ตอนที่ 682

The Divine Nine Dragon Cauldron

DND.682 – เจอสมรภูมิอีกครั้ง

 

“น่าเสียดายนักซือหยูมีพรสวรรค์อันน่าทึ่ง เขาอาจจะเป็นได้แม้กระทั่งผู้สืบทอด เขาจะได้ทุ่มเทชีวิตเพื่ออาณาจักรทมิฬ ข้ายังเคยคิดด้วยว่าอยากจะชี้แนะเขาด้วยตัวเอง”

 

  จ้าวสองถอนหายใจด้วยความเศร้า

 

  เขาพูดต่อ

 

  “แต่ก็เถอะการสละตัวของเขาแก่เฉินหลงจะทำให้นามของเขาสลักอยู่กับที่นี่ไปตลอดกาลทุกยุคสมัย”

 

  จ้าวหนึ่งถอนหายใจเช่นกัน

 

  “บุรุษล้วนต้องสละตัวเพื่อสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าอย่างน้อยก็ตอนที่ทวีปต้องเจอกับภัยครั้งใหญ่ ข้าเชื่อว่าถ้าเขารู้เรื่องนี้ในปรโลก เขาก็ต้องยอมรับมันได้แน่ ไปกันเถอะ”

 

  เมื่อแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนแผ่นดินผนึกทั้งเก้าของอาณาจักรทมิฬได้เปิดอีกครั้ง กองทัพนับแสนคนพุ่งออกมาราวกับน้ำหลาก จากนั้นพวกเขาก็พุ่งตรงไปยังทิศตรงข้ามกับทวีปเหนือ

 

  …

 

  ในมหาสมุทรรกร้างไร้ผู้คนวู่เหิงสวมหมวกไผ่ขมวดคิ้วมองดูก้นบึ้งมังกรเก้านรก เขามองทวีปเหนือด้วยความรู้สึกต่างๆ เขาเหยียบเกลียวคลื่นอย่างเงียบเชียบและจากไป

 

  …

 

  ที่เขตหยินหยูของทวีปณ ตำหนักหยินหยู

 

  เขตหยินหยูเคยถูกเซี่ยหวู่เข้ารักรานหลายสิ่งปลูกสร้างถูกทำลายลงไป ผู้คนก็หนีออกไปในตอนนั้น ตอนนี้มันเป็นเพียงสถานที่ไร้ผู้คน

 

  หน้ารั้วที่ล่มสลามและกำแพงอันทรุดโทรมที่ดูเหมือนกับที่อื่นผู้เฒ่าจิวมองชายแก่ที่กวาดเศษซากอย่างกระปรี้กระเปร่า เขาดูทุ่มเทกับการปัดกวาดอย่างมาก

 

  ชายแก่ผู้นี้ดูหนักแน่นมั่นคงไม่ต่างกับความเงียบสงบของเขตหยินหยูการมีอยู่ของเขานั้นแปลกมาก

 

  “ข้าจะเรียกท่านว่าคนดูแลตำหนักหยินหยูฟางไห่เซิง หรือข้าควรจะเรียกท่านว่า’ใต้เท้า’ ดีล่ะ?”

 

  ผู้เฒ่าจิวสูดหายใจเข้าลึกขณะที่จ้องมองฟางไห่เซิง

 

  ชายแก่หยุดกวาดและเงยหน้าแก่เฒ่าหากซือหยู่อยู่ที่นี่เขาจะจำชายแก่ในตำหนักหยินหยูผู้นี้ได้แน่นอน ซือหยูเคยรู้สึกแปลกๆว่าบางทีเขาอาจจะแข็งแกร่งเหมือนกับหยุนย่าสี

 

  “จะเรียกข้าอย่างไรก็ตามแต่เจ้าอดีตล้วนผ่านไปแล้ว”

 

  ฟางไห่เซิงยิ้มให้ผู้เฒ่าจิวอย่างสบายใจ

 

  “จิวหยวนโจวเจ้ามาหาข้าเพื่อสิ่งใดรึ?”

 

  จิวหยวนโจวคือชื่อที่แท้จริงของผู้เฒ่าจิว

 

  ผู้เฒ่าจิวขมวดคิ้ว

 

  “ทวีปเฉินหลงกำลังจะแตกพ่ายเช่นนี้ท่านจะทำตัวเหินห่างต่อไปงั้นรึ? อย่างไรท่านก็…”

 

  ฟางไห่เซิงยิ้มอย่างขมขื่นและพูดแทรก

 

  “มันคือวิบัติสวรรค์ที่ลิขิตเอาไว้ข้าไม่มีพลังที่จะทำอะไรหรอก…”

 

  ผู้เฒ่าจิวมองเขาอย่างลึกซึ้งและถอนหายใจสีหน้าของเขาหมดหวังและเศร้าหมอง

 

  “เข้าใจแล้วครั้งนี้ ข้ามาถามท่านเรื่องคนผู้หนึ่ง หลิงเสี่ยวเทียนเป็นใคร? ท่านอยู่ในทวีปมาเป็นหมื่นปี ท่านควรจะรู้นะ”

 

  ฟางไห่เซิงยังคงใจเย็นหนักแน่น

 

  “ข้ารู้ว่าเขาเป็นใครเขาก็เป็นคนอย่างข้า คนที่หนีจากภัยร้ายและซ่อนตัว เขาน่าจะทำสิ่งที่ต้องการเสร็จสิ้นแล้ว ดูเหมือนเขาจะออกจากทวีปเฉินหลงไปล้างแค้นที่ดินแดนอื่น”

 

  ฟางไห่เซิงไม่อธิบายรายละเอียดเพิ่มเติม

 

  ผู้เฒ่าจิวพยักหน้า

 

  “ถ้าเขาไม่ใช่ศัตรูก็ดีแล้ว”

 

  ตอนนั้นผู้เฒ่าจิวขมวดคิ้วและมองท้องนภา

 

  “พลังแปลกๆนี่มันอะไรกัน?พวกต่างโลกคิดจะทำอะไร?”

 

  ผู้เฒ่าจิวพูดและชี้ไปทางลูกไฟเล็กๆระหว่างทั้งสอง

 

  ฟางไห่เซิงไม่ตอบและหยิบเอาไม้กวาดมากวาดต่อไป

 

  “ข้าจะไปแล้ว…”

 

  ผู้เฒ่าจิวหันไปมองฟางไห่เซิงเป็นครั้งสุดท้าย

 

  “ท่านควรจะดูแลตัวเองให้ดี”

 

  ฟางไห่เซิงยังคงกวาดพื้นต่อไปแต่เพียงลำพัง

 

  …

 

  ที่ห้องลับในเมือง

 

  ซือหยูลืมตาขึ้นช้าๆเขาเหยียดมือและจับลูกไฟเล็กๆจากกลางอากาศ

 

  “พลังประหลาดอะไรเนี่ย…”

 

  ดวงตาของเขาไม่เหมือนกับคนทั่วไปเขาสามารถเห็นพลังแปลกๆที่อยู่ในกลางอาศได้อย่างชัดเจน ลูกไฟที่ลอยอยู่ในอากาศนี้จะดูดกลืนพลังรอบๆเข้าไป มันดูดพลังของเขาเมื่อสัมผัสกับฝ่ามือ แต่เขาก็ใช้พลังวิญญาณขัดขวางมันได้

 

  “ห้าศักดิ์สิทธิ์คงจะออกมาแล้วสินะ”

 

  ซือหยูยืนขึ้นช้าๆถ้ามองดูเขาดีๆจะพบว่าเขามีวงแหวนอ่อนๆอยู่หลังศีรษะ

 

  หวูอู๋ยี่ลืมตาอันสดใส

 

  “ข้าจะสู้กับท่าน”

 

  ซือหยูโบกมือปฏิเสธ

 

  “เจ้าจะต้องดูแลฉินเซี่ยนเอ๋อกับเซี่ยจิงหยูแทนข้า”

 

  เขาสาวเท้าออกไปจากห้องแสงตะวันส่องแก้มและดวงตาที่มืดบอด

 

  “ยินดีต้อนรับกลับท่านเจ้าพันธมิตร”

 

  เสียงผู้คนกู่ร้องพร้อมกัน

 

  คนจำนวนมากอยู่ทั้งในและนอกตำหนักพวกเขาต่างมารอต้อนรับซือหยู เสียงของพวกเขาสั่นคลอนไปถึงเมฆา

 

  “พวกเจ้าเตรียมทำสงครามเรียบร้อยแล้วสินะ?”

 

  ซือหยูถามพวกเขา

 

  “ใช่แล้วแม้จะตาย พวกข้าก็ไม่เสียใจ!”

 

  จิตวิญญาณนักสู้ยังไม่ตายไปจากหัวใจของพวกเขาจิตวิญญาณของคนเหล่านี้สาดเข้ามาที่ซือหยู

 

  พวกเขาตัดสินใจแล้วว่าจะต่อสู้เพื่อทวีปและเพื่อมิตรสหายครอบครัว ลูกหลาน และผู้ให้กำเนิด พวกเขาจะสร้างอนาคตอันสดใสแก่คนข้างหลัง

 

  “ดี!ต่อให้ตายก็อย่าได้โศกเศร้า ถ้าคิดได้เช่นนี้ ยังไงเราก็ชนะ!”

 

  ซือหยูลอยอยู่กลางอากาศเสียงของเขาดังก้องถึงทุกคน

 

  “เราจะต้องชนะ!”

 

  พวกเขาตะโกนพร้อมกันเสียงของพวกเขายิ่งใหญ่ราวกับคลื่นยักษ์ จิตใจของพวกเขาไม่ต่างกับเพลิงที่ลุกไหม้!

 

  “ถ้าอย่างนั้นก็เตรียมต่อสู้กันเถอะ!สู้เพื่ออนาคตของพวกเรา”

 

  แววตาซือหยูเป็นประกาย

 

  “ถึงตายก็ไม่เป็นไรยังไงพวกเราก็จะสู้กับมัน!”

 

  ดวงตาอันหนักแน่นของเหล่านักรบสดใสและเป็นประกายแม้ว่าสงครามจะยังไม่มาถึง

 

  คนนับหมื่นกระจายตัวพวกเขาไปยังจุดตั้งทัพและเตรียมพร้อมรับมือกับกองทัพที่ยังมาไม่ถึง เหล่าพลธนู พลกระบี่ ผู้บ่มเพาะพลัง และหน่วยสอดแนม ทุกคนประจำที่เรียบร้อย พวกเขากลั้นหายใจและตั้งสมาธิรอให้การต่อสู้มาถึง

 

  นี่จะเป็นการต่อสู้ชี้ชะตาเฉินหลงและมันเป็นการต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด การต่อสู้นี้จะชี้ชะตาของทุกสิ่งในทวีป

 

  พลังแปลกๆในอากาศเริ่มหนาแน่นขึ้นขณะที่ศัตรูใกล้เข้ามาผ่านไปหนึ่งชั่วยาม หน่วยสอดแนมหนึ่งคนที่ส่งออกไปมิได้ปรากฏตัวกลับมา…

 

  เมื่อผ่านไปสองชั่วยามหน่วยสอดแนมอีกคนถูกส่งไป เขาไม่ได้กลับมาเช่นกัน เมื่อผ่านไปสามชั่วยาม พวกเขาส่งหน่วยสอดแนมไปอีกคน แต่เขาก็ไม่กลับมา

 

  ผ่านไปหกชั่วยามพวกเขาส่งหน่วยสอดแนมไปหกคน แต่ก็ไม่มีใครที่กลับมาได้เลย หน่วยสอดแนมที่ส่งไปทุกคนเป็นกึ่งภูติที่มีแก้วสามดวงที่เชี่ยวชาญการซ่อนตัวและหลบหนี แต่ไม่มีใครเลยที่กลับมาได้

 

  ตอนนี้บ่ายแล้วแต่ทุกคนที่นี่รู้สึกราวกับว่าท้องฟ้าเริ่มมืดลง ราวกับว่ามีเงาที่มองไม่เห็นโอบล้อมพวกเขาเอาไว้

 

  แม้ว่าระยะควรจะห่างกันมากนักแต่ก็ไม่มีหน่วยสอดแนมคนไหนรอดกลับมาเลย นั่นแสดงให้เห็นถึงพลังของศัตรูที่ทำให้พวกเขาอึดอัดใจ

 

  ผ่านไปอีกสามชั่วยามท้องนภามืดลง ยามวิกาลผลัดเปลี่ยน ดวงตะวันลับขอบนภา ดวงดาราเริ่มส่องแสง

 

  แสงจันทราส่องสว่างจากสวรรค์แสงเหล่านั้นสาดสะท้อนชุดเกราะของเหล่าทหาร…ภาพเหล่านี้หยุดนิ่งในกาลเวลา

 

  ซือหยูเบิกตาโพลง

 

  “พวกมันมาแล้ว”

 

  มีจุดดำบนท้องฟ้าเข้ามาใกล้พวกเขาอย่างรวดเร็ว

 

  เสียงกรีดนภาอันรวดเร็วแสดงถึงพลังของพวกศัตรู

 

  แต่พวกเขาก็มิใช่ศัตรูแต่เป็นศีรษะทั้งหกที่ถูกแทงด้วยหอก หน่วยสอดแนมทุกคนถูกสังหาร! ไม่มีใครที่หนีรอดมาได้!

 

  กร๊อบ!

 

  เสียงคนกำหมัดแน่นพวกเขาโกรธแค้น โศกเศร้า และเจ็บปวด พวกเขากระหายการล้างแค้น!

 

  ฟึ่บ!

 

  มีคนบินเข้ามาเขาสวมเกราะที่ดูแปลกตา ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ เขามีหอกอยู่หกเล่ม เขาคือคนที่ขว้างศีรษะหน่วยสอดแนมกลับมาไม่ผิดแน่!

 

  “ข้าไม่อยากรู้ว่าผู้นำของเจ้าคือใครจงฟังและยอมจำนนซะ เจ้ามีสองทางเลือก…จะถูกล้างสังหารหรือยอมแพ้ ข้าให้เวลาเจ้าตัดสินใจแค่สามลมหายใจเท่านั้น”

 

  ชายหนุ่มร่างกำยำมองพวกเขาด้วยสายตาเยือกเย็นและพูดด้วยน้ำเสียงเวทนาเขากำลังดูถูกทุกคนที่นี่

 

  ซือหยูมองเขาอย่างเยือกเย็นและถาม

 

  “หน่วยสอดแนมขอให้เจ้าไว้ชีวิตหรือไม่?ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับ”

 

  “หุบปากแล้วเลือกมา!หนึ่ง…”

 

  ชายหนุ่มร่างกำยำมองพวกเขาและเริ่มนับถอยหลัง

 

  ซือหยูยังคงใจเย็น

 

  “เจ้าเป็นคนบั่นคอพวกเขาใช่หรือไม่?ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะถือว่าเจ้ายอมรับ”

 

  ซือหยูยืนขึ้นช้าๆ

 

  “และ…คำถามสุดท้าย…เจ้าใช่พลังไปแค่หนึ่งในสามใช่หรือไม่?ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าจะถือว่าเจ้าตอบตกลง”

 

  “สาม…เจ้าหมดเวลาแล้ว”

 

  ชายหนุ่มร่างกำยำลืมตาและมองพวกเขาอย่างดุร้าย

 

  “ห้าศักดิ์สิทธิ์ให้โอกาสพวกเจ้าได้ยอมแพ้ข้าต้องขอโทษจริงๆ แต่ชะตาพวกเจ้าพินาศแล้ว”

 

  เมื่อเขาพูดชายร่างกำยำหันและบินออกไป

 

  แคร้ง!

 

  เสียงบางสิ่งสะท้อนมาจากด้านหลังเขาหันไปมองด้วยหางตาและพบว่าผู้นำผมสีเงินได้คว้าหอกที่แทงทะลุศีรษะทั้งหก

 

  เขาวางศีรษะลงและเช็ดคราบโลหิตทิ้งและชี้หอกออกไป

 

  “คิดจะจู่โจมข้ารึ?อย่ามาเสียเวลาเลย ข้าจะกลับไปรายงานภารกิจ เจ้าใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าเสียเถอะ มันจะเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตเจ้า”

 

  ชายร่างกำยำละสายตาจากซือหยูและบิืนออกไป

 

  ไม่มีเสียงใดมาจากด้านหลังยกเว้นเสียงอันเยือกเย็นของชายหนุ่มผมสีเงิน

 

  “เจ้าไม่ต้องกลับไปรายงานหรอกข้าจะช่วยเจ้ารายงานให้พวกมันเอง”

 

  ฟึ่บ!

 

  เสียงบางอย่างบินออกไปชายร่างกำยำไม่หันไปมองก่อนจะพลิกฝ่ามืออย่างรวดเร็วปานสายฟ้า และหยิบหอกเล่มหนึ่งขว้างใส่ซือหยูโดยไม่มองเขา

 

  “บอกแล้วไงว่ามันเสียเวลาพลังของข้าไม่ใช่สิ่งที่พวกบ้านนอกอย่างเจ้าจะมาเทียบได้!”

 

  ปั้ง!

 

  เสียงระเบิดดังก้องชายหนุ่มร่างกำยำยิ้มที่มุมปาก

 

  “เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว…”

 

  ฟึ่บ!

 

  เสียงบางอย่างที่บินออกมายังคงดังต่อไปมันดูเหมือนไม่ได้ช้าลงแม้แต่น้อย

 

  “หืม?”

 

  ชายหนุ่มหันกลับไปมองและเบิกตากว้างเมื่อเห็นหอกที่เพิ่งจะแหลกเป็นเสี่ยงๆมันไม่ใช่หอกของชายหนุ่มผมสีเงิน แต่เป็นหอกของเขาที่แหลกละเอียด!

 

  เขาหยิบหอกมาอีกสองเล่มขว้างไปยังหอกของซือหยูแต่พวกมันก็ถูกบดขยี้จนแหลก! ดูเหมือนหอกของซือหยูจะมีพลังมหาศาล

 

  “อ๊าก!เป็นไปได้ยังไง? เจ้าแกร่งขนาดนี้ได้ยังไง?”

 

  สีหน้าไม่แยแสของเขาแทนที่ด้วยความตกตะลึงมันไม่เหลือความหยาบคายแบบเดิมอีกแล้ว

 

  เขาขว้างหอกอีกสี่เล่มแต่ทั้งหมดก็พังทลายเพราะหอกของซือหยู หอกของซือหยูแทงทะลุจุดกำเนิดพลังของเขา เขากรีดร้องออกมาไม่หยุด ใบหน้าเขามืดหมองลง

 

  ร่างกำยำของเขาร่วงจากฟ้าราวกับผีเสื้อที่ไร้ปีกซือหยูก้าวไปข้างหน้าและจับปลายหอกเอาไว้

 

  ซือหยูใช้มันปักร่างของชายร่างกำยำให้ลอยอยู่บนฟ้าในตอนนั้น ชายหนุ่มร่างกำยำรู้ตัวแล้วว่าเขาได้มาเจอกับคนที่น่ากลัว…ยอดฝีมือที่ทรงพลังของจริง!

 

  “เดี๋ยวก่อนเรายังทำสงครามกันอยู่ คนส่งสารไม่ควรจะถูกฆ่า! ถ้าเจ้าฆ่าข้า เจ้าจะทำลายกฎนี้!”

 

  ชายหนุ่มพูดด้วยความเจ็บปวด

 

  แววตาของซือหยูไม่แยแส

 

  “ทูตบ้านไหนส่งหัวคนมาให้ข้า?เจ้าคิดเรื่องกฎพวกนั้นตอนที่ฆ่าหน่วยสอดแนมของเราหรือไม่?”

 

  เขารู้สึกว่าซือหยูต้องการฆ่าเขาจริงๆเขากระวนกระวายอย่างมาก

 

  “เดี๋ยวก่อน!ข้าไม่ใช่คนฆ่าพวกเขา! ข้าไม่ได้แตะมันเลยด้วยซ้ำ! มันเป็น…”

  ซือหยูส่ายหน้าและพูดแทรก

 

  “ข้าถามเจ้าทุกอย่างแล้วแต่เจ้าไม่ตอบอะไร นั่นก็ไม่ต่างจากการยอมรับ ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ควรกับการให้อภัยของข้า ฆ่าเจ้าไปก็ไม่ผิดอะไรหรอก”

 

  เขาพูดต่อ

 

  “ข้าถามไปแล้วว่าเจ้ายังใช้พลังหนึ่งในสามหรือไม่เจ้าไม่ตอบ แสดงว่าเจ้าใช้ไปเท่านั้น ข้าก็เลยใช้พลังหนึ่งในสามกับเจ้า เพราะอย่างนั้น มันถึงยุติธรรม”

 

  ชายหนุ่มหวาดกลัวอย่างมากเขาหน้าซีด

 

  “อย่านะ..”

 

  ซือหยูทำเป็นหูตึงและขยับแขนหอกลอยออกไปดั่งดาวตก ร่างของชายหนุ่มที่เสียดสีกับอากาศนั้นร้อนจนติดไฟ

 

  ลูกไฟขนาดใหญ่ลอยไปหลายสิบลี้ด้วยความเร็วที่เหนือกว่าหอกที่เขาเคยขว้างมาก่อนนับสิบเท่า