“ชายารองกโยยองเข้าเฝ้าพระชายาแทจาเพคะ”
กโยยองโค้งคำนับโอรันด้วยสีหน้าหม่นหมอง โอรันสะบัดพัดกางออกเบาๆ พลางปิดบังริมฝีปากแดงฉานเอาไว้ ริมฝีปากของนางค่อยๆ ยกชันโค้งขึ้น
“ทรงสวยสง่าเช่นเดิมเลยเพคะ องค์ชายารองแห่งฮวางแทจา”
“สบายดีหรือไม่เพคะ”
“บนบีสุขสบายเหมือนเคยเพคะ แต่ว่าตัวท่านชายารองทรงดูว้าวุ่นอยู่ไม่น้อยนะเพคะ”
โอรันถามกโยยองด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มและน้ำเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ น้ำเสียงอันฉอเลาะนี้นั้นมีความสามารถในการเจาะทะลุจุดที่อ่อนไหวได้ดีทีเดียว แต่ทางกโยยองก็พยายามอย่างเต็มที่ในการแอบซ่อนสีหน้าเอาไว้และโต้ตอบกลับไปอย่างสุภาพอ่อนน้อม
“พอดีมีเรื่องเล็กน้อยไม่ได้สำคัญมารบกวนจิตใจน่ะเพคะ หม่อมฉันจึงลืมตัวแล้วเผลอระบายอารมณ์ไป ขอโปรดทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องผิดพลาดนี้เถิดนะเพคะ”
กโยยองแก้ตัวราวกับว่ามันไม่ได้เกิดเรื่องอันใดขึ้นเลย นางพยายามทำให้ข้อผิดพลาดที่ตนเผลอพูดเสียงดังภายในวังจนอาจให้คำเบื้องบนระคายหูจบไป แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าโอรันนั้นแอบฟังตนบ่นคนเดียวมาตั้งแต่เมื่อไร
“เรื่องเล็กเพียงเท่านี้”
โอรันกล่าวพลางรวบพัดเก็บเข้ามา นางใช้ปลายพัดเคาะไปที่แก้มบริเวณใกล้ริมฝีปากของตนเบาๆ ตาที่มีรอยยิ้มกับปากที่กระตุกของโอรัน ช่างรบกวนประสาทของกโยยองอย่างไม่สิ้นสุด กโยยองพยายามหลบสายตาของโอรัน และพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ก้าวเข้าไปในเกมของนาง จนตัวกโยยองเองไม่อาจหยุดความตื่นกลัวได้เลย
ฉับ
โอรันฟาดพัดลงที่ฝ่ามืออีกข้างอย่างรวดเร็ว และทำอย่างนั้นซ้ำๆ ส่งเสียงดังฉับต่อเนื่องไม่หยุด เครื่องประดับลูกเล็กๆ ที่ปลายพัดก็พลอยสั่นกรุ๊งกริ๊งไปด้วย เสียงกรุ๊งกริ๊งนี้ทำให้กโยยองรู้สึกกดดันยิ่งนัก
“พระชายารองฮวางแทจา ทรงคิดว่าเรื่องของพระชายากโยซึลเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยหรือเพคะ”
กโยยองได้ฟังดังนั้นก็สูดหายใจเข้าไปเฮือกใหญ่ นางพยายามนึกย้อนว่าเมื่อครู่ไหล่ของตนสั่นไหวหรือไม่ ทว่ากับปฏิกิริยาเฉียบพลันนั้นยากนักที่จะตรวจสอบได้ กโยยองเม้มปากแน่นและแอบกัดริมฝีปาก
“ทราบได้อย่างไรกันเพคะ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับพระชายากโยซึล”
“โฮ โฮ โฮ พระชายารองนี่ช่าง…”
โอรันเดินเข้ามาหากโยยองพลางหัวเราะด้วยเสียงสูงปรอทแตก นางใช้ปลายพัดแตะเบาๆ ที่ไหล่
ของกโยยอง
“ที่นี่คือตำหนักดงบีมิใช่หรือเพคะ”
แม้โอรันจะทำตัวน่าชังเพียงใด แต่ทุกครั้งหลังจากพ่นคำพูดใดออกมาแล้ว นางจะเว้นระยะด้วย ราวกับว่ากำลังคอยดูปฏิกิริยาของกโยยองในระหว่างนั้น
“พระชายารองเพิ่งจะทรงออกมาจากตำหนักดงบี เราก็แค่เพียงคาดเดาเอาว่าจะต้องเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับที่นั่นเป็นแน่”
โอรันลากพัดขึ้นลงไปมาตามลาดไหล่ของกโยยอง กโยยองขมวดคิ้วเบาๆ แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์ออกไป เพราะนางคือสตรีที่ไม่แสดงสิ่งที่คิดอยู่ภายในออกไปโดยง่าย ทำให้แม้โอรันจะเพ่งพินิจพิจารณาใบหน้าของกโยยองอย่างไรก็ไม่อาจประเมินออกมาได้โดยง่าย
“เหตุใจจึงทรงตกใจมากเช่นนี้กันเล่าเพคะ”
กโยยองเองก็ยังคงดึงดันที่จะปิดปากเงียบ ไม่รีบเอื้อนเอ่ยตอบอะไรออกไป เพราะมีความเป็นได้สูงมาก ว่าเมื่อปริปากพูดอะไรไปแล้วจะทำให้เสียเรื่องได้ โอรันจ้องกโยยองพลางเริ่มพูดอีกครั้งด้วยริมฝีปากแดงจัด และคิดประดิดประดอยคำพูดมาทิ่มแทงคู่สนทนา
“ทำราวกับว่าทรงถูกจับได้ว่ากำลังพูดถึงพระชายากโยซึลในทางที่ไม่ดีอยู่เลยนะเพคะ”
น้ำเสียงฉอเลาะนี้ได้แทงทะลุเข้าไปข้างในจิตใจของกโยยอง เป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะไม่รู้สึกอันใดต่อคำพูดนี้ โอรันผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าตนนั้นเอาแต่หัวเราะราวกับว่าหยั่งรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง กโยยองไม่อาจที่จะยิ้มออกไปได้และฝืนเม้มปากอย่างหนัก นางถือว่าเก่งมากที่ทนได้ที่จะไม่กัดปากอย่างบ้าคลั่ง
กโยยองคุ้นเคยกับการวางตัวในราชสำนัก แต่ทว่าโอรันนั้นร้ายกาจกว่าตนเป็นเท่าตัว โอรันแทบจะไม่เผยไต๋ของตัวเองให้รู้เลย แถมยังเซ้าซี้กโยยองด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยอีกด้วย กโยยองแม้จะจ้องตากับโอรันตรงๆ แต่ก็ไม่อาจอ่านใจของโอรันออกได้เลย
“หม่อมฉันแค่พูดไปอะไรไปเรื่อยเปื่อย จะบังอาจทำเช่นได้อย่างไร…”
“เช่นนั้นเราคงฟังผิดไปเอง แต่ว่าเหมือนจะเป็นเรื่องที่ฟังดูน่าสนใจไม่น้อยทีเดียวเลยนะเพคะ”
ถ้าเกิดตนถามย้อนกลับไป เท่ากับว่าเข้าทางโอรันแน่แล้ว ถึงแม้ว่าโอรันจะได้ยินทั้งหมดแต่แรก อย่างไรก็ห้ามยอมรับเป็นอันขาด
“ใช่แล้วเพคะ ทรงน่าจะฟังผิดไป ฤดูใบไม้ผลิแดดแรงอาจทำให้เวียนศีรษะได้ แถมนกเองก็พากันร้องเอะอะเจี๊ยวจ๊าว”
“น่าเสียดายนะเพคะ ทางวังตะวันตกหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะไม่มีเรื่องเสียหายใดเกิดขึ้นที่ตำหนักดงบี”
“เรื่องเสียหายของวังตะวันออก หาใช่กงการอะไรของวังตะวันตกไม่เพคะ”
“ไม่เลวเลยนะเพคะ องค์ชายารอง”
โอรันหัวเราะด้วยเสียงสูงปรี๊ดใส่กโยยองผู้ไม่รดราวาศอกในการต่อปากต่อคำกับตน โอรันสยายพัดออก พลางสะพัดรัวข้างใบหน้าตน
“แต่หม่อมฉันได้ยินว่า ดวงตะวัน แห่งวังตะวันออกขึ้นแค่ที่ตำหนักดงบีที่เดียวนะเพคะ”
นี่คือคำพูดร้ายแรงที่ลบรอยยิ้มบนใบหน้าของกโยยองออกจนหมดสิ้น ชัดเจนเลยว่านี่คือการยั่วยุให้เกิดโทสะ ดวงอาทิตย์แห่งวังตะวันออกหมายถึงบีพาอัน เขาไปหาแต่เพียงกโยซึล และโอรันกำลังยั่วยุเป็นนัยถึงการที่กโยยองล้มเหลวในคืนส่งตัวเข้าหอ
“พระชายาแทจาโอรัน ทรงกล่าวแรงเกินไปแล้วนะเพคะ”
“อ้อ สงสัยจะเป็นเพราะเรารู้สึกสนิทสนมกับพระชายารองมากเกินไป แล้วก็มิได้รู้สึกดีกับตำหนักดงบีนัก”
“ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็เป็นคนของวังตะวันออก หม่อมฉันไม่ได้โง่เขลาถึงเพียงนั้นเพคะ”
การพูดอย่างตรงไปตรงมาของโอรันช่างเชือดเฉือนกโยยองเป็นอย่างยิ่ง โอรันแสร้งทำเป็นยิ้มอ่อนอีกครั้ง ในขณะที่บรรยากาศระหว่างทั้งสองค่อยๆ เริ่มตึงเครียด
“ว่าแต่…ทรงทราบหรือไม่เพคะ ว่าข้อบกพร่องของชายาเอกจะไม่ส่งผลเสียต่อชายารองหรอกนะเพคะ ไม่แน่อาจจะเป็นผลดีด้วยซ้ำ”
แม้จะยิ้มอยู่ก็ตาม แต่นี่ไม่ใช่คำพูดที่จะพูดไปยิ้มไปได้เลย มันเป็นถ้อยคำที่ร้ายแรงกว่าคำที่พูดเปรียบเปรยก่อนหน้านี้เสียด้วยซ้ำ โอรันกำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้เปิดเผยความในใจออกมาเช่นนี้ ที่จริงแล้วหากเป็นคนในราชสำนักแห่งนี้ ย่อมรู้ดีถึงความข้อเท็จจริงนี้อยู่แล้ว แต่การพูดออกมาจากปากอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้นั้นถือเป็นครั้งแรก
“ทางวังตะวันตก ขอเพียงแค่ให้ดวงตะวันเคลื่อนต่ำลงมาจากทางวังตะวันออกเป็นพอ หลังจากนั้นแล้วจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ ทว่าหากทิศทางของดวงตะวันเปลี่ยนไป มิแน่ว่าตำแหน่งของชายาเอกและชายารองก็อาจจะมีการเปลี่ยนด้วยมิใช่หรือเพคะ”
นี่คือครั้งแรกที่โอรันพูดออกมาตรงๆ โดยไร้ซึ่งความระมัดระวังใด แสดงให้เห็นถึงความมั่นใจที่นางมีต่อกโยยอง แต่แม้กโยยองจะหน้ามืดตามัวไปด้วยความหึงเพียงใด นางก็ไม่อาจแพร่งพรายเรื่องราวภายในวังตะวันออกกให้โอรันล่วงรู้ได้ เพราะมันไม่ใช่แค่เป็นปัญหาของกโยซึล หากแต่จะกระทบต่อบีพาอันด้วย ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ดีต่อตัวกโยยองเองเช่นกัน