บทที่ 526 หยอดคำหวาน ครั้งแรกของการสนทนา

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ

นางสนมแพทย์อัจฉริยะ บทที่ 526 หยอดคำหวาน ครั้งแรกของการสนทนา
“เฟิ่งชิงเฉินข้าชอบเจ้า ข้าชอบเจ้ามาก ชอบมากจริงๆ”

กล่าวกันว่าสิ่งที่ผู้ชายพูดตอนอยู่บนเตียงนั้นไม่น่าเชื่อถือทั้งหมด แต่สิ่งที่เสด็จอาเก้าพูดนั้น เฟิ่งชิงเฉินเชื่อทั้งหมด แม้จะมีเพียงส่วนหนึ่งที่เป็นความจริงก็ไม่เป็นไร

หลังจากที่ได้ยินเช่นนั้น เฟิ่งชิงเฉินก็ยังคงจำไม่ลืม “ตงหลิงจิ่ว ข้าชอบท่าน เฟิ่งชิงเฉินชอบท่าน และชอบแค่ท่านมาโดยตลอด”

เฟิ่งชิงเฉินกอดเสด็จอาเก้าและซุกศีรษะไว้ในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้า นางมีความสุขมากในวันนี้

ไม่นานนัก เสด็จอาเก้าก็รู้สึกเปียกที่หน้าอกแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงแค่ตบหลังเฟิ่งชิงเฉินเบาๆเพื่อให้นางรู้ว่านางมีเขาอยู่เคียงข้าง!

เชื่อว่าอีกไม่นานเฟิ่งชิงเฉินจะพูดว่านางรักเขา

ความรักเป็นความรู้สึกมากกว่าความชอบ

ภายใต้การปลอบประโลมเสด็จอาเก้า เฟิ่งชิงเฉินก็ค่อยๆสงบลง เมื่อเห็นเฟิ่งชิงเฉินสงบลงแล้ว เสด็จอาเก้าก็ลองทดสอบ “ชิงเฉิน ในเมื่อเจ้าชอบข้า เจ้าไม่ได้โกรธข้า ถ้าเช่นนั้นวันนี้เจ้าอยู่กับข้าเถิด”

หากเฟิ่งชิงเฉินเงยศีรษะขึ้นคงเห็นสีหน้าอันหน้าสมเพชของเสด็จอาเก้า

“ไม่…” เฟิ่งชิงเฉินผลักเสด็จอาเก้าออกทั้งน้ำตา และความรักที่ไม่มีวันล่มสลาย แต่ความรักสำหรับนางนั้นมีเหตุผล ขณะที่นางพูดออกไปนางไม่มีความสับสน

ถ้านางชอบเสด็จอาเก้า นางก็จะไม่ทำลายอนาคตตัวเองเพียงเพราะคำว่าชอบ ยิ่งอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่ ก็จะยิ่งสร้างปัญหาให้แก่นางมากขึ้นเท่านั้น เมื่อใดก็ตามที่มีคนพูดถึงเรื่องนี้ นางแทบพูดไม่ออก

ป๊าบ… เสด็จอาเก้าตีบั้นท้ายของเฟิ่งชิงเฉินแล้วพูดอย่างเศร้าๆ “เฟิ่งชิงเฉิน เจ้าน่ารังเกียจยิ่งนัก”

“ตงหลิงจิ่ว ท่านตีข้า?” เฟิ่งชิงเฉินหน้าแดงพร้อมกับปัดมือเสด็จอาเก้าออก ไม่มีใครเคยตีบั้นท้ายนางมาก่อน น่าอายยิ่งนัก

“นี่เรียกว่าตีหรือ?” เสด็จอาเก้าตีบั้นท้ายเฟิ่งชิงเฉินอีกครั้งจนบั้นท้ายของนางแดงเท่ากัน เสด็จอาเก้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก เขาต้องการให้รอยแดงนั้นเหมือนรอยประทับหงส์ฟ้าซึ่งเป็นสัญลักษณ์ตระกูลเฟิ่งหลี

“นี่ยังไม่ถือว่าตีหรือ ตงหลิงจิ่ว ข้าโตมาขนาดนี้ไม่มีใครเคยตีบั้นท้ายข้า ท่านล่วงเกินข้า ท่านช่างกล้าเหลือเกิน” เฟิ่งชิงเฉินโกรธ ดวงตาของนางเบิกกว้าง

เสด็จอาเก้ากางมือออกด้วยใบหน้าอันธพาล “ถ้าเจ้าบอกว่าข้าตีก็คือตี งั้นทำอย่างไร? หรือเจ้าจะตีข้ากลับ?”

“ท่าน…ท่านทำเกินไปแล้ว” เฟิ่งชิงเฉินผลักเสด็จอาเก้า เสด็จอาเก้าเกือบล้ม โอบเอวเฟิ่งชิงเฉินไว้ในอ้อมแขน เฟิ่งชิงเฉินเม้มริมฝีปากเบาๆ “นี่ถึงเรียกว่าการล่วงเกิน สาวน้อย ยิ้มให้ข้าหน่อย”

“ไปให้พ้น” ความโกรธที่เพิ่งถูกตีหายไป เฟิ่งชิงเฉินยิ้มและผลักบุคคลนั้นออกไป แต่ในที่สุด นางก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของเสด็จอาเก้า

ทั้งสองกลิ้งตัวอยู่บนเตียง แล้ว… ไม่มีใครพูดอะไรเลย ทั้งสองคนนอนอยู่เงียบๆ บรรยากาศอันอบอุ่นอาจทำให้คนลุ่มหลง

หลังจากนอนซักพัก ในที่สุดเสด็จอาเก้าก็เคลื่อนไว้ “อย่านอนต่อเลย ข้าจะพาเจ้าไปอาบน้ำ หลังจากอาบน้ำแล้ว เจ้านอนได้อีกครึ่งชั่วโมง”

“ได้” เฟิ่งชิงเฉินโอบแขนรอบคอของเสด็จอาเก้า และพูดอย่างอารมณ์ดี

ในห้องอาบน้ำ น้ำร้อนเตรียมไว้นานแล้ว และทันทีที่เฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้าออกไป ก็มีคนมาจัดเตียง เมื่อเฟิ่งชิงเฉินและเสด็จอาเก้ากลับมา หลังจากที่ผ้าปูที่นอนสะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อยก็มีความสุข กลิ่นมัสกี้ของหญ้าฝรั่นถูกแทนที่ด้วยกลิ่นไผ่หอมสง่างาม

เฟิ่งชิงเฉินหาว “คนของท่านมีความสามารถจริงๆ คนที่ไม่รู้ว่าว่าท่านมีความสุข ไม่ได้เป็นอะไรก็ต้องไปหาเครื่องหอม”

“ข้าไม่มีอะไรทำทั้งวัน ข้าก็เลยคิดจะขโมยเครื่องหอมงัย” เสด็จอาเก้าวางเฟิ่งชิงเฉินไว้บนเตียง หยิบยาที่อยู่ข้างๆ แล้วเตรียมสัมผัสเฟิ่งชิงเฉิน

“ข้าทำเอง” เฟิ่งชิงเฉินอายมาก ขาของนางแนบชิด ไม่ยอมให้เสด็จอาเก้าทายาให้ เสด็จอาเก้าจะไม่มีวันปล่อยโอกาสเช่นนี้ และพูดอย่างจริงจังว่า “อย่ากลัวเลย ถ้าข้าทำให้เจ้าเจ็บข้าจะปลอบประโลมเจ้า ข้าจะทาเบาๆ”

หลังจากพูด เขาใช้มือกดขาของเฟิ่งชิงเฉิน จับขาของเฟิ่งชิงเฉินแยกออก ลดศีรษะลงและจ้องไปที่ร่างกายของเฟิ่งชิงเฉินด้วยแววตาเร่าร้อน

“หลับตา” เสด็จอาเก้ามองเฟิ่งชิงเฉินอย่างไม่สบายใจนัก และนางก็ผลักเขาออกไปไม่ได้ เขาจึงต้องลากผ้าห่มมาปิดหน้าเขา และแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรเลย

สายตาของเสด็จอาเก้าเร่าร้อนมากจน นางไม่สามารถทนได้ จนต้องยอมจำนน และปล่อยให้เสด็จอาเก้าทำทุกอย่างที่ต้องการ

“เจ้าอยากหายใจไม่ออกหรือ?” เสด็จอาเก้าวางยาลงแล้วดึงผ้าห่มออกจากหน้าเฟิ่งชิงเฉิน เฟิ่งชิงเฉนไม่ยอมให้เขาดึง: “เร็วเข้า รีบทา หายใจไม่ออกก็เรื่องของข้า”

“ตกลง ข้าจะรีบ” เสด็จอาเก้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปล่อยเฟิ่งชิงเฉินแล้วหยิบยามาทาให้เฟิ่งชิงเฉิน ไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือไม่ นิ้วของเขาลุ่มล่ามแตะไปในที่ที่ไม่ควรแตะ จนเฟิ่งชิงเฉินต้องกัดฟันด้วยความแสบร้อน

เฟิ่งชิงเฉินไม่พูดอะไร และเสด็จอาเก้าแสร้งทำเป็นไม่รู้ เห็นได้ชัดว่าเป็นการทรมาน

“นี่ท่านช่วยข้าทายาหรือลงโทษข้า?” เฟิ่งชิงเฉินอดไม่ได้ มีที่ไหนที่ทายาเช่นนี้

“มือขวาได้รับบาดเจ็บ และมือซ้ายไม่ค่อยดี” เสด็จอาเก้าอธิบายอย่างจริงจัง เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ เขาเสริมว่า “เจ้าก็เห็นว่าข้าไม่ถนัดใช้มือซ้าย”

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ก็ได้ เมื่อพูดถึงเฟิ่งชิงเฉินก็คิดว่าเขาเล่นตลก “จริงเหรอ ข้าเห็นว่ามือซ้ายท่านก็ยังใช้การได้ดี ปลดเสื้อผ้าข้าก็เหมือนปกติ”

เสด็จอาเก้าเพียงยิ้มแต่ไม่พูด เฟิ่งชิงเฉินรู้สึกหงุดหงิด นั่งลงและปัดมือชั่วร้ายของเสด็จอาเก้าออก “เอาล่ะ พอแล้ว”

เมื่อเสด็จอาเก้าเห็นก็วางยาลง ก็รีบไปล้างมือแล้วอธิบายให้ฟังว่า “มือซ้ายของข้าก็ยังดี ยืดหยุ่นได้ แต่อย่างอื่นไม่ได้ดีไปกว่านั้น” เสด็จอาเก้าโกหกหน้าตาย

“จริงเหรอ?” เฟิ่งชิงเฉินสูดลมหายใจ สวมเสื้อผ้า และหวังว่าเสด็จอาเก้าจะแต่งตัวให้นาง เขาคงชอบให้นางไม่สวมเสื้อผ้า

“แน่นอน” เสด็จอาเก้าปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างไร้ยางอาย และทำมือเพื่อให้เฟิ่งชิงเฉินเขยิบไปข้างหน้า เพื่อให้เข้ามีที่

เฟิ่งชิงเฉินขยับเข้าไปและเหลือที่ให้เสด็จอาเห้าครึ่งหนึ่ง “มันยืดหยุ่นได้ขนาดนี้เชียวหรือ เห็นท่านมีทักษะเช่นนี้ ท่านคงไม่ได้ใช้น้อยลง แต่ใช้บ่อยมากสินะ โดยเฉพาะเปลื้องผ้าให้ผู้หญิง?”

ตราบใดที่เสด็จอาเก้ากล้าที่จะตอบตกลง นางก็เตะเสด็จอาเก้าออกจากเตียงทันที

“ไม่ ไม่ ข้าสัญญาว่านี่เป็นครั้งแรก” เสด็จอาเก้าเอามือขวาที่บาดเจ็บมาโอบเฟิ่งชิงเฉิน จากนั้นดึงผ้าห่มมาคลุมตัวไว้

“ชิ…” เฟิ่งชิงเฉินมองเสด็จอาเก้า แล้วหันกลับมาแล้วชี้ไปที่ด้านหลังศีรษะ เสด็จอาเก้ารีบอธิบาย “นี่เป็นครั้งแรกจริงๆ และเป็นครั้งสุดท้ายข้าใช้ปลดกระดุมของเจ้า ข้าใช้มือขวาเยอะเพราะเป็นการฝึกไปในตัว” ในตอนท้ายเสียงก็เล็กลงและเล็กลง และรู้สึกอายเล็กน้อย

“จริงเหรอ?” เฟิ่งชิงเฉินหันกลับมาเผชิญหน้ากับเสด็จอาเก้าด้วยตาที่เป็นประกาย…

เมื่อเห็นเสด็จอาเก้าเขินอาย นางก็ดีใจ!