“พระชายากโยซึล”
แต่ว่ากโยยองหาใช่คนอ่อนโยนอย่างสนมซาไม่ นางใช้นำเสียงในการพูดกับกโยซึลในครั้งนี้อย่างเข้มงวด
“ในพระราชวัง หน้าต่างมีหูประตูมีช่องนะเพคะ สิ่งใดที่ไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมจะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ราชสำนักแห่งนี้เราให้ความสำคัญกับยศถาบรรดาศักดิ์ยิ่งกว่าอายุ อีกอย่างมันอาจจะกลายเป็นประเด็นที่นำไปสู่ความเดือดร้อนให้กับองค์ฮวางแทจาได้ ขอทรงระวังการตรัสเช่นนี้ด้วยเพคะ”
กโยยองถึงขั้นกล่าวพลางโน้มคำนับลงแสดงความนอบน้อมไปด้วย ท่าทีของนางที่เชือดเฉือนราวกับมีดคมนั้นทำให้กโยซึลถึงกับงงงันจนปล่อยแขนหมดแรงแกว่งไปมา ยิ่งนางพูดถึงฮวางแทจา ก็ยิ่งทำให้กโยซึลตระหนักได้ หากมันจะทำให้ฮวางแทจาเดือดร้อนเลยล่ะก็ คงเป็นเรื่องต้องห้ามที่มิอาจละเมิดได้
“เข้าใจแล้ว เราจะไม่ทำเช่นนั้นอีก ได้โปรดลุกขึ้นเถิด”
กโยยองแสร้งทำเป็นโงหัวขึ้นมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ พลางเอามือตบเบาๆ ไปที่กโยซึล
“พระชายากโยซึลยังทรงอ่อนแอถึงเพียงนี้ ตัวหม่อมฉันเองก็จะคอยช่วยเหลืออย่างเต็มที่เพคะ หากมีสิ่งใดสงสัยเกี่ยวกับในวังแห่งนี้ ขอทรงอย่างเกรงพระทัย ขอทรงถามตัวหม่อมฉันได้เลยนะเพคะ”
“ขอบใจมาก กโยยอง”
กโยซึลที่กำลังรู้สึกใจหายวาบจากท่าทางของกโยยองที่ตัดบทตนในเรื่องการเรียกนางว่าพี่สาว เมื่อได้ฟังคำที่กโยยองกล่าวเมื่อครู่ นางลืมเลือนมันไปทันที ซึ่งก็เป็นไปตามที่กโยยองคาดเอาไว้
“เราอยากเป็นให้ได้อย่างกโยยองนัก เราจะฮึดสู้และตั้งใจให้มากขึ้น เพื่อเป็นพระชายาฮวางแทจาที่ไม่ทำให้กโยยองต้องรู้สึกอับอาย”
“พระชายากโยซึลจะต้องทรงทำได้สำเร็จแน่นอนเพคะ”
กโยซึลตั้งปณิธานแน่วแน่ พลางจ้องมองกโยยองด้วยสายตาชื่นชมไร้เดียงสาใด แม้กโยยองจะรู้สึกอ่อนเพลียเต็มที แต่เป้าหมายที่ควบคุมได้ง่ายเช่นนี้ นางก็เพิ่งเคยพบเคยเจอเช่นกัน สำหรับกโยยองแล้วนั้น กโยซึลก็ไม่ต่างจากหนูที่รอดชีวิตจากแมว เพราะแมวแค่เพียงเล่นสนุกกับมันเท่านั้น
“เช่นนั้น กโยยอง เรามีเรื่องสงสัยน่ะ เราถามได้หรือไม่”
“จะเป็นเรื่องใดก็ตาม ขอทรงถามได้ตามสบายเลยเพคะ ในฐานะที่หม่อมฉันเข้าวังมาก่อน จะถวายความช่วยเหลือพระชายาเต็มที่เลยเพคะ”
“ขอบใจยิ่งนัก ที่บอกเราเช่นนี้”
กโยซึลรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง นางหยิบกระดาษและพู่กันออกมาจากลิ้นชักของโต๊ะหนังสือ กโยยองซึ่งคิดว่ากโยซึลจะถามแค่เรื่องทั่วไป รู้สึกตกใจเป็นอย่างมากจากการที่กโยซึลเตรียมของมาอย่างเต็มที่เช่นนี้
“เราอยากรู้เกี่ยวกับความชมชอบของฝ่าพระบาทน่ะ”
“ความชมชอบหรือเพคะ”
นี่มันอะไรกันอีก กโยซึลที่ดูเหมือนจะควบคุมได้ง่ายกลับกลายเป็นคนที่คาดเดาได้ยากไปเสียได้ แต่ก็ยังดีที่นางยอมเปิดเผยและไม่ปิดบัง กโยซึลเริ่มพูดสาธยายให้กโยยองที่อึ้งจนถามย้อนไปเมื่อครู่อีกครั้ง
“อย่างที่เราเคยบอก เรากำลังพยายามอย่างเต็มที่ในฐานะชายาเอก ทุกวันเราไปเด็ดดอกไม้ที่สวยที่สุดจากสวนข้างหลังนำมาตากแห้ง และก็เขียนจดหมายให้ฝ่าพระบาททุกเช้า”
“ดอกไม้กับจดหมาย…ทรงส่งไปที่ตำหนักดงชอนทุกวันเลยหรือเพคะ?”
เสียงย้อนถามของกโยยองเรียวแหลมยิ่งนัก แต่ว่าทางฝ่ายกโยซึลกลับมองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย นางตอบออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“ใช่แล้ว แต่ตัวฝ่าพระบาทกลับไม่มีการตอบกลับใดๆ เลย เราทำสิ่งใดผิดไปหรือเปล่า หากเรารู้สักนิดว่าฝ่าพระบาททรงชื่นชอบอะไร เราจะไปได้ปรับปรุง แต่เราไม่รู้สิ่งใดเกี่ยวกับพระองค์เลย ทว่ากโยยองรู้จักกับฝ่าพระบาทมานานกว่าเรา เลยคิดว่ากโยยองน่าจะรู้อะไรมากกว่าเราไม่มากก็น้อย”
กโยซึลยิ้มอย่างอ่อนหวานและไร้เดียงไปพร้อมๆ กับการถามออกไป เมื่อได้เห็นใบหน้าใสซื่อเช่นนั้น กโยยองรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอขึ้นมาทันที
***
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น ณ ตำหนักดงบีแล้ว ลำคอก็ร้อนราวกับมีเม็ดทรายร้อนระอุอยู่ภายใน กโยยองถลึงตาใส่ตำหนักดงบีที่มองเห็นไกลๆ พลางขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“แม่หญิงเช่นนั้น เรารู้จักดีทีเดียว ต่อหน้าทำเป็นใสซื่ออ่อนแอ บ่อน้ำตาตื้น ที่ผ่านมาเรายอมอ่อนข้อให้มากไป”
กโยยองรู้สึกอึ้งเป็นอย่างมากกับเรื่องดอกไม้และจดหมาย คิดไม่ถึงเลยว่าลับหลังแล้วกโยซึลจะทำตัวราวจิ้งจอกได้ถึงเพียงนั้น มิหนำซ้ำยังมาถามไม่เข้าท่าเรื่องรสนิยมขององค์รัชทายาทกับตัวกโยยอง ที่ซึ่งถวิลหาเขาเป็นอย่างมากอีกด้วย ในใจจึงรู้สึกอลหม่านไปหมด แต่เมื่อครู่ตนก็ต้องรับปากว่าจะช่วยเหลือนางทุกเรื่องไปเสียอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กโยซึลทำได้เพียงแค่ต้องตอบเรื่องรสนิยมของบีพาอันอย่างละเอียดให้แก่กโยซึลเป็นเวลากว่าสองเค่อ (ประมาณ 30 นาที) หากโกหกไปก็กังวัลว่าในภายภาคหน้าตนก็อาจจะโดนเล่นงานได้ ด้วยเหตุนี้กโยยองจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากบอกไปตามที่รู้โดยละเอียด
ไม่ว่าจะเป็นเส้นทางเดินเล่นที่บีพาอันโปรด หรือเวลาที่มักจะออกไป สิ่งที่เพลิดเพลินใจและชาที่ชอบดื่ม ขนมที่ชอบกิน ไปจนถึงอาหารที่โปรดปราน แม้จะตอบไปอย่างสั้นๆ ตามที่กโยซึลถาม แต่ตัวกโยยองนั้นกลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นแมวซึ่งกำลังถูกหนูที่เคยดูแคลนกัดเข้าที่จมูกอย่างไรอย่างนั้น
“ที่ผ่านมานางอาจจะยังไม่ได้เริ่มลงมือจริงๆ เสียด้วยซ้ำ ที่เคยกล่าวว่าไม่สามารถรักฝ่าพระบาทได้นั้นมันเมื่อไรกัน อยากดูแคลนเราถึงเพียงนี้เชียวหรือ”
“ดูท่าพระชายารองจะทรงกริ้วมากนะเพคะ ใครในวังนี้กันที่บังอาจมาดูหมิ่นท่าน”
กโยยองซึ่งเดือดดาลและกำลังเดินพึมพำไปมา อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงพูดประจบประแจงปริศนา นางรู้สึกตกใจจนต้องหยุดปากลงทันที แต่ว่าคำพูดที่ออกจากปากไปแล้วจะเก็บกลับมาก็ไม่ได้เช่นกัน เหงื่อกาฬไหลรินจากภายในกระดูกสันหลังของตน กโยยองมองไปรอบๆ พลางเอ่ยถามด้วยเสียงสั่นเทา
“ท่านคือผู้ใดกัน”
“ให้ตายสิ น่าผิดหวังเสียจริง เป็นเพราะว่าไม่ได้ไปมาหาสู่กันนานสินะ ท่านถึงได้ลืมเสียงของเราไปได้”
สตรีในชุดหรูหราน่าชมปรากฏตัวขึ้นมาหลังต้นไม้ใหญ่โตซึ่งถูกปลูกไว้หลายต้นเรียงรายตามลำธารเล็กที่ไหลออกมายังส่วนนอกของวังตะวันออก บนศีรษะของนางประดับด้วยวิกผมที่มีเครื่องประดับและอัญมณีหรูหาเต็มไปหมด เสื้อที่คลุมเพียงไหล่และเปิดเผยเนินอกครึ่งนึงนั้นมีเนื้อผ้าที่งดงามจนเกือบสะท้อนแสงอาทิตย์ได้เลยทีเดียว
สตรีในวังที่ชอบแต่งกายวิบวับแวววาวเช่นนี้นั้นมีไม่มากนัก และนางคนนั้นก็คือโอรันนั่นเอง ในราชสำนักนั้นอย่างที่บอกว่าหน้าต่างมีหูประตูมีช่อง กโยยองเองก็เพิ่งสอนกโยซึลไปเมื่อครู่นี้เองก่อนจะเดินออกมา แต่ตัวเองก็ดันมาทำพลาดโดยการพูดออกไปเสียแล้ว แถมยังถูกได้ยินโดยสมาชิกคนนึงในราชวงศ์เสียด้วย ตนรู้สึกราวกับว่านี่คือความคิดของกโยซึล
“ชายารองกโยยองเข้าเฝ้าพระชายาแทจาเพคะ”
กโยยองโค้งคำนับโอรันด้วยสีหน้าหม่นหมอง โอรันสะบัดพัดกางออกเบาๆ พลางปิดบังริมฝีปากแดงฉานเอาไว้ ริมฝีปากของนางค่อยๆ ยกชันโค้งขึ้น