บทที่ 234
การพบกันอีกครั้ง
“เสวี่ยหยู? เจ้ามาได้ยังไงเนี่ย?” เมื่อเย่เย่ตามลู่จุ้นลงมาข้างล่าง ก็ต้องตกตะลึงกับโฉมงามที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ทำไม ข้ามาไม่ได้หรือไง?” เสวี่ยหยูที่ได้ยินเย่เย่ทักดังนั้น ก็แสร้งทำเป็นงอน ทั้งๆที่ในใจตรงกันข้ามกันอย่างสิ้นเชิง นับเป็นครั้งแรกที่นางได้พบเย่เย่ตั้งแต่ที่เขาเดินทางมายังหวางตู้
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย เจ้าคงเดินทางมาเหนื่อย พักสักหน่อยเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปจองภัตตาคารสำหรับมื้อเย็นไว้ให้” เย่เย่รีบตอบด้วยสีหน้าเจื่อนๆ เขาพยายามปิดบังสีหน้าที่เป็นกังวลเอาไว้ และดันหลังนางขึ้นไปที่ห้องชั้นบน
เมื่อตกเย็น เย่เย่ เสวี่ยหยู และลู่จุ้นก็เดินทางไปรับประทานอาหารเย็นกันที่หอซู่เฉวีย ภัตตาคารเลื่องชื่อในหวางตู้ เย่เย่ได้จองห้องสำหรับพวกเขาทั้งสามเพื่อเป็นการต้อนรับการมาของเสวี่ยหยู
“ผู้จัดการเสวี่ย ข้าได้ยินชื่อของท่านมานาน วันนี้ได้พบนับว่าเป็นวาสนาของข้ายิ่ง จอกนี้ข้าดื่มให้ท่าน!” ลู่จุ้นดูยินดีกับการมาของแม่นางเสวี่ยมากกว่าตัวเย่เย่อีกเสียอีก นั่นก็เพราะเขาจะได้ไม่ต้องนั่งทำงานหลังขดหลังแข็งอยู่คนเดียวอีกต่อไป นอกจากนี้การได้แม่นางเสวี่ยมาช่วยอีกแรงจะทำให้เขาสามารถเจียดเวลาไปฝึกฝนวรยุทธ์ได้มากขึ้นอีกด้วย
หลังจากได้ยินคำยกยอปอปั้น เสวี่ยหยูก็อดยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่ได้ นางเหลือบตามองใบหน้าของเย่เย่และพูดขึ้น
“ที่จริงแล้วข้ามาหวางตู้เพื่อรายงานความคืบหน้าในการซ่อมแซมหอการค้าสาขาหลิงเฉิงเท่านั้นเจ้าค่ะ แต่ถ้าสาขาหวางตู้ขาดกำลังคน ให้ข้าช่วยอีกแรงนะเจ้าคะ” เสวี่ยหยูพูดพลางหยิบแฟ้มบัญชีบันทึกค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงรายงานความคืบหน้าในการซ่อมแซมหอการค้ายื่นให้เย่เย่ และมองหน้าเขาด้วยสายตาคาดหวัง เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ตั้งใจมาเพื่อรายงานเพียงอย่างเดียว
อย่างไรก็ตามเย่เย่ก็ไม่รู้ตัวว่าถูกจับจ้องอยู่ เขาใช้นิ้วชี้แตะที่ลิ้น และค่อยๆใช้นิ้วนั้นบรรจงตรวจสอบบัญชีทีละหน้าอย่างละเอียด ก่อนที่จะส่งมันคืนให้เสวี่ยหยูพร้อมพยักหน้า
“ไม่มีปัญหา เจ้าทำได้ดีมาก” เย่เย่เอ่ยปากชมเสวี่ยหยูราวกับเป็นพนักงานทั่วไปคนหนึ่ง ก่อนยกจอกขึ้นดื่มเพื่อเป็นการขอบคุณแก่นาง ตาข้างหนึ่งชายไปมองใบหน้าของนางเล็กน้อย
“สำหรับที่สาขาหวางตู้นี้ ข้าให้ลู่จุ้นเป็นคนจัดการ เสวี่ยหยูวันนี้เจ้าพักผ่อนที่หวางตู้ก่อนเถอะ วันพรุ่งค่อยเดินทางกลับ แล้วก็ฝากบอกซูฉีเจี่ยด้วยว่าไม่ต้องเป็นห่วงข้าสบายดี” เย่เย่พูดโดยที่ไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่ผิดหวังของเสวี่ยหยูเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าเสวี่ยหยูจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เย่เย่ก็รับรู้ถึงความรู้สึกของนางเป็นอย่างดี แต่ด้วยสถานการณ์ในหวางตู้ที่ไม่ค่อยสู้ดีนักเขาจึงไม่อยากให้นางอยู่ที่นี่นานเกินไป ดังนั้นเขาจึงทำเป็นไม่แยแสความรู้สึกของนางเพื่อให้นางกลับไป
“ข้าเข้าใจแล้ว…” เสวี่ยหยูก้มหน้าไปพักหนึ่งและตอบ เย่เย่ด้วยน้ำเสียงอ่อยๆ ก่อนตั้งหน้าตั้งตากินอาหารที่อยู่บนโต๊ะราวกับพยายามดื่มด่ำเวลาที่ได้อยู่กับชายผู้เป็นที่รักให้ได้นานที่สุด
ลู่จุ้นที่นั่งฟังอยู่เงียบๆได้พักนึง ก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างไม่พอใจ เขาลุกขึ้นคัดค้านการตัดสินใจของเย่เย่ในทันที “เถ้าแก่! ท่านจะปล่อยให้ท่านเสวี่ยกลับไปไม่ได้นะ แค่นี้ธุรกิจของพวกเราก็ซบเซามามากพอแล้ว ข้ายอมรับที่ผ่านมาข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการจัดการที่ดีต้องทำยังไง ข้าทำแบบสุกเอาเผากินมาโดยตลอด ข้าอยากได้คำชี้แนะจากแม่นาง ได้โปรดให้นางอยู่ต่อสักพักเถอะ!”
ได้ยินดังนั้นเย่เย่ก็มองลู่จุ้นด้วยความประหลาดใจ เขานึกไม่ถึงว่าลูกจ้างของเขาจะสะสมความอัดอั้นตันใจถึงขนาดนี้มาก่อน
“ถ้าอย่างนั้นให้ข้าลดค่าแรงเจ้าลงครึ่งนึงเอาไหมล่ะ?” เย่เย่สวนกลับอย่างไม่เกรงใจสหภาพแรงงาน
“ด้วยความเคารพต่อให้ท่านจ่ายข้าเท่าเดิม ข้าก็ไม่มีเวลาไปใช้อยู่ดี อีกอย่างถ้าได้แม่นางเสวี่ยมาช่วยอีกแรง ข้าก็จะเจียดเวลาไปฝึกวรยุทธ์ได้มากขึ้น ได้โปรดพิจารณาด้วย” เมื่อลู่จุ้นพูดจบเขาก็นั่งลง ปล่อยให้เย่เย่เป็นคนตัดสินใจ
พอได้ยินเหตุผลของลู่จุ้น เย่เย่ก็เอามือเท้าคางใช้ความคิดอยู่พักหนึ่ง มองหน้าเสวี่ยหยูที ลู่จุ้นที ก่อนจะหลับตาลง ถอนหายใจออกมาและพูดขึ้นแบบขอไปที
“เฮ้อ ช่วยไม่ได้ให้เสวี่ยหยูอยู่ที่นี่สักพักก็ได้ ถึงแม้เจ้าไม่อยู่ข้าจะสบายใจกว่านี้ก็เถอะ”
“สำเร็จ! เถ้าแก่เย่จงเจริญ!” เมื่อเห็นเถ้าแก่ยอมใจอ่อน ลู่จุ้นก็ดีใจจนออกนอกหน้า เขาลุกขึ้นซดเหล้าชั้นดีเข้าปากครั้งแล้วครั้งเล่า จนหน้าแดงแจ๋
เย่เย่ที่พ่ายแพ้อย่างหมดรูปให้กับความใจอ่อนของตัวเอง ก็ได้แต่ก้มหน้ามองโต๊ะ พลางคิดทบทวนถึงการตัดสินใจของตน
เสวี่ยหยูรู้สึกขอบคุณลู่จุ้นอยู่ในใจ และไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงแค่นางรู้ว่าจะได้อยู่ใกล้
ชิดกับเย่เย่ต่อนางก็มีความสุขยิ่งกว่าอะไรแล้ว
เมื่อทั้งสามกินดื่มกันอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกเขาก็เดินทางกลับหอการค้า หลังจากที่เย่เย่ส่งเสวี่ยหยูที่ห้อง เขาก็กลับไปที่ห้องของตนที่อยู่ข้างๆและตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนวรยุทธ์อีกตามเคย
ก๊อก ก๊อก
แต่ก่อนที่เย่เย่จะนั่งขัดสมาธิลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นสองครั้ง เมื่อเย่เย่เอื้อมมือไปเปิดประตู เขาก็พบเสวี่ยหยูยืนอยู่ด้านหน้า ใบหน้าสีแดงระเรื่อ กับท่าทีเขินอายของนางทำให้เขานึกย้อนถึงวันคืนเก่าๆในหลิงเฉิง
เย่เย่จดจ้องนางอย่างไม่ละสายตา จนทำให้สีหน้าของนางแดงก่ำขึ้นกว่าเดิม ทั้งสองยืนมองกันอยู่นาน จนเสวี่ยหยูพูดตัดบทขึ้น
“ยะ อย่าเข้าใจข้าผิดล่ะ! มีคนผู้หนึ่งอยากพบท่าน ข้าเลยมาเรียก” พอนางพูดจบนางก็รีบเบือนหน้าหนีด้วยอาการเขินอาย ก่อนที่ชายที่อยู่ด้านหลังจะปรากฏตัวขึ้น
ชายผู้นี้สวมหมวกกุ้ยเล้ยปิดบังใบหน้าเล็กน้อย พอเขาใช้นิ้วโป้งดันหมวกขึ้นอย่างช้าๆก็เผยให้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของชายวัยกลางคน
“นึกไม่ถึงว่าเพียงไม่กี่เดือนเจ้าก็เติบโตขึ้นถึงเพียงนี้ ข้าล่ะซาบซึ้งซะจริงๆ” เขาพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือเหยียนลี่หยางที่หายตัวไปหลังจากการระเบิดในการต่อสู้กับทัณฑ์สวรรค์กงเจิ้นที่หลิงเฉิงในครั้งก่อน
ทันทีที่เขารู้ว่าเย่เย่ยอมรับพลังของอาราม เขาก็รีบเดินทางมายังหวางตู้ โดยปลอมตัวเป็นหม่าฝูคนขับรถม้ารับจ้างที่พาเสวี่ยหยูมาส่งเพื่อปิดบังตัวตน
เมื่อทั้งสองได้พบกันแล้ว เสวี่ยหยูก็เดินฉากออกมาอย่างเงียบๆเพื่อไม่ให้เป็นการขัดจังหวะการ สนทนาของพวกเขา
“เจ้าเป็นใคร?” เย่เย่แสร้งเป็นไม่รู้จักเขามาก่อน
“ข้าไง ข้าเอง เหยียนลี่หยาง คนที่อุตส่าห์ใช้ไพ่ตายก้นหีบปกป้องเจ้าไง ลืมพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ของข้าไปหมดแล้วรึไง?” เหยียนลี่หยางยืดอกชี้นิ้วเข้าตัวอย่างภาคภูมิใจ
“เหยียนลี่หยาง? ข้าก็พอรู้จักคนสกุลเหยียนอยู่บ้าง แต่ไม่ยักจะคุ้นชื่อนี้เลย บางทีเจ้าน่าจะจำคนผิดแล้วล่ะ!” เมื่อได้ยินชื่อเหยียนลี่หยาง เย่เย่ก็ทำเป็นขมวดคิ้ว พลางทบทวนความจำอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ส่ายหน้าราวกับไม่เคยมีคนคนนี้อยู่ในเศษเสี้ยวของความทรงจำ…