้านนั้นไม่ใช่มีกองทหารชิงซานอารักขาอยู่หรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้น?

ขอแค่ไม่ใข่ชาวจินมาก็พอ วันนี้ไม่มีเรื่องใหญ่กว่าชาวจินล้อมเมืองอีกแล้ว ชาวบ้านทั้งหลายโล่งอกแล้วคาดเดาเสียงเบาอย่างสงสัยใคร่รู้

ใช่แล้ว หลังจากผ่านเหตุการณ์ชาวจินล้อมเมืองพวกหนิงเหยียนก็คิดเช่นนี้เช่นกัน พวกเขาคิดว่าสำหรับชีวิตนี้ของพวกเขา ถูกชาวจินล้อมเมืองและต้านการโจมตีของชาวจินขยับดาบขยับหอกเห็นเลือดด้วยกันเป็นประสบการณ์ที่ตื่นตะลึงแล้ว

แต่เวลานี้ภาพตรงหน้าคืออะไรอีก?

“นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

พวกหนิงเหยียนยืนอยู่ในตำหนัก มองเลือดนองพื้นซากศพเกลื่อนพื้นแล้วส่งเสียงไม่ออก

ยังดีขุนนางใหญ่เหล่านี้แทบจะล้วนเคยปกป้องเมืองด้วยตนเองมาแล้ว เห็นภาพนองเลือดโหดร้ายมาก่อน เวลานี้จึงไม่ได้เป็นลมหรืออาเจียน แต่ถึงแม้เป็นเช่นนี้ แต่ละคนๆ ก็ตัวสั่นทั้งร่าง สีหน้าท่าทางเสียกิริยาเช่นกัน

แม้ถามว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่ความจริงในใจทุกคนล้วนรู้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น

แม้ได้เห็นครั้งแรก แต่เห็นจากหนังสือประวัติศาสตร์มานับครั้งไม่ถ้วนนานแล้ว

กบฏวังหลวง

นี่คือกบฏหวังหลวง!

นี่คือกบฏวังหลวงอย่างไม่ต้องสงสัย ประเด็นสำคัญคือผู้วางแผนกบฏวังหลวงคือใคร? แล้วเป้าหมายคือใคร?

“ฝ่าบาท!”

หนิงเหยียนพุ่งไปด้านหน้าฉากบังลมเป็นคนแรก

ขุนนางใหญ่คนอื่นก็โซเซเหยียบศพระเกะระกะตามไป

หนิงอวิ๋นเจาคุกเข่าข้างเดียวหลีกทางให้ฮ่องเต้ที่นอนอยู่หลังร่างเขาปรากฏตัวต่อหน้าขุนนางทั้งหลายตอนนี้

ฮ่องเต้ยังลืมพระเนตรอยู่ เพราะพวกหนิงเหยียนรุมเข้ามา พระเนตรยังกะพริบแล้ว

“ฝ่าบาทยังมีพระชนม์ชีพ!” มีขุนนางใหญ่ตะโกนด้วยความยินดี

มีพระชนม์ชีพก็พอ มีพระชนม์ชีพก็เล่าให้กระจ่างได้ว่าที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่นาทีต่อมาเขาก็พบว่าสภาพของฝ่าบาทผิดปกติ

“ฝ่าบาทไม่อาจตรัส ไม่อาจขยับได้แล้ว!” เขาตะโกนเสียงหลง

คำนี้ทำให้ขุนนางที่อยู่ที่นั่นหัวใจหนักอึ้ง สายตาของพวกเขามองไปทางหนิงอวิ๋นเจา มองไปทางคุณหนูจวิน มองไปทางกองทหารชิงซาน มองไปทางลู่อวิ๋นฉีที่ต้องศรล้มอยู่กับพื้นเป็นตายไม่ทราบซึ่งถูกกองหทารชิงซานล้อมอยู่ มองไปทางขันทีหยวนเป่าที่บนร่างร่มคันหนึ่งเสียบอยู่ตายงดงามอย่างแปลกประหลาด

ถ้าเช่นนั้นคนที่บอกได้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็มีเพียงพวกเขาแล้ว

พวกเขาเป็นผู้ประสบการกบฏวังหลวงกับตนเอง ฐานะความสัมพันธ์ของพวกเขาสลับซับซ้อน ที่แท้ใครเป็นผ้วางแผน แล้ววางแผนสิ่งใด? ที่สำคัญที่สุดคือที่แท้พวกเขา คำพูดที่ใครเอ่ยถึงเชื่อได้?

……………………………………….

……………………………………….

“ไม่ใช่กบฏวังหลวง”

เสียงของหนิงอวิ๋นเจาดังขึ้นในตำหนัก

“ขันทีกบฏกับลู่อวิ๋นฉีต่อสู้กันภายใน”

สายตาของทุกคนจับอยู่บนร่างเขา หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าโกรธเกรี้ยว ชี้สิ่งที่ระเนระนาดอยู่เต็มพื้น

“ขันทีหยวนเป่ากับลู่อวิ๋นฉีแย่งอำนาจกัน ต่อสู้กันด้วยอาวุธในตำหนัก”

การต่อสู้ในที่ลับในที่แจ้งระหว่างหยวนเป่ากับลู่อวิ๋นฉีทุกคนได้ยินมาบ้างจริงๆ ฮ่องเต้ตอนนี้ก็ยิ่งไว้วางพระทัยหยวนเป่าขึ้นทุกที ขันทีในมือหยวนเป่าขัดแย้งกับองครักษ์เสื้อแพรอยู่มากเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีขันทีที่ดื่มจนเมาโม้ว่าลู่อวิ๋นฉีจะกลายเป็นลูกน้องของหยวนเป่าอีก

ในสายตาของขุนนางทั้งหลาย ขันทีหยวนเป่ากับองครักษ์เสื้อแพรล้วนเป็นสุนัขชั่วเหมือนกัน สุนัขกัดกันขนหลุดติดปาก พวกเขาก็ดูเรื่องสนุกอย่างยินดี

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าสุนัขชั่วสองตัวนี้จะกัดกันรุนแรงเช่นนี้

สายตาของทุกคนมองบนพื้น ขันทีทั้งหลายที่ตายไปเหล่านั้น ศรหนักที่ร่วงกระจายเหล่านั้น แล้วมองศรบนร่างลู่อวิ๋นฉีอีก

ถึงกับกระทั่งศรหนักในกองทัพก็เอามาใช้ การต่อสู้ด้วยอาวุธนี่เหี้ยมพอตัวจริงๆ

แต่…

“มีฝ่าบาทอยู่ พวกเขาจะกล้าได้อย่างไร?” ขุนนางใหญ่คนหนึ่งตวาดเสียงเย็นชา

ใช่แล้ว ประเด็นสำคัญคือฝ่าบาท

อีกอย่างหากไม่ใช่ถูกทำร้าย ฝ่าบาทจะกลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?

“ดู พระศอของฝ่าบาทบาดเจ็บ!” ขุนนางคนหนึ่งตะโกนเสียงแหลม สีหน้าหวาดหวั่นโกรธแค้น

ผู้คนก้มศีรษะมองไป เวลานี้เปลี่ยนเป็นอาภรณ์บางของฤดูใบไม้ผลิแล้ว ผนวกกับเมื่อครู่กอดรัดฟัดเหวี่ยงอาภรณ์ของฮ่องเต้จึงเบี้ยว เผยพระศอออกมาข้างนอก บนนั้นรอยบวมแดงช้ำเขียวรอยหนึ่งเห็นชัดยิ่ง

นี่แสดงชัดว่าถูกแรงภายนอกกระทำ…

ไม่รู้ว่าแรกสุดเป็นใครสายตามองไปทางคุณหนูจวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง หลังจากนั้นคนมากกว่าเดิมก็มองไปหานาง

ฮ่องเต้ถูกทำร้ายก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ตอนนั้นมีฮ่องเต้พระองค์หนึ่งก็เกือบถูกนางกำนัลทั้งหลายรัดคอตาย

รัดคอฮ่องเต้จนตายย่อมต้องมีเหตุผล บ้างมีแค้นบ้างมีเคือง

ถ้าเช่นนั้นในหมู่คนเหล่านี้ คุณหนูจวินมีแค้นเคืองกับฮ่องเต้มากที่สุดแล้ว

อย่างไรนางก็กำลังยุ่งเรื่องการปกครอง โต้เถียงกับฮ่องเต้เรื่องการแต่งตั้งตำแหน่งผู้สืบทอดราชบัลลังก์

นอกจากนี้ที่นี่ยังมีกองหทารชิงซาน…คนของนาง

สายตาที่จับจ้องรวมอยู่บนร่างคุณหนูจวินยิ่งดุดันขึ้นทุกที ยิ่งมีขุนนางไม่น้อยก้าวเท้าเริ่มเคลื่อนขยับ

“นี่ข้าบีบเอง” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยพลางยื่นมือออกมา ทาบลอยๆ บนพระศอของฮ่องเต้อีกครั้ง

เขา?

สีหน้าของหนิงเหยียนยิ่งเคร่งแล้ว

อาจเพราะเห็นหนิงอวิ๋นเจาอยู่ที่นี่ หลังเข้าวังเขาจึงแทบไม่เอ่ยคำพูดอีก

ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร รวมถึงพูดอะไรล้วนยากเลี่ยงถูกคนสงสัย

สายตาของทุกคนมองไปยังพระศอของฮ่องเต้อีกครั้ง เห็นรอยมือบนนั้นพอดีกับมือของหนิงอวิ๋นเจาจริงๆ

หนิงอวิ๋นเจาก็มีความแค้นกับฮ่องเต้ด้วยหรือ?

เขาไม่มีความแค้นกับฮ่องเต้ แต่เขากับคุณหนูจวินคนนี้มีความปรารถนาอยู่…

ดังนั้นนี่คือการสมคบคิดหรือ?

“พวกท่านอย่าคิดมาก” หนิงอวิ๋นเจาสีหน้านิ่งสงบ รั้งมือกลับมาเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ประชวรน่ะ”

ประชวร?

คนที่อยู่ที่นั่นตะลึง

“พวกท่านคิดว่าทำไมฝ่าบาทไม่พบพวกท่านเล่า?” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ย “นั่นก็เพราะฝ่าบาทประชวรอยู่ที่สุสานหลวง”

อะไรนะ?

ขุนนางทั้งหลายมองหน้ากัน

จริงหรือหลอก?

“หากประชวร ทำไมไม่เรียกหมอหลวง?” มีขุนนางขมวดคิ้วตวาด

“เพราะฝ่าบาทคิดว่าภัยคุกคามจากชาวจินยังอยู่ หากให้ทุกคนรู้ว่าพระองค์ประชวร กลัวว่าจะทำให้หัวใจประชาชนสั่นคลอน ให้ชาวจินมีโอกาสให้ฉวย” หนิงอวิ๋นเจาไม่ลังเลสักนิดสีหน้าจริงใจเอ่ย

ก็เหมือนจะฟังขึ้น…

“หลายวันนี้อาการประชวรของฝ่าบาทยิ่งหนักขึ้นทุกที ดังนั้นฝ่าบาทจึงตัดสินพระทัยกลับพระราชวังอย่างลับๆ ให้ข้าใช้ชื่อของไทเฮาเชิญคุณหนูจวินมา” หนิงอวิ๋นเจาเอ่ยต่อพลางมองคุณหนูจวินด้านข้างทีหนึ่ง

นี่ก็ฟังขึ้น อย่างไรวิชาแพทย์ของคุณหนูจวินสูงส่งทุกคนล้วนรู้

แต่…

“แต่” หนิงอวิ๋นเจาฉับพลันเร่งเสียงดังขึ้น ทำให้ขุนนางทั้งหลายในตำหนักตกใจสะดุ้งโหยง

หนิงอวิ๋นเจาสีหน้าโกรธเกรี้ยวชี้ไปยังขันทีที่ตายอยู่บนพื้นรวมถึงลู่อวิ๋นฉีที่ถูกกองทหารชิงซานกับทหารองครักษ์ล้อมอยู่

“โจรสองคนนี้ ถึงกับฉวยโอกาสยามฝ่าบาทประชวรหนักต่อสู้กันจนฝ่าบาทตกพระทัย โชคดีคุณหนูจวินอยู่ที่นี่จึงรักษาได้ทันท่วงที…”

เขาสีหน้าเคร่งขรึมทั้งยังเศร้าเสียใจ

“โชคดีเป็นล้นพ้นรักษาชีวิตไว้ได้ แต่ฝ่าบาทกลับ…”

พูดจบพลันคุกเข่าค้อมกายตรงหน้าฮ่องเต้

“กระหม่อมมีความผิด กระหม่อมไร้ควาสามารถ”

หากเป็นเช่นนี้ เขาก็ไม่นับว่ามีความผิดจริงๆ…

แต่เรื่องนี้เป็นเช่นนี้จริงหรือ?

ฟังไปแล้วคล้ายมีเหตุมีผล แต่ก็น่าเหลือเชื่ออีก

“คุณหนูจวิน” ขุนนางคนหนึ่งมองไปหากคุณหนูจวิน สองตาเคร่งเล็กน้อย น้ำเสียงเย็นเยียบ “ฝ่าบาทประชวรเป็นอะไร?”

ในเมื่อบอกว่าประชวร อย่างไรก็ต้องมีชื่อสักอย่างกระมัง

มีชื่อแล้ว ทุกคนถึงจะสะดวกเทียบโรค

โรคจริงหรือโรคปลอม จะได้จำแนกให้ชัด

สายตาในตำหนักจับรวมอยู่บนร่างคุณหนูจวินอีกหน

คุณหนูจวินสีหน้านิ่งสงบ

“โรคลมสวรรค์” นางเอ่ย

โรคลมสวรรค์คืออะไร?

เป็นโรคที่นางพูดขึ้นมาส่งเดชหรือ? มีขุนนางอายุน้อยหลายคนคิดขึ้นมา ในฐานะบัณฑิต มากน้อยล้วนเคยอ่านตำราแพทย์มาบ้าง โรคเช่นนี้กลับไม่เคยได้ยิน

พวกเขาเตรียมจะจี้ถามอีกหน แต่จากนั้นก็เห็นขุนนางทั้งหลายที่อายุมากรอบด้านหน้าถอดสี

“โรคลมสวรรค์หรือ?” หนิงเหยียนเอ่ยขึ้น

แม้เป็นประโยคคำถาม แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่ได้หมายความว่าตั้งคำถาม ยิ่งเหมือนยืนยันมากกว่า

“ถึงกับเป็นโรคลมสวรรค์?” มีขุนนางคนอื่นเอ่ยเสียงดัง

นี่ก็ไม่ใช่การตั้งคำถาม แต่เป็นความตกตะลึง

“ฝ่าบาทเป็นโรคลมสวรรค์ด้วยได้อย่างไร?” ยิ่งมีขุนนางทั้งหลายร้องขึ้นวุ่นวาย

สิ่งที่พวกเขาตกตะลึงไม่ใช่ชื่อของโรคชนิดนี้ แต่เป็นโรคชนิดนี้เกิดขึ้นกับตัวฮ่องเต้

ทุกคนล้วนรู้จักโรคชนิดนี้หรือ?

ขุนนางอายุน้อยหลายคนตกตะลึงอยู่บ้าง เป็นพวกเขาหูตาคับแคบเกินไปแล้วหรือ?

อีกอย่าง ด้วย?

ความหมายของคำว่าด้วยย่อมเป็นมีคนอื่นเคยเป็นโรคชนิดนี้

ถ้าเช่นนั้นคนอื่นคนนี้เป็นใคร?

คุณหนูจวินหันศีรษะมองฮ่องเต้ที่นอนอยู่

“ใช่” แววตาของนางลึกล้ำเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทเหมือนกับอดีตองค์รัชทายาท ล้วนป่วยเป็นโรคลมสวรรค์”