ตอนที่ 304 หานหลี โดย Ink Stone_Fantasy

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป มีเสียงตกใจของหลิ่วหมิงดังมาจากในวิหาร

“อะไรนะ! ให้ข้าช่วยนิกายท่านจัดการปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายที่อยู่ในเจดีย์?”

“ไม่ผิด! สหายมาได้ประจวบเหมาะพอดี อีกเดือนกว่าๆ นิกายเราจะเปิดเจดีย์กักปีศาจอีกครั้ง มิเช่นนั้นในสถานการณ์ปกติ ต่อให้สหายหลิ่วจะจ่ายมากแค่ไหน ข้าก็ไม่อาจให้คนนอกเข้าแดนต้องห้ามคนเดียวเด็ดขาด จุดประสงค์การเปิดเจดีย์ในครั้งนี้มีอยู่สองประการ ประการแรกคือให้ศิษย์จิตวิญญาณในนิกายได้ทำการทดสอบ ประการที่สอง คือหาและสังหารปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายตนนั้น!” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวอย่างจริงจัง

“ด้วยความสามารถของนิกายท่าน สามารถจัดการปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายได้อย่างง่ายดาย ทำไมต้องให้ข้าลงมือด้วยล่ะ?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็ว และยังไม่ได้ตอบรับกลับไป

“ดูท่าสหายหลิ่วจะรู้ความจริงเกี่ยวกับเจดีย์กักปีศาจน้อยมาก ศิษย์น้องเซียว อธิบายให้สหายหลิ่วฟังหน่อยเถอะ!” ผู้อาวุโสชุดดำค่อยๆ ยิ้มออกมา

เซียวเยวี่ยไป๋รีบตอบรับทันที และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

“ที่สหายหลิ่วรู้สึกแปลกใจ ย่อมเป็นเพราะว่ายังไม่ค่อยรู้จักชั้นจำกัดในเจดีย์กักปีศาจมากพอ ความจริงแล้ว ในตอนแรกที่นิกายเราถูกสร้างขึ้นมา เพื่อฝึกฝนศิษย์ผู้น้อยอย่างพวกเรา จึงเข้มงวดกับผู้ฝึกฝนที่เข้าไปในนั้นเป็นอย่างมาก ระดับต่ำกว่าของเหลวยังพอว่า สามารถเลือกเข้าไปชั้นหนึ่งถึงชั้นสามได้ และไม่มีการจำกัดจำนวนคน และถ้าเป็นระดับของเหลวล่ะก็ เข้าไปได้มากสุดแค่สองคน และจำต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้นเท่านั้น ถ้าเป็นระดับของเหลวขั้นกลาง ก็สามารถเข้าได้คนเดียว มิเช่นนั้น หากระดับการฝึกฝนสูงเกินไป และมากเกินสองคนล่ะก็ ต่อให้จะเข้าไปในเจดีย์ ก็จะถูกชั้นจำกัดส่งตัวกลับมาเอง”

“เดิมทีนิกายท่านคิดจะให้อาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นสองคน เข้าไปสังหารปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายในนั้นอยู่แล้วใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ ผ่านไปสักพักถึงหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา

อย่างที่รู้ว่า เมื่อการฝึกฝนเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว ทุกระดับการบรรลุขั้นในภายหลังย่อมแตกต่างจากก่อนหน้านั้นโดยสิ้นเชิง ซึ่งเกินกว่าที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณจะเทียบได้

และในสถานการณ์ปกติ พลังของปีศาจอสูรระดับของเหลว สามารถกดดันมนุษย์ผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับเดียวกันได้

ไม่แปลกที่หลิ่วหมิงจะรู้สึกตกใจ เมื่อได้ยินว่านิกายหยวนหมัวจะส่งอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นสองคน ไปจัดการกับปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายตนหนึ่ง

“ปกติอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของปีศาจอสูรตนนั้น! เดิมทีพวกเราคิดจะส่งอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นที่แข็งแกร่งที่สุดสองคนเข้าไปจัดการ แต่เพราะว่าการคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์ได้เริ่มขึ้นแล้ว หนึ่งในสองคนนั้นจำเป็นต้องไปที่พันธมิตร หากเปลี่ยนเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางล่ะก็ นิกายเราไม่ค่อยมีตัวเลือกที่เหมาะสมมากนัก เดิมทีกะจะลองเสี่ยงดู โดยให้อาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นอีกคน ที่แข็งแกร่งลงมาหน่อยเข้าไปจัดการ กลับคิดไม่ถึงว่าสหายหลิ่วจะมาเยี่ยมเยียนพอดี ด้วยเหตุนี้ คงได้แต่รบกวนให้สหายช่วยสักครา เพียงแค่สหายยอมร่วมมือกับนิกายเรา จัดการปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายตนนั้น ศิษย์พี่ท่านประมุขจะยอมให้สหายเข้าไปเจดีย์กักปีศาจสักครั้ง” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ข้าถามหน่อยได้หรือไม่ ทำไมนิกายท่านถึงให้ความสําคัญกับปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลายถึงเพียงนี้ ทำไมถึงต้องสังหารมันให้ได้ แม้ว่าปีศาจอสูรตนนี้จะร้ายกาจ แต่ก็อาศัยอยู่ในเจดีย์ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ กับนิกายพวกท่านเลย” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวออกมา

พอได้ยินเช่นนี้ เซียวเยวี่ยไป๋ก็แสดงสีหน้าลังเลออกมา ผู้อาวุโสชุดดำกลับกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ง่ายมาก แม้ว่าผนึกในเจดีย์กักปีศาจจะมหัศจรรย์ล้ำลึกมาก แต่สามารถกักขังได้เพียงปีศาจอสูรระดับผลึกลงมาเท่านั้น พอมีปีศาจอสูรระดับผลึกปรากฏออกมา มันสามารถทำลายผนึกในนั้นได้ ด้วยเหตุนี้ปีศาจอสูรตนอื่นๆ ก็สามารถออกมาได้ ถึงแม้นิกายหยวนหมัวเรา สามารถสังหารปีศาจอสูรเหล่านี้จนหมดรังได้ แต่เจดีย์กักปีศาจก็จะถูกทำลายไปด้วย นี่ไม่ใช่สิ่งที่นิกายเราต้องการ ซึ่งเป็นแผนการที่โง่งมยิ่งนัก”

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านทั้งสองมั่นใจจริงๆ หรือว่า หากข้าร่วมมือกับนิกายท่านแล้ว จะสามารถกำจัดปีศาจอสูรตนนั้นได้ หากกำลังของข้าไม่ถึง ไม่เท่ากับว่าทำให้นิกายของพวกท่านเสียการใหญ่หรอกหรือ?” หลังจากหลิ่วหมิงพอจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว ก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ด้วยพลังของสหายหลิ่วที่สามารถสังหารอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางของเผ่าเจ้าสมุทรได้ เชื่อว่าแม้ไม่อาจเทียบกับอาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลาย แต่ก็คงห่างชั้นไม่มากนัก และคนที่นิกายเราส่งไป ก็ไม่ใช่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นทั่วไป เขามีพลังแข็งแกร่งที่สามารถจัดการศัตรูที่เหนือชั้นกว่าได้ ข้าเชื่อว่าเพียงพวกเจ้าทั้งสองร่วมแรงร่วมใจกัน ก็พอมีโอกาสทำสำเร็จอย่าง แน่นอน! หากพวกเจ้าทั้งสองทำอย่างสุดความสามารถแล้วยังไม่สำเร็จล่ะก็ พวกเราได้เตรียมทางหนีทีไล่ไว้แล้ว แต่ถ้าทำเช่นนั้นล่ะก็ มันต้องสูญเสียไม่ใช่น้อย ซึ่งได้ไม่คุ้มกับเสีย” ผู้อาวุโสชุดดำค่อยๆ กล่าวออกมา

“ในเมื่อประมุขสวี่กล่าวเช่นนี้ ข้าไม่ตอบรับก็คงจะไม่ได้ ดี! ถ้าอย่างนั้นข้าจะทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงครุ่นคิดไปมาหลายรอบ และรู้สึกว่าพลังของตนเองเพิ่มขึ้นจากตอนที่สังหารเผ่าเจ้าสมุทรมาก ต่อให้เผชิญกับปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นกลางเพียงคนเดียว ก็สามารถจัดการมันได้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและพยักหน้าตอบรับกลับไป

“ดีมาก! ข้ารู้ว่าสหายหลิ่วเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย ต่อไปสหายก็พักอยู่ในนิกายเราเดือนกว่าๆ ก็แล้วกัน รอทางเราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว จะส่งสหายเข้าไปเจดีย์กักปีศาจ ศิษย์น้องเซียว ที่พักของสหายหลิ่วมอบให้เจ้าจัดการก็แล้วกัน อย่าได้ชักช้าล่ะ!” ผู้อาวุโสชุดดำได้ยินเช่นนี้ ก็แสดงสีหน้าพึงพอใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็หันมากล่าวกับชายฉกรรจ์

“ศิษย์พี่ท่านประมุขวางใจเถอะ ข้ารู้สึกถูกชะตากับสหายหลิ่วมาก จะต้องจัดเตรียมให้อย่างดีแน่นอน” เซียวเยวี่ยไป๋ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

ต่อมา ทั้งสามก็พูดคุยกันเล็กน้อย จากนั้นเซียวเยวี่ยไป๋ก็พาหลิ่วหมิงไปจากวิหาร และเตรียมที่พักบนเขาปีศาจยักษ์ให้หลิ่วหมิงด้วยตนเอง

สวี่เซียวเหวินนั่งอยู่บนเก้าอี้ในวิหาร เขากำลังคิดอะไรบางอย่างด้วยตาที่เป็นประกาย

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เซียวเยวี่ยไป๋ก็กลับวิหารมาเพียงคนเดียว

“พูดตามตรง เจ้าคิดว่าหากคนผู้นี้ร่วมมือหานหลีล่ะก็ มีโอกาสจัดการปีศาจอสรพิษตนนั้นได้มากน้อยแค่ไหน?” ผู้อาวุโสไม่ได้สอบถามเรื่องจัดการที่พักของหลิ่วหมิง แต่กลับถามกลับไปอย่างราบเรียบ

“หากเป็นปีศาจอสูรตนอื่นๆ ล่ะก็ ย่อมไม่มีปัญหามากนัก แต่ถ้าเป็นปีศาจอสรพิษตนนั่นล่ะก็ เกรงว่ามีโอกาสสำเร็จไม่ถึงห้าในสิบส่วน” เซียวเยวี่ยไป๋ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับตอบอย่างนอบน้อม ซึ่งแตกต่างจากตอนที่หลิ่วหมิงอยู่ด้วยมาก

“ห้าส่วน! แค่นี้ก็คุ้มค่าที่จะลองแล้ว มิเช่นนั้นหากใช้วิธีการนั้นล่ะก็ ผลลัพธ์มันสาหัสเกินไป ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการทำลายเจดีย์กักปีศาจเลย” ผู้อาวุโสชุดดำขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ย่อมเป็นเช่นนั้น คนที่เราเลือกไว้ในก่อนหน้านั้น โอกาสสำเร็จยังไม่ถึงสามส่วนเลย ด้วยคุณสมบัติของศิษย์น้องหานหลี จัดอยู่สามอันดับแรกของนิกายเรา เกรงว่าท่านประมุขคงไม่อยากให้เขาไปเสี่ยงอันตรายเช่นนี้” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวอย่างนอบน้อม

“อืม! ด้วยคุณสมบัติของศิษย์น้องหาน ถ้ามีโอกาสสำเร็จต่ำเกินไปล่ะก็ ถ้าไม่ยอมให้เข้าเจดีย์กักปีศาจโดยเด็ดขาด แม้ว่าเจ้าเด็กแซ่หลิ่วนี้จะดูไม่ธรรมดา แต่พลังที่แท้จริงเป็นอย่างไรนั้น พวกเรายังไม่เคยเห็นกับตา ข้าจึงไม่ค่อยวางใจมากนัก” ผู้อาวุโสชุดดำเงียบไปสักพักแล้วกล่าวออกมา

“ท่านประมุขวางใจเถอะ! อย่าลืมสิ! ด้วยลักษณะนิสัยของหานหลี หากรู้ว่าผู้ร่วมมือที่ถูกเลือกไว้แต่แรก ถูกเปลี่ยนเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจากภายนอกที่ไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง ทำไมเขาจะไม่ลองดูล่ะ พอถึงเวลานั้นหากพบว่าคนผู้นี้มีพลังน่าตกใจจริงๆ ล่ะก็ ย่อมทำตามแผนที่วางไว้ หากมีชื่อเสียงไม่สมกับความสามารถล่ะก็ คงรับมือหานหลีได้แค่สองสามกระบวนท่า จากนั้นคงอายจนไม่กล้าอยู่ในนิกายหยวนหมัวอีกต่อไป” เซียวเยวี่ยไป๋กล่าวโดยไม่ต้องคิด

“ได้! ถ้าอย่างนั้นให้หานหลีทดสอบความสามารถของเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ผู้อาวุโสชุดดำพยักหน้าราวกับคิดอะไรอยู่

เซียวเยวี่ยไป๋ย่อมตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ

……

หลิ่วหมิงถูกจัดให้พักอยู่ในหอแห่งหนึ่งบนเขาปีศาจยักษ์ ตอนนี้เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และใจลอยนึกถึงเรื่องที่ได้ยินในวันนี้

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงถอนหายใจออกมาเบาๆ และหลับตาเข้าฌานอย่างเงียบๆ

ชั่วเวลาสิบกว่าวันผ่านไปในพริบตา

ในฐานะที่หลิ่วหมิงเป็นแขก จึงปฏิบัติตนอย่างว่านอนสอนง่าย หลายวันนี้อาศัยอยู่ที่ชั้นสองของหอโดยไม่ลงไปข้างล่างเลย

แต่วันนี้ ในห้องโถงชั้นหนึ่ง กลับมีแขกไม่ได้รับเชิญมาหาโดยฉับพลัน

หลิ่วหมิงรับรายงานจากหญิงรับใช้ที่อยู่ภายนอก จากนั้นก็ลงมาจากชั้นสองด้วยความประหลาดใจ

ใจกลางห้องโถงชั้นล่าง ชายหนุ่มรูปร่างเปราะบาง ผมขาวเต็มศีรษะ แต่มีใบหน้างดงาม อายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปียืนอยู่ที่นั่น

“สหายคือ……”

หลิ่วหมิงใช้พลังจิตกวาดดูร่างของชายหนุ่มแล้ว ก็รู้สึกเย็นสะท้านเล็กน้อย

คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มที่ดูเหมือนอายุยังน้อยนี้ จะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นเหมือนกัน กลิ่นไอของเขาดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

“ข้าน้อยหานหลี เป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่ทางนิกายเราส่งเข้าเจดีย์กักปีศาจ” พริบตาที่ชายหนุ่มเห็นหลิ่วหมิง เขาก็กล่าวออกมาด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก

“ที่แท้ก็คือสหายหาน เสียมารยาทแล้ว! ไม่ทราบสหายมาที่นี่ มีเรื่องอันใดจะชี้แนะหรือ? ดูเหมือนว่าตอนนี้จะยังไม่ถึงเวลาเข้าเจดีย์” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถาม

“เหตุผลที่ข้ามาเยี่ยมเยียนท่านนั้นง่ายมาก การเข้าเจดีย์กักปีศาจในครั้งนี้ ข้าไม่อยากให้คนอื่นมาเป็นภาระ ท่านเป็นคนเสนอตัวเองกับท่านประมุขให้เข้าไปในเจดีย์สินะ เทียบดูแล้ว ศิษย์กวนที่ถูกเลือกไว้แต่เดิมน่าจะพึ่งพาได้มากกว่า” ชายหนุ่มกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ศิษย์พี่กวน?” หลิวหมิงหรี่ตาทั้งสองลง

“ก็คือศิษย์พี่กวนจื่อยาง! ท่านอย่าได้คิดว่าการสังหารอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางคนหนึ่งได้ นับเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมาก ศิษย์พี่กวนก็เคยเอาชนะอาจารย์จิตวิญญาณขั้นต้นกลางได้ และไม่ใช่แค่ครั้งเดียวเท่านั้น” ชายหนุ่มกล่าวด้วยท่าทีฮึดฮัด

“ข้าเข้าใจแล้ว แต่ขออภัย ข้าจำเป็นต้องเข้าเจดีย์กักปีศาจในครั้งนี้ เชิญสหายหานกลับไปเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ยอมรับปากโดยง่าย ดีมาก! เจ้าอยากเข้าไปเจดีย์กักปีศาจก็ได้ แต่ต้องแลกมือกับข้าก่อน หากรับมือได้ข้าได้สิบกระบวนท่า ข้าถึงจะยอม” หานหลีไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น

“สิบกระบวนท่า? ไม่มีปัญหา ข้าเองก็สนใจวิชาสายปีศาจของนิกายหยวนหมัวมานาน และกำลังอยากเห็นอยู่พอดี” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

………………………………………