ตอนที่ 303 พยัคฆ์โลหิต

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 303 พยัคฆ์โลหิต โดย Ink Stone_Fantasy

ต่อมา ชายฉกรรจ์ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปตามทางภูเขา เพื่อขึ้นไปบนยอดเขา

พอเท้าทั้งคู่เหยียบบันไดหินสีขาวเทา หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ สั่นไหว แต่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นปกติ

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เขานึกถึงฟองอากาศลึกลับขึ้นมาทันที จากนั้นก็ส่งพลังจิตกวาดดูทะเลจิตวิญญาณ แต่กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ

หรือว่าเมื่อครู่เขาจะมโนไปเอง!

หลิ่วหมิงครุ่นคิดด้วยความสงสัย

“ทำไมหรือ! สหายไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? อ้อ! ข้าเกือบลืมไป ไอปีศาจบนเขาปีศาจยักษ์หนาแน่นมาก คนที่เข้ามาเป็นครั้งแรกจะไม่ค่อยชินกับมัน” เซียวเยวี่ยไป๋ค้นพบความปกติของหลิ่วหมิง แต่ก็ไม่คิดอะไรมาก

“ตอนที่ข้ามา ได้ยินศิษย์นิกายท่านพูดว่า เขาปีศาจยักษ์นี้กลายร่างมาจากหัวปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาล! หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ การที่เขาลูกนี้แผ่ไอปีศาจอันน่าตกใจออกมา ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด” หลิ่วหมิงกระแอมไอเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

“สหายหลิ่วไม่เชื่อตำนานนี้สินะ! เฮ่อๆ! ไม่เพียงแต่สหายเท่านั้น ความจริงแล้วผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายเรา ก็มีไม่กี่คนที่เชื่อเรื่องนี้ มีแค่ตันกานและศิษย์ระดับต่ำเท่านั้นที่เชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ถึงแม้จะไม่มีหลักฐานอะไรยืนยันมากมาย แต่มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนว่า มันเป็นรังของปีศาจยักษ์ในสมัยบรรพกาลที่ถูกทอดทิ้งอย่างแน่นอน ว่ากันว่า ก่อนหน้าที่นิกายเราจะก่อตั้งขึ้นมา เคยมีคนพบซากกระดูกของปีศาจตนอื่นๆ ตรงบริเวณไหล่เขา แน่นอนว่าตอนนี้ถูกค้นเอาไปหมดแล้ว ตอนนี้กลายเป็นแดนต้องห้ามของนิกายเรา” เซียวเยวี่ยไป๋อธิบายด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็พอจะอธิบายได้” หลิ่วหมิงเริ่มเข้าใจเล็กน้อยแล้ว

ทั้งสองพูดคุยกันจนกระทั่งมาถึงหน้าวิหารที่สร้างจากหินสีดำโดยไม่รู้ตัว

ในวิหาร ผู้อาวุโสคิ้วสีขาว สวมชุดคลุมยาวสีดำกำลังยืนเอามือไหว้หลังรออยู่ที่นั่น พอเขาเห็นหลิ่วหมิงทั้งสองเดินเข้ามา ก็สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยตาที่เป็นประกาย

“ศิษย์พี่สวี่ ข้าขอแนะนำสักหน่อย นี่คือสหายหลิ่วหมิงที่อาจารย์อาหยวนเคยเอ่ยปากชม” พอเซียวเยวี่ยไป๋เห็นผู้อาวุโส ก็รีบแนะนำด้วยรอยยิ้ม

“หลิ่วหมิงเสียมารยาทไปหน่อยที่มาพบช้าไป หวังว่าท่านประมุขจะให้อภัย!”

ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตื่นตะลึง ไม่รู้มาก่อนว่าบุคคลอันดับหนึ่งของอวิ๋นชวนอย่างหยวนหมัวจะกล่าวชมเขา แต่เขาก็รีบก้าวไปคารวะทันที

ในเมื่อเขาต้องการมานิกายหยวนหมัว ก่อนมาเขาย่อมทำความเข้าใจกับประมุขนิกายหยวนหมัวผู้นี้มาบ้างแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับเหนือความคาดหมายยิ่งนัก

ข่าวเกี่ยวประมุขนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนอย่าง ‘สวี่เซียวเหวิน’ ถูกเล่าลือในโลกภายนอกน้อยมาก นอกจากเรื่องราวบางอย่างที่พูดถึงเรื่องของประมุขนิกายผู้นี้แล้ว ก็ไม่มีข่าวใดๆ เกี่ยวกับเขาอีก

มันช่างแตกต่างจากสถานะนิกายอันดับหนึ่งมากนัก

จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง ที่สถานการณ์มันเป็นเช่นนี้คง หนีความเป็นไปได้สองข้อนี้ไม่พ้น

ประการแรกคือ ประมุขนิกายหยวนหมัวผู้นี้ปฏิบัติตัวธรรมดามาก ดังนั้นถึงไม่มีเรื่องอะไรให้เล่าลือออกไป ประการที่สองคือ เจตนาทำตัวให้ต่ำต้อย และปิดข่าวเกี่ยวกับตัวเองทั้งหมด ทำให้คนภายนอกไม่อาจรับรู้ได้

แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ผู้ที่สามารถกลายเป็นประมุขของนิกายอันดับหนึ่งในอวิ๋นชวนได้ ทำไมจะเป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งล่ะ อย่างมากคงเป็นประการที่สองแล้วล่ะ

แต่ก็ด้วยเหตุนี้ นิสัยของประมุขนิกายปีศาจผู้นี้ย่อมไม่ธรรมดา จะต้องเป็นผู้ที่เอาใจยากอย่างแน่นอน

“สหายหลิ่วไม่ต้องเกรงใจ ข้าเองก็อยากเห็นผู้ที่อาจารย์อาหยวนกล่าวชมมานานแล้ว เฮ่อๆ! ระดับสายตาอย่างอาจารย์อาหยวน คนธรรมดาไม่อาจเข้าตาท่านได้ ดูท่าสหายคงมีความสามารถเหนือผู้อื่นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ประมุขสวี่ชมเกินไปแล้ว ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าผู้อาวุโสหยวนจะชมข้า” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างถ่อมตน

แม้เขาจะไม่ได้ใช้พลังจิตกวาดดูระดับการฝึกฝนของผู้อาวุโสตรงหน้า แต่กลิ่นไอบนตัวเขาที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกดดัน ก็ทำให้เห็นว่า เขาคงอยู่ระดับของเหลวขั้นปลายเหมือนกับประมุขนิกายปีศาจ

“ศิษย์พี่สวี่ สหายหลิ่ว พวกท่านทั้งสองไม่ต้องเกรงใจกันขนาดนี้หรอก พวกเรานั่งลงก่อนแล้วค่อยคุยกันก็ยังไม่สาย” เห็นได้ชัดว่าเซียวเยวี่ยไป๋มีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำ ขณะนี้เขาหัวเราะฮ่าๆ ออกมา

ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินก็ยิ้มออกมา และรีบบอกให้หลิ่วหมิงนั่งลง

“ตามที่ข้าทราบมา การคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์ทางด้านพันธมิตรได้เริ่มขึ้นแล้ว สหายไม่ไปดูหน่อยหรือ ทำไมถึงมานิกายหยวนหมัวของเราได้ล่ะ?” พอหลิ่วหมิงนั่งลงแล้ว สวี่เซียวเหวินก็กล่าวออกมาตามตรง

“การคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์นั้น มีอาจารย์อาเยี่ยนนำไปก็พอแล้ว ที่ข้ามาครั้งนี้ เพราะมีเรื่องอยากขอคำชี้แนะจากท่านประมุขสวี่!” หลิ่วหมิงก็กล่าวตามตรงเช่นกัน

“มิกล้า มิกล้า สหายหลิ่วมีเรื่องอะไรก็ถามมาเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินก็ตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็กล่าวออกมาด้วยท่าทีสงบ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว ข้าได้ยินชื่อเจดีย์กักปีศาจมานาน ว่ากันว่าในนั้นมีปีศาจอสูรอยู่มากมาย แต่ไม่ทราบว่ามีอสูรประเภทพยัคฆ์หรือไม่?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์?”

ไม่ว่าจะเป็นเซียวเยวี่ยไป๋หรือประมุขนิกายหยวนหมัว ต่างก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

แต่ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำก็กระแอมไอแล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์น้องเซียว ผู้ที่นำกลุ่มคนเข้าเจดีย์กักปีศาจในครั้งก่อน คือศิษย์น้องจินใช่ไหม เจ้าเรียกเขามาหาหน่อย ข้าจะสอบถามเล็กน้อย”

“ไม่มีปัญหา ศิษย์น้องจินเพิ่งกลับจากด้านนอกมาเมื่อหลายวันก่อน คงจะยังอยู่ในนิกาย ข้าจะแจ้งเขาเดี๋ยวนี้” เซียวเยวี่ยไป๋ลังเลเล็กน้อย แล้วพยักหน้าตอบรับ

จากนั้นชายฉกรรจ์ก็หยิบแผ่นค่ายกลออกมาจากเอว และทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งก่อนที่จะตบลงบนนั้น

แสงสีขาวพร่ามัวออกจากแผ่นค่ายกลทันที อักขระเล็กๆ จำนวนหนึ่งจมเข้าไปในนั้น

“สหายหลิ่ว ตอนนี้บอกสาเหตุที่อยากรู้เรื่องนี้ได้หรือยัง” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างไม่รีบร้อน

“บอกสหายทั้งสองอย่างไม่ปิดบัง เพราะเหตุผลบางอย่าง ทำให้ข้าต้องใช้โลหิตในตัวปีศาจอสูรประเภทนี้มาเป็นวัตุดิบ แต่อสูรประเภทนี้หายไปจากพื้นที่อื่นๆ ของแผ่นดินอวิ๋นชวนแล้ว ดังนั้นจึงได้แต่อาศัยดวงมาดูที่นิกายของท่านว่า จะสามารถหาร่องรอยของมันได้หรือไม่” หลิ่วหมิงกล่าวตามตรง

“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า หากในเจดีย์กักปีศาจมีปีศาจพยัคฆ์จริงๆ ล่ะก็ สหายหลิ่วคิดจะเข้าไปในนั้นจริงๆ หรือ?” ผู้อาวุโสชุดดำขมวดคิ้วกล่าว

เซียวเยวี่ยไป๋ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา

“ข้าไม่จำเป็นต้องเข้าไปในเจดีย์ หากในนั้นมีปีศาจพยัคฆ์จริงๆ ล่ะก็ ให้สหายนิกายท่านจับเป็นออกมาก็พอแล้ว แน่นอน! ข้าย่อมไม่ให้นิกายของท่านเสียแรงเปล่า จะต้องตอบแทนอย่างพอใจแน่นอน” หลิ่วหมิงได้เตรียมคำตอบไว้แต่แรกแล้ว จึงตอบกลับในทันที

“ไม่ทราบสหายต้องการปีศาจพยัคฆ์แบบใด ถ้าระดับการฝึกฝนต่ำจนเกินไป เกรงว่าจะไม่มี” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าว

“อย่างน้อยต้องเป็นระดับของเหลวขั้นต้นขึ้นไป ถึงจะใช้ได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ระดับของเหลวขั้นต้น และยังต้องจับเป็นด้วย? ดูท่ามันคงจะไม่ง่ายน่ะสิ!” เซียวเยวี่ยไป๋เอ่ยแทรกขึ้นมา

“แน่นอน! หากข้าน้อยสามารถเข้าไปลงมือเองได้ ย่อมไม่มีปัญหายุ่งยากถึงเพียงนี้ จับเป็นหรือตายก็ได้” หลิ่วหมิงกล่าว

“อืม! เรื่องนี้รอศิษย์น้องจินมาแล้วค่อยว่ากัน จะได้รู้ว่าในนั้นมีปีศาจพยัคฆ์ระดับของเหลวหรือไม่” ประมุขนิกายหยวนหมัวตอบกลับด้วยรอยยิ้ม และไม่ได้ปฏิเสธในฉับพลัน

เพียงแค่ประมุขนิกายปีศาจไม่ได้ปฏิเสธในทันที ก็เห็นได้ชัดว่ามีโอกาสที่เรื่องนี้จะสำเร็จ

เวลาต่อมา ทั้งสามก็พูดคุยเกี่ยวกับศึกเผ่าเจ้าสมุทรที่เพิ่งสิ้นสุดไป

ผ่านไปไม่นาน กลุ่มไอสีเขียวก็พุ่งเข้ามาจากประตูวิหาร หลังจากหมุนติ้วๆ ตรงหน้าทั้งสามแล้ว ก็กลายร่างเป็นชายอัปลักษณ์ที่มีผมยาวสีเขียว

“ท่านประมุข ศิษย์พี่สวี่ พวกท่านตามข้ามามีธุระอันใดหรือ?”

“ศิษย์น้องจิน ท่านนี้คือสหายหลิ่วจากนิกายปีศาจ เคยสังหารอาจารย์จิตวิญญาณเผ่าเจ้าสมุทรไปสองคน หนึ่งในนั้นเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางด้วย แม้แต่อาจารย์อาหยวนก็เคยเอ่ยปากชมเขา” เซียวเยวี่ยไป๋รีบลุกขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แล้วไง? หรือว่าท่านประมุขเรียกข้ามา เพียงเพื่อต้อนรับอาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายเล็กๆ เท่านั้นหรอกหรือ?” ชายอัปลักษณ์มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“ศิษย์น้องอย่าได้เสียมารยาท! สหายหลิ่วอย่าได้ถือสา ศิษย์น้องจินเป็นคนหมางเมินมาโดยตลอด โดยปกติก็เป็นแบบนี้กับคนอื่นๆ ในนิกาย” เซียวเยวี่ยไป๋หุบยิ้ม และกล่าวอธิบายกับหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ได้แต่ฝืนยิ้มและไม่ได้กล่าวอะไรออกมา

“ศิษย์น้องจิน ข้าขอถามเจ้าเรื่องหนึ่ง หลายปีก่อนที่เจ้าพาคนเข้าไปในเจดีย์กักปีศาจนั้น เคยเห็นปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์หรือไม่?” ในที่สุดผู้อาวุโสชุดดำก็ค่อยๆ กล่าวออกมา

“ปีศาจอสูรประเภทพยัคฆ์? ข้าขอคิดดูหน่อย…… อืม! เคยเห็นอยู่ ยังเคยมีศิษย์สังหารปีศาจพยัคฆ์ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางในชั้นที่สองด้วย” ชายอัปลักษณ์คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

“มีแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางหรือ? ชั้นอื่นๆ มีปีศาจพยัคฆ์ระดับของเหลวบ้างไหม?” ผู้อาวุโสชุดดำถามกลับไปด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ระดับของเหลวก็มีเหมือนกัน ตอนที่อยู่ชั้นห้า ข้าเคยพบพยัคฆ์โลหิตที่อยู่ในระดับของเหลวขั้นกลาง มันสามารถพ่นหมอกโลหิตพิษได้ แลดูน่ากลัวยิ่งนัก” ครั้งนี้ชายอัปลักษณ์ตอบโดยไม่ต้องคิด

“ระดับของเหลวขั้นกลางหรือ ถ้าอย่างนั้นก็เพียงพอแล้ว” หลิ่วฟังมาถึงจุดนี้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ

“ดีมาก! ข้าถามเสร็จแล้ว ศิษย์น้องจินกลับไปได้” ประมุขนิกายปีศาจพยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่

ชายอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนี้ ก็กวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงอีกรอบ จากนั้นก็ทำท่ามือโดยไม่กล่าวอะไรออกมา และกลายร่างเป็นกลุ่มไอสีเขียวพวยพุ่งออกไป

“สหายหลิ่ว! ดูท่าพวกเราต้องมาคุยกันสักหน่อยแล้ว เจดีย์กักปีศาจเป็นสถานที่สำคัญของนิกายเรา ในสถานการณ์ปกติ ไม่อาจให้คนนอกเข้าไปได้” ประมุขนิกายหยวนหมัวหันมากล่าวกลับหลิ่วหมิง

………………………………………