บทที่ 233

แขก

“พอได้แล้ว เจ้าไม่ต้องเท้าความให้เสียเวลา เจ้าพอจะทราบที่มาของสินค้าในหอการค้าหยูเย่หรือไม่?” เมื่อเห็น จ้าวสำนักพิราบฟ้าพยายามบ่ายเบี่ยง จักรพรรดิเหิงก็รีบตัดบทและถามเข้าประเด็นในทันที

แม้เซี่ยงเฟ่ยหลินจะรู้จุดประสงค์ของจักรพรรดิเหิงเป็นอย่างดี แต่เขาก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจ ก่อนกล่าวขึ้นด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน

“เรียนท่านเหิงตามตรง สำนักข่าวของข้าน้อยได้ยินข่าวลือที่ว่าเย่เย่รู้แหล่งที่มาของสมบัติโบราณ และได้ตรวจสอบหอการค้าหยูเย่อยู่หลายหนแต่ก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ ข้าน้อยไร้ความสามารถขอองค์จักรพรรดิทรงอภัย” เนื่องจากสำนักข่าวพิราบฟ้าและหอการค้าหยูเย่ได้จับมือเป็นพันธมิตรกันอย่างลับๆ เซี่ยงเฟ่ยหลินจึงตัดสินใจไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆให้กับราชสำนัก

ทั้งสามได้ยินดังนั้น ก็มองหน้ากันไปมาและถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง มีเพียงมเหสีเจียงเหยียนที่ไม่ยอมลดราวาศอกลงง่ายๆ

“ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เจ้าจะอธิบายเกี่ยวกับสินค้าหายากพวกนั้นว่ายังไง? เจ้าได้ตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนแล้วอย่างงั้นรึ?”

เซี่ยงเฟ่ยหลินที่เหลือบไปเห็นสีหน้าคาดคั้นของพระมเหสี เขาก็รู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นอุบายของนาง

“เรียนพระมเหสี จริงอยู่ที่สำนักข่าวพิราบฟ้าเชี่ยวชาญในการสืบข้อมูล แต่เรื่องบางเรื่องก็เกินมือของข้าน้อย แต่จากการคาดการณ์ของข้าน้อย เย่เย่เป็นอัจฉริยะที่พันปีมีหน คนมีความสามารถ เช่นเขาก็ไม่แปลกที่จะมีผู้อุปการะให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง”

“ผู้อยู่เบื้องหลังงั้นรึ?” ตงหมิงหยูขมวดคิ้วขึ้นจนเป็นปมเล็กๆ แม้เขาจะไม่เชื่อคำพูดของเซี่ยงเฟ่ยหลินในทันที แต่ก็ไม่มีคำอธิบายไหนสมเหตุสมผลไปมากกว่านี้อีกแล้ว

หลังจากได้ยินคำตอบของเซี่ยงเฟ่ยหลิน พระมเหสีเจียงก็ยิ่งตั้งข้อสงสัย ก่อนถามจ้าวสำนักขึ้นด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “น่าประทับใจจริงๆ จ้าวสำนักข่าวพิราบฟ้ากล่าวยกย่องเย่เย่ราวกับรู้จักกันเป็นการส่วนตัว ท่านต้องการสืบเกี่ยวกับผู้ที่อยู่เบื้องหลังเย่เย่จนถึงกับต้องลดตัวลงไปคบค้าสมาคมกับเย่เย่เลยหรือนี่?”

“พระมเหสีล้อข้าเล่นแล้ว ที่ข้าน้อยกล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงแค่การคาดการณ์เท่านั้น อีกอย่างข้าน้อยกับเย่เย่เคยพบเพียงไม่กี่ครั้ง จึงไม่ทราบข้อมูลที่แน่ชัด ขอทรงอภัย” เซี่ยงเฟ่ยหลินหัวเราะเจื่อนๆออกมา พลางประสานมือหันหน้าไปทางพระมเหสีเจียง

ท่าทีของเซี่ยงเฟ่ยหลิน ทำให้จักรพรรดิเหิงและตงหมิงหยูเริ่มคิดกันไปว่าต้องมีผู้ที่คอยหนุนหลังเย่เย่อีกทีหนึ่ง และวรยุทธ์ของเขานั้นจะต้องสูงกว่าเย่เย่อย่างไม่ต้องสงสัย

“หมดธุระแล้ว เจ้ากลับไปได้” เมื่อเห็นว่าตงหมิงหยูไม่มีท่าทีจะถามต่อ จักรพรรดิเหิงก็โบกมือเป็นสัญญาณให้ทหารวังหลวงพาเซี่ยงเฟ่ยหลินกลับไป

“เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว” เซี่ยงเฟ่ยหลินประสานมือคำนับทั้งสาม ก่อนเดินออกจากท้องพระโรงออกไปพร้อมกับทหารเวรยาม

“ท่านตง!” พอเห็นตงหมิงหยูไม่รั้งเซี่ยงเฟ่ยหลินเอาไว้ มเหสีเจียงก็ชักสีหน้าอย่างไม่สบอารมณ์ แต่ตงหมิงหยูก็ยกมือขึ้นเป็นสัญญาณให้นางหยุด

“วันนี้พอแค่นี้เถอะ ข้าขอตัว” หลังพูดจบตงหมิงหยูก็ลดมือลง และเดินออกจากห้องโถงกลับไปยังจวนที่ราชสำนักเตรียมไว้ให้

จักรพรรดิเหิงลุกขึ้นคำนับตงหมิงหยู พอเห็นทัณฑ์สวรรค์เดินจากไปจนลับตา เขาก็หันมาตบหน้าชายาของตนด้วยความเกรี้ยวกราด

เพี๊ยะ!!

“โอ๊ย!” มเหสีเจียงที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็ล้มพับลงกับพื้น เอามือกุมแก้มเอาไว้ด้วยความเจ็บปวด ก่อนเงยหน้ามองพระสวามีของนางด้วยความหวาดกลัว

“อย่ามาเล่นลิ้นกับข้า ไม่อย่างนั้นสกุลเจียงของเจ้าจะต้องเสียใจ!” จักรพรรดิเหิงใช้มือข้างหนึ่งเชยคางพระชายา พลางพูดกับนางอย่างเย็นชา ก่อนเขาจะเดินจากไปทิ้งให้มเหสีเจียงอยู่ในโถงตามลำพัง

เจียงเหยียนกุมใบหน้าที่ชอกช้ำด้วยความเจ็บแค้น แต่นางกลับเอาความแค้นทั้งหมดไปลงกับเย่เย่และเซี่ยงเฟ่ยหลิน

“เซี่ยงเฟ่ยหลิน ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับ เย่เย่เลย” นางพึมพำพลางค่อยๆลุกขึ้นด้วยร่างที่สั่นเทา หายใจเข้าออกอย่างช้าๆ เรียกคืนความสุขุมกลับมา

ทันทีที่นางกลับไปถึงพระตำหนัก นางก็ออกคำสั่งให้สององครักษ์ เจียงอู๋และเจียงคุนตรวจสอบความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยงเฟ่ยหลินและเย่เย่อย่างละเอียด

เมื่อขี่หลังเสือครั้งหนึ่งแล้วย่อมลงได้ยาก เจียงเหยียนจึงทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะเย่เย่ และกอบกู้ศักดิ์ศรีของสกุลเจียงกลับมาอีกครั้ง

อีกด้านหนึ่ง เซี่ยงเฟ่ยหลินที่เพิ่งกลับมาถึงสำนักก็เอนตัวลงนอนบนเตียง พลางนึกย้อนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างช้าๆ

‘ไม่มีทางเลือกสินะ ยังไงข้าก็ต้องบอกเรื่องนี้ให้ท่านเย่ทราบ’ หลังจากไตร่ตรองได้พักนึง เซี่ยงเฟ่ยหลินก็ลุกขึ้นจากเตียงและเดินทางไปยังหอการค้าหยูเย่ในทันที

แต่เมื่อมาถึงจ้าวสำนักพิราบฟ้าก็เปลี่ยนใจอย่างกะทันหัน สั่งให้คนขับรถม้าหันบังเหียนกลับ

‘ท่านเย่ อภัยให้ข้าด้วย ข้าช่วยท่านเท่าที่ข้าทำได้แล้ว แต่ราชสำนักกับทัณฑ์สวรรค์ไม่ใช่สิ่งที่สำนักของข้าจะต่อกรได้’

ในฐานะจ้าวสำนัก เซี่ยงเฟ่ยหลินจึงคำนึงถึงพวกพ้องของตนเป็นสำคัญ เขาตัดสินใจตัดช่องน้อยแต่พอตัว ปลีกตัวออกมาและคอยจับตามองสถานการณ์อยู่ห่างๆ

เย่เย่ที่ยังคงเก็บตัวฝึกฝนวรยุทธ์อย่างขะมักเขม้น ก็ไม่ได้สนใจเสียงเกือกม้าที่ดังมากจากนอกหน้าต่าง อย่างไรก็ตาม วรยุทธ์ขั้นจิตพิสุทธิ์ก็ไม่ใช่ขั้นที่ก้าวข้ามไปได้ในชั่วข้ามคืน

เย่เย่รู้ดีว่าพลังปราณของเขายังไม่มากพอที่จะทลายกำแพงขั้นจิตพิสุทธิ์ได้ เขาจึงใช้เวลาที่เหลือทุ่มไปกับการฝึกเคล็ดวิชาหัตถ์เทวะต่อ เขาตั้งเป้าที่จะบรรลุเคล็ดวิชานี้ในระดับสูงให้ได้ในระยะเวลาอันสั้นเพื่อต่อกรกับศัตรูที่มีวรยุทธ์สูงกว่าโดยที่ไม่ต้องพึ่งพลังจากเกราะทมิฬ

เมื่อระดับวรยุทธ์ไม่คืบหน้าเท่าที่ควร ในใจลึกๆของเย่เย่กลับโหยหาสงครามเพื่อดูดกลืนจิตวิญญาณของเหล่าศัตรูมาเป็นอาหารของมังกรอสรพิษ

ในขณะที่เย่เย่ตกอยู่ในภวังค์ความคิดนั้นเอง เสียงเกือกม้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง แต่คนที่ก้าวขาลงจากรถในครั้งนี้ไม่ใช่ชายวัยกลางคน แต่เป็นสตรีรูปงามนางหนึ่ง หลังจากลงจากรถม้า นางก็ยืนเหม่อมองป้ายหอการค้าหยูเย่อยู่นาน จนไปเตะตาลู่จุ้นเข้า

“เอ่อ…แม่นาง ไม่ทราบว่ามีอะไรให้ข้าช่วยไหมขอรับ?” ลู่จุ้นกล่าวต้อนรับด้วยสีหน้างุนงง

เมื่อเสวี่ยหยูกวาดตามองไปรอบๆ ก็พบว่าลู่จุ้นเป็นพนักงานเพียงคนเดียวของที่นี่ ทำให้นางอดถอนหายใจให้กับความไม่ใส่ใจในรายละเอียดของเย่เย่ไม่ได้

“หอการค้านี้มีเจ้าดูแลอยู่คนเดียวงั้นรึ? ก่อนอื่นไปเรียกเถ้าแก่ของเจ้าว่า ข้าเสวี่ยหยูขอพบ”

“เสวี่ยหยู? หรือท่านก็คือเสวี่ยหยู ผู้จัดการหอการค้า หยูเย่สาขาหลักหลิงเฉิง? ขะ ข้าจะรีบไปเรียกเถ้าแก่มาพบเดี๋ยวนี้ขอรับ!”เมื่อลู่จุ้นได้ยินชื่อของนาง เขาก็รีบวิ่งขึ้นไปรายงานเย่เย่ในทันที…