ปัจจุบันหยางโปกำลังฝึกมวยเยว่เจีย มวยไท่เก๊ก และมวยเทียนหลัว ถึงแม้จะมีกระบี่หยกอยู่
แต่เขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญด้านกระบี่แม้แต่น้อย ในทำนองเดียวกัน เขาก็สามารถใช้วิชาเรียกลมฝนได้ด้วยเช่นกัน แต่วิชานี้ดูเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย
แน่นอน ไพ่ที่ใหญ่ที่สุดของหยางโปอยู่ที่เจตนารมณ์กระบี่ของเขา เจตนารมณ์ของกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ และมักจะสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว นี่คือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เขาจะพึ่งพาได้
กระจกเทียนหลัวเป็นเกราะกำบังที่ดีมาก แต่พื้นที่ป้องกันไม่ใหญ่นัก หยางโปมักจะรู้สึกเสมอว่ากระจกเทียนหลัวบานนี้น่าจะมีประโยชน์มากกว่านี้ แต่เขาไม่สามารถสำรวจตรวจตราดูได้ในช่วงนี้
หยางโปกำลังนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น ถือถ้วยชา และอดที่จะถอนหายใจไม่ได้ ความแข็งแกร่งของเขาค่อนข้างที่จะด้อยอยู่เช่นเดียวกับ ฉินตูฟูที่มีขั้นวรายุทธ์สูงกว่าเขาไปขั้นหนึ่ง ที่เขาสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ เพราะอาศัยจู่โจมอย่างฉับพลัน แน่นอน สิ่งที่สำคัญที่สุดคือเหยียนหรูหยู
แค่ไม่รู้ว่าเหยียนหรูหยูอยู่ที่ไหนตอนนี้ ?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น หลินหลินก็เดินเข้ามา เธอเคาะไปที่โต๊ะ “ คิดอะไรอยู่ ? อ้อใช่แล้ว
ลืมบอกลูกไป อู๋เฉียงกลับมาแล้ว เขายุ่งมาก ติดต่อมาเมื่อเช้าเขาบอกว่าใกล้มาถึงแล้ว ! ”
หยางโปตกใจชะงักไปครู่หนึ่ง “ เขาไม่ได้ไปถ่ายทำภาพยนตร์หรอกเหรอ ? ทำไมถึงมีเวลามาอีกล่ะ ? ”
“ ภาพยนตร์ของเขาถ่ายทำจบลงไปแล้ว ทำไมจะไม่มีเวลา ? ” หลินหลินกล่าว
หยางโปอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว “ ช่วงนี้ยุ่งจนเวียนหัว ลืมไปหมดเลย ช่วงนี้อู๋เยว่เป็นยังไงบ้าง ไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมครับ ? ”
อู๋เยว่พักอยู่ในโรงเรียนไม่ได้กลับมาบ่อยนัก หยางโปกลับมาได้พักหนึ่งแล้ว ยังไม่ได้เจอหน้ากันเลย
“ อู๋เยว่ ไม่เป็นไร วันนี้เธอไม่ได้หยุด แม่คิดว่าคงต้องรอสิ้นเดือนสักสองสามวันถึงจะได้กลับมา ” หลินหลินกล่าว
ในขณะที่พูด หยางโปก็ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาตกใจนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพรางพูดว่า
“ เขามาแล้ว ! ”
หยางโปเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นอู๋เฉียงเดินเข้ามาจริงๆ
อู๋เฉียงสวมเสื้อโค้ทขนสัตว์สีดำตัดผมรองทรงสูง บนนิ้วสวมแหวนทองคำขาว สวมรองเท้าบูทหนังสีดำคู่หนึ่งดูทันสมัยยิ่งขึ้นไปอีก
เมื่อเห็นอู๋เฉียง หยางโปก็ตกตะลึงไปชั่วครู่ จำได้ว่าครั้งแรกที่เจอกัน อู๋เฉียงดูค่อนข้างที่จะล้าสมัยและเชยเอามากๆ เมื่อเทียบกับปัจจุบัน มันแตกต่างกันราวฟ้ากับเหวจริงๆ !
“ หล่อขึ้นทุกครั้งจริงๆ ! ” หลินหลินอดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากชม
อู๋เฉียงรีบส่งยิ้มและกล่าวว่า “ คุณป้า อย่าชมผมเชียวนะ เดี๋ยวผมจะหยิ่งยโสเอาได้ ! ”
ในขณะที่พูด อู๋เฉียงก็หันไปพยักหน้าให้หยางโป “ คุณหยาง ! ”
หยางโปโบกมือให้ “ จากนี้ไปนายก็จะเป็นดาราดังแล้ว อย่าเรียกอย่างนั้น เรียกชื่อผมก็พอ ”
อู๋เฉียงปัดมือปฏิเสธทันที “ ไม่ได้ ไม่ได้ ”
หยางโปยิ้มกุมมือแน่น จากนั้นก็หันไปมองทางด้านข้างอีกครั้ง อู๋เฉียงไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขามีกงเสี่ยวเจิ้งเดินตามมาด้วย
กงเสี่ยวเจิ้งสวมกระโปรงสีสันสดใส สวมรองเท้าผ้าใบสีขาว ปล่อยผมพาดบ่า ดูสดใสและน่ารัก เธอหันไปส่งยิ้มและพูดกับหลินหลิน ” สวัสดีค่ะคุณป้า ! “.ไอลีนโนเวล.
“ เสี่ยวเจิ้งก็มาด้วยเหรอ ! รีบนั่งลงเร็ว ! ป้าเตรียมอาหารอร่อยไว้เยอะเลย ! ” หลินหลินยิ้มพรางเอ่ยออกมา
กงเสี่ยวเจิ้งยิ้มตาหยี ” ขอบคุณค่ะคุณป้า ! ”
พอพูดจบ เธอก็หันไปทักทายหยางโปอีกครั้ง
หยางโปเชื้อเชิญให้พวกเขานั่งลง เวลานี้จึงมีคนนำชาเข้ามาเสริมให้
ดูเหมือนว่าฮัวชิงหยุนจะได้ยินเสียง จึงเดินออกจากห้องด้านหลัง เธอทักทายกับทั้งสองคน
ทำให้หยางโปรู้สึกแปลกใจไม่น้อย ” พวกคุณรู้จักกันเหรอ ? ”
ฮัวชิงหยุนยิ้มและกล่าวว่า “ ช่วงก่อนที่คุณไม่อยู่บ้าน พวกเขาเคยมากันครั้งหนึ่ง ”
หยางโปพยักหน้า ” ถ้ามีเวลาก็มานั่งเล่น ผมไม่ค่อยอยู่บ้าน แม่ของผมอยู่คนเดียว จะรู้สึกเหงาอยู่ตลอด ถ้าพวกคุณมาหา เธอคงดีขึ้นมาก ! ”
กงเสี่ยวเจิ้งรีบพูด “ เดิมฉันก็กังวลว่าจะมารบกวนคุณป้า แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าต่อไปฉันต้องมารบกวนมากกว่านี้แล้ว คุณป้าทำอาหารอยู่เดี๋ยวฉันไปดูก่อนนะ ”
ฮัวชิงหยุนตกตะลึงไปครู่หนึ่ง น้อยครั้งนักที่เธอจะลงมือเข้าครัว ไม่รู้ทักษะพื้นฐานการใช้มีดเลย เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับกงเสี่ยวเจิ้ง เดิมทีเธอก็ค่อนข้างจะระวังตัวอยู่แล้ว เมื่อเห็นเธอกระตือรือร้นขนาดนี้ จึงรีบลุกขึ้นเช่นกัน “ ฉันก็จะไปดูด้วย ”
หยางโปมองทั้งสองคนที่เดินออกไป ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย แต่ท้ายที่สุดก็ไม่พูดอะไร จากนั้นเขาก็หันไปมองอู๋เฉียง ” ภาพยนตร์ถ่ายทำเสร็จแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง ? มีแผนที่จะทำอะไรต่อไหม ? ”
อู๋เฉียงพยักหน้าและกล่าวว่า “ ตอนแรกที่เข้ามาในวงการนี้ พอได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเสร็จแล้วจริงๆ ผมถึงเข้าใจว่าทุกอย่างไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ช้ากว่าที่วางแผนไว้สิบวัน
ที่สำคัญเป็นเพราะฝีมือการแสดงของผมแย่เกินไป ฉากเดียวต้องถ่ายกันหลายช็อต ”
หยางโปหัวเราะ “ นี่เป็นเรื่องปกติ เพราะนายยังไม่เคยแสดงภาพยนตร์มาก่อน ครั้งนี้แสดงออกมาได้มันก็ไม่เลวแล้ว แต่ยังไงซะ ก็ควรจะเรียนเพิ่มให้ดีขึ้นกว่านี้ ”
อู๋เฉียงกล่าวว่า ” อืม ผมพูดกับบริษัทแล้ว จะไปเรียนที่โรงเรียนภาพยนตร์สักระยะหนึ่ง ถ้าไม่มีทักษะพื้นฐาน ต่อให้มีโอกาสมากขึ้นแค่ไหน ก็คงไม่เป็นที่นิยม ! ”
“ ภาพยนตร์จะเข้าฉายเมื่อไหร่ ผมจะไปดู ” หยางโปพูด
อู๋เฉียงดูมีสีหน้าเขินอายเล็กน้อย ” เรื่องนี้ ยังไม่แน่ใจ เพราะเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของผม ถ่ายทำได้ไม่ดีมากนัก คุณอย่าไปดูเลย รอเรื่องต่อไปเถอะ ผมจะเอาตั๋วหนังรอบปฐมทัศน์มาให้คุณแน่นอน ”
หยางโปหัวเราะดังลั่น “ ผมไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับวงการนี้มากนัก ไม่รู้ว่าแบ่งทักษะการแสดงยังไง แต่ผมคิดว่านี่ไม่ใช่ปัญหา ทักษะการแสดงของแต่ละคนจะดีได้นั้นจะเห็นได้ตั้งแต่การแสดงเรื่องแรก ทักษะการแสดงของบางคนต้องได้รับการขัดเกลา บางทีอาจจำเป็นต้องปล่อยเวลาให้ผ่านไปจนอายุสี่ห้าสิบปีได้ ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องปกติ ! ”
อู๋เฉียงพยักหน้า “ ผมก็คิดแบบนี้เหมือนกัน ผมเตรียมใจพร้อมที่จะต่อสู้ไปนานๆแล้ว ! ”
“ นายมีพื้นฐานที่ดี ในอนาคตควรหาตลาดสำหรับหนังกังฟูไว้ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ” หยางโปกล่าว
อู๋เฉียงยิ้ม “ ผมแค่อาศัยใช้กำลังที่มุทะลุดุดันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นลักษณะท่วงท่ากำลังภายในของสำนักจินกังก็ให้ความสำคัญกับการต่อสู้จริงมากขึ้น เอฟเฟกต์ในการถ่ายทำจริงนั้นไม่ค่อยจะดีนัก ”
“ สบายใจได้นะ พื้นฐานของคุณออกจะลึกล้ำ ผลลัพธ์ต้องออกมาดีแน่นอน ” หยางโปกล่าว
หลังจากลังเลอยู่เล็กน้อย หยางโปก็หันไปมองอู๋เฉียง ” ผมยังไม่ลืมที่จะถามเรื่องราวในก่อนหน้านี้ สำนักจินกังก่อตั้งมาได้กี่ปีแล้ว ? การฝึกฝนวรยุทธ์หลักของพวกคุณคืออะไร ? ”
อู๋เฉียงก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเชื่อใจหยางโปมาก จึงพูดขึ้นว่า “ สำนักจินกังมีประวัติความเป็นมาห้าหกร้อยปีมาแล้วมั้ง พ่อของผมจำได้ไม่ค่อยชัดสักเท่าไร ถึงยังไงซะสิ่งสำคัญของสำนักจินกังก็คือสืบทอดต่อกันมาจากตระกูลอู๋ของเราจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ได้มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยละเอียด พ่อของผมเล่าให้ผมฟังว่า น่าจะมีอายุห้าหกร้อยปีได้ ”
“ สำหรับการฝึกฝนวิชาหลักของสำนัก ก็คือ จินกังจิง คุณอยากดูไหมล่ะ ? ” อู๋เฉียงหันหน้าไปหา
หยางโป
หยางโปชายตามองอู๋เฉียง แต่ไม่ได้ตอบกลับทันที เพราะเขารู้ดีว่าจินกังจิงเป็นมรดกตกทอดของตระกูลอู๋ ต่อให้อู๋เฉียงไม่มีเจตนาจะเห็นแก่ตัว แต่ก็คงจะไม่ค่อยเต็มใจให้สักเท่าไรเหมือนกัน
หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย หยางโปก็พูดขึ้นว่า ” ผมมี ( คัมภีร์มวยไท่เก๊ก ) เล่มหนึ่งอยู่ที่นี่
หลักๆแล้วจะพูดถึงหลักการฝึกฝนของลัทธิเต๋าเป็นหลัก พวกเรานำมาแลกเปลี่ยนกันดู ! ”
อู๋เฉียงถอนหายใจอย่างโล่งอก “ ตกลง ! ”