บทที่ 427 โอสถหกสวรรค์

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 427 โอสถหกสวรรค์

 

 

เมื่อเห็นแผ่นหลังของหลินเป่ยเฉินหายลับไปจากสายตา อาจารย์หนุ่มเถียนเถียนก็ถึงกับต้องคิดกับตนเองว่า

 

 

หรือนี่จะเป็นวิถีของวีรบุรุษ?

 

 

หลินเป่ยเฉินมีพฤติกรรมแตกต่างจากคนธรรมดาทั่วไป

 

 

หรือเพราะสาเหตุนี้เขาถึงได้กลายเป็นผู้ที่ถูกเลือก?

 

 

ผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นต้องมีความมั่นใจในตนเองไม่ใช่หรือ?

 

 

ดูเหมือนว่าหลังจากนี้ไป เขาคงต้องปรับปรุงตัวเสียใหม่แล้ว

 

 

เถียนเถียนจะไม่ยอมก้มหัวให้กับผู้ใดง่ายๆ เด็ดขาด

 

 

อาจารย์หนุ่มหมุนตัวกลับมาและเดินไปทำงานต่อไป

 

 

ในระหว่างที่สองเท้าก้าวเดิน เขาก็เชิดหน้าสูง อกผายไหล่ผึ่ง ดวงตาเป็นประกายด้วยความภาคภูมิใจในตนเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

 

 

 

 

ตำหนักไม้ไผ่

 

 

เสียงเพลงที่ถูกเปิดออกมาดังกึกก้องกังวานไปทั่วสนามหญ้าหน้าตำหนักไม้ไผ่

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้ หลินเป่ยเฉินก็กำลังเป็นผู้นำทุกคนกลับมาออกกำลังกายกันอีกครั้ง

 

 

“เอาล่ะ หลังจากนี้ เราต้องสควอต 900 ครั้งสามรอบ และต่อด้วยกระโดดตบอีก 300 ครั้งสามรอบ ทุกคนทำตามจังหวะนะ คอยดูข้าให้ดี เคล็ดลับแห่งความสำเร็จมันอยู่ที่ตรงนี้…”

 

 

หลินเป่ยเฉินกำลังพยายามอย่างหนัก

 

 

นี่คือวันสุดท้ายในภารกิจเลื่อนระดับพลังแบบก้าวกระโดด

 

 

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกหงุดหงิดใจขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

นั่นเป็นเพราะว่าอาจารย์ติงยังไม่มีวี่แววว่าจะเลื่อนระดับพลังได้เลย

 

 

แบบนี้มัน…

 

 

อย่าบอกนะว่าแผนการทุกอย่างที่เขาวางเอาไว้ จะมาพังเพราะอาจารย์ติงคนเดียว?

 

 

หากขึ้นไปสู้กับเจียงจี้หลิวด้วยระดับพลังเพียงเท่านี้ หลินเป่ยเฉินก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้นเอง

 

 

เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็อดนึกถึงคำเตือนของนักพรตหญิงชินขึ้นมาไม่ได้

 

 

เจียงจี้หลิวคงได้ไม่ได้มีตำแหน่งในวิหารเทพกระบี่สูงส่งเหมือนผู้เป็นเจ้านายอยู่แล้ว

 

 

เพราะฉะนั้น สมมุติว่าภารกิจเลื่อนระดับพลังแบบก้าวกระโดดครั้งนี้ล้มเหลว หลินเป่ยเฉินไม่สามารถขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ แต่ถ้าเจียงจี้หลิวคิดจะฆ่าเขา เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก

 

 

เมื่อคิดได้ดังนี้ หลินเป่ยเฉินก็กลับมาคึกคักแจ่มใสอีกครั้ง

 

 

ครึ่งชั่วยามต่อมา

 

 

“เรียบร้อย การฝึกพิเศษของพวกเราจะจบลงแต่เพียงเท่านี้”

 

 

หลินเป่ยเฉินหมุนตัวกลับมา พูดว่า “ระดับพลังของทุกคนก็เพิ่มขึ้นพอสมควรแล้ว นี่คือของขวัญที่เทพีกระบี่ตั้งใจมอบให้แก่พวกท่าน”

 

 

“ว่าไงนะ? จบแล้วอย่างนั้นหรือ?”

 

 

“หมายความว่าพรุ่งนี้ก็ไม่มีการฝึกแล้วงั้นสิ?”

 

 

“ทำไมถึงไม่ฝึกต่อล่ะ?”

 

 

เมื่อทุกคนได้ยินว่าการฝึกพิเศษที่ทำมาเกือบตลอดสัปดาห์จบลงแล้ว พวกเขาก็รู้สึกอึดอัดขัดใจขึ้นมาโดยทันที

 

 

เพราะผลลัพธ์ของการฝึกพิเศษครั้งนี้มันยอดเยี่ยมมาก

 

 

ฮันปู้ฮวยเลื่อนระดับขึ้นมาถึง 6 ขั้นรวด บัดนี้ นางมีพลังอยู่ในขอบเขตผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 8 แล้ว

 

 

ส่วนเฉียนเหมยกับเฉียนเจินเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขอบเขตผู้ฝึกยุทธ์ระดับที่ 4

 

 

เซียวปิงสามารถเลื่อนขึ้นมาอยู่ในขั้นปรมาจารย์ระดับที่ 3

 

 

และฉุยหมิงโหลว ฉู่เหิน พานเว่ยหมิน รวมไปถึงหลิวฉีไห่ ก็สามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นมาได้คนละ 2 ขั้น โดยเฉพาะฉู่เหินกับพานเว่ยหมินที่สามารถเลื่อนขั้นจากขอบเขตปรมาจารย์ขึ้นสู่ขอบเขตยอดปรมาจารย์ได้สำเร็จ ซึ่งนับว่าเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญอย่างยิ่ง

 

 

ดังนั้น ด้วยผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่ทุกคนจะรู้สึกเสียดายที่การฝึกพิเศษต้องจบลงแล้ว

 

 

ถ้าสามารถเลื่อนระดับได้แค่คนเดียว ก็อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นเพียงโชคช่วยหรือเรื่องบังเอิญเท่านั้น

 

 

แต่นี่ทุกคนที่ร่วมฝึกพิเศษล้วนสามารถเลื่อนระดับพลังได้อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

 

 

และทั้งหมดใช้เวลาเพียง 5 วันเท่านั้นเอง

 

 

นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างเด็ดขาด

 

 

นี่คือโอกาสทองในชีวิตของพวกเขา

 

 

เวลาเพียง 5 วันนับว่าสั้นมากเกินไป

 

 

ทุกคนรู้สึกว่าตนเองอยากจะฝึกพิเศษเช่นนี้ต่อไปในทุกๆ วันด้วยซ้ำ

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “จิตใจคนเราย่อมเต็มไปด้วยความโลภเป็นธรรมดา ด้วยเหตุนี้ เทพีกระบี่จึงสั่งให้ข้าฝึกพิเศษทุกท่านเพียงแค่ 5 วันเท่านั้น พวกท่านจะสามารถฝึกต่อไปหลังจากนี้ก็ได้ แต่มันจะไม่ส่งผลต่อระดับพลังของพวกท่านอีกแล้ว…”

 

 

การออกกำลังกายหลังจากผ่านวันนี้ไป จะไม่มีประโยชน์อันใดเลย

 

 

เพราะเวลาที่ต้องทำภารกิจในแอปพลิเคชัน Keep ได้หมดลงแล้ว ต่อให้วิดพื้นวันละหมื่นครั้งด้วยความมุ่งมั่นสักแค่ไหน มันก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดอีก

 

 

แล้วพวกเขาจะมาเสียเวลากันอีกทำไม?

 

 

“อาจารย์รู้สึกเป็นยังไงบ้างขอรับ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินมองหน้าติงซานฉือ

 

 

ประเด็นสำคัญอยู่ที่อีตาคนนี้แหละ

 

 

ติงซานฉือลองโคจรพลังลมปราณสำรวจดูความพร้อมในร่างกายตนเอง แล้วรอยยิ้มมั่นอกมั่นใจก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา “ตลอดสองวันที่ผ่านมา รากฐานพลังของข้าแข็งแกร่งขึ้นมาก บัดนี้ก็ใกล้จะเลื่อนขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับ 7 ได้สำเร็จแล้ว คาดว่าภายใน 3 ถึง 5 วันหลังจากนี้ อาจารย์จะต้องทำสำเร็จอย่างแน่นอน”

 

 

ทุกคนที่อยู่รอบข้างถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

 

 

ยอดปรมาจารย์ระดับ 7 เป็นขั้นพลังที่สูงส่งทัดเทียมฟ้าดิน

 

 

สามารถต่อสู้ได้แม้แต่ผู้ที่มีพลังระดับเซียน

 

 

ทว่า หลินเป่ยเฉินกลับรู้สึกขมขื่นเมื่อได้ยินคำตอบ

 

 

อาจารย์

 

 

ท่านทำแบบนี้ก็แย่สิ

 

 

กว่าจะถึง 3 หรือ 5 วันข้างหน้า ลูกศิษย์คนนี้ก็คงนอนตายกลายเป็นศพไปแล้ว

 

 

เพราะมันจะหมายความว่าภารกิจเลื่อนระดับพลังแบบก้าวกระโดดของเขานั้นล้มเหลว

 

 

แต่เด็กหนุ่มจะพูดอะไรมากก็ไม่ได้

 

 

เพราะตลอดหลายวันที่ผ่านมา เขาเห็นกับตาของตนเองว่าติงซานฉือพยายามอย่างหนักมากที่สุดแล้ว

 

 

และการเลื่อนระดับพลังมันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเร่งเร้ากันได้

 

 

มิเช่นนั้น อาจจะเกิดความสูญเสียได้โดยไม่คาดคิด

 

 

“สู้ๆ นะขอรับอาจารย์ อีก 5 วันก็จะถึงกำหนดการประลองของท่านแล้ว ถ้าสามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จ อาจารย์จะต้องเป็นฝ่ายชนะแน่นอน”

 

 

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

 

 

ติงซานฉือพยักหน้าตอบรับด้วยความมั่นใจ

 

 

ความจริง ติงซานฉือสามารถเลื่อนระดับพลังได้สำเร็จภายในเวลาเพียงไม่กี่วันเท่านั้น แต่เพราะช่วงการฝึกพิเศษสองสามวันแรก เขาหมดเวลากับความไร้สาระของหลินเป่ยเฉินไปพอสมควร มิฉะนั้น ป่านนี้ก็คงเลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 7 ไปได้เรียบร้อยแล้ว

 

 

“อาหารค่ำเรียบร้อยแล้วขอรับนายน้อย”

 

 

พลัน หวังจงปรากฏตัวขึ้นอย่างถูกที่ถูกเวลา

 

 

ทุกคนรีบแยกย้ายไปล้างมือล้างหน้าเรียกความสดชื่น

 

 

หลินเป่ยเฉินเดินไปหาพานเว่ยหมินกับหลิวฉีไห่และถามว่า “ชิ้นส่วนผลไม้สวรรค์ที่พวกท่านนำไปวิเคราะห์ ได้ความว่าอย่างไรบ้างขอรับ?”

 

 

“ถ้าเจ้าไม่ถาม พวกข้าก็ลืมไปแล้วนะเนี่ย”

 

 

หลิวฉีไห่ตอบรับกลับมาอย่างมีความสุข “ผลไม้สวรรค์ของเจ้ามันยอดเยี่ยมมาก เมื่อนำมารวมเข้ากับสมุนไพรอีก 5 ชนิด ยังไม่ต้องนำไปหลอมเป็นตัวยาด้วยซ้ำ แค่ผสมกับน้ำผึ้งและปั้นเป็นยาลูกกลอนก็ให้ผลลัพธ์ที่น่ามหัศจรรย์มากแล้ว พวกข้าสองคนจึงขอตั้งสูตรยาชนิดนี้ว่า โอสถฟ้าประทาน”

 

 

หลินเป่ยเฉินดวงตาลุกวาวด้วยความสนใจ “จริงหรือขอรับ? แล้วยาตัวนี้มีสรรพคุณอย่างไรบ้าง?”

 

 

พานเว่ยหมินเป็นคนตอบ “มันช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ผู้ฝึกยุทธ์ และช่วยให้เลื่อนระดับพลังได้ง่ายขึ้นเช่นกัน”

 

 

“หืม?”

 

 

หลินเป่ยเฉินเบิกตาโตด้วยความดีใจสุดขีด

 

 

มิน่าเล่า

 

 

พานเว่ยหมินถึงสามารถเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์สำเร็จแล้ว

 

 

“พวกท่านรีบเตรียมยาให้อาจารย์ติงเดี๋ยวนี้เลยขอรับ… ว่าแต่พวกท่านตั้งชื่อยาตัวนี้ว่าอะไรนะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินถามออกไปด้วยความกระตือรือร้น

 

 

“โอสถฟ้าประทาน” หลิวฉีไห่ตอบ

 

 

“ชื่อนี้ฟังดูธรรมดาเกินไปหน่อย…”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกมือจับคางตนเอง คิดอะไรอยู่บางอย่าง หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็พูดว่า “พวกท่านบอกว่านำชิ้นส่วนผลไม้วิเศษไปรวมเข้ากับสมุนไพรอีก 5 ชนิดใช่ไหมขอรับ? เมื่อรวมวัตถุดิบทุกอย่างแล้วก็มี 6 ชนิดพอดี งั้นข้าขอตั้งชื่อยาตัวนี้ว่าโอสถหกสวรรค์ก็แล้วกัน”

 

 

“เป็นชื่อที่ดีมาก”

 

 

ทั้งหลิวฉีไห่และพานเว่ยหมินต่างก็มีดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้นมาทันที

 

 

พวกเขาคิดว่าชื่อใหม่นี้ดีกว่าชื่อเดิมมาก

 

 

“แต่คงจะดีไม่น้อยเลยนะ ถ้าเราจะมีผลไม้สวรรค์เยอะมากกว่านี้ เพราะมันถือเป็นวัตถุดิบสำคัญในการหลอมโอสถ ถ้าวัตถุดิบขาดส่วนไปแม้แต่เพียงนิดเดียว ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จะแตกต่างไปจากเดิมมากแล้ว”

 

 

หลิวฉีไห่พูดออกมาอีกครั้ง

 

 

“เรื่องนั้นเดี๋ยวข้าน้อยหาวิธีแก้ไขเองขอรับ”

 

 

หลินเป่ยเฉินว่า

 

 

เขากำลังวางแผนที่จะเจรจาต่อรองกับเทพีกระบี่หิมะไร้นามเพื่อขอซื้อผลไม้สวรรค์เพิ่มเติม

 

 

เพราะตราบใดที่หลินเป่ยเฉินสามารถนำยาโอสถหกสวรรค์ออกไปวางจำหน่ายได้ มันจะต้องคืนกำไรมหาศาลกลับมาให้เขาแน่นอน

 

 

หลินเป่ยเฉินรับขวดยาโอสถหกสวรรค์ขวดแรกมาจากอาจารย์อาวุโสทั้งสองท่าน จากนั้นจึงนำไปมอบให้แก่ติงซานฉือระหว่างรับประทานอาหารค่ำ พร้อมกับบอกถึงสรรพคุณของยาชนิดนี้ และไม่ลืมที่จะกล่าวเสริมไปอีกเล็กน้อยว่า “อาจารย์ขอรับ ศิษย์ช่วงนี้หางตากระตุกชอบกล คลับคล้ายคลับคลาว่าจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ศิษย์คิดว่าอาจารย์เลื่อนระดับขึ้นสู่ขั้นยอดปรมาจารย์ระดับที่ 7 ให้เร็วที่สุดจะดีกว่านะขอรับ เพราะถ้าเกิดปัญหาขึ้นมาจริงๆ อาจารย์จะต้องช่วยเหลือศิษย์ได้แน่นอน”

 

 

ติงซานฉือรับขวดยาไปถือและพยักหน้ารับคำ “ตกลง ข้าจะพยายามเลื่อนระดับให้ได้โดยเร็วที่สุด”

 

 

หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ถ้าเลื่อนได้ภายในคืนนี้ ก็จะดีมากเลยขอรับ”

 

 

ติงซานฉือขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับคำ “อาจารย์จะพยายาม”

 

 

เมื่อรับประทานอาหารค่ำกันเสร็จเรียบร้อย ทุกคนก็แยกย้ายกลับบ้าน

 

 

หลินเป่ยเฉินกำลังลากเซียวปิงเพื่อมาฝึกวิชากระบี่เร้นกายกันสองคน แต่ในจังหวะนั้นเอง แขกที่ไม่ได้รับเชิญก็ปรากฏตัวออกมา

 

 

“เป็นเจ้าเองหรือ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินมองหน้าเจียงจี้หลิวด้วยความไม่อยากเชื่อ “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”

 

 

เจียงจี้หลิวหิ้วไหสุรามาด้วยมือซ้าย และมือขวาก็มีห่ออาหารเช่นกัน เขาตอบด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ข้าก็มาหาเจ้านั่นแหละ พอดีมีเรื่องสำคัญอยากจะมาคุยด้วยสักหน่อย ไม่ทราบว่าเจ้ายินดีต้อนรับหรือไม่?”

 

 

หลินเป่ยเฉินนิ่งคิดอยู่เล็กน้อย ก็อุทานออกมาว่า “เจ้าตัดสินใจได้แล้วใช่ไหม? สุดท้ายก็ยินดีเปลี่ยนฝั่งมาอยู่ฝ่ายเดียวกับข้าแล้ว?”

 

 

เจียงจี้หลิวตอบรับกลับมาด้วยสีหน้าที่แสดงความขุ่นเคืองใจขึ้นมาทันที

 

 

เห็นดังนั้น หลินเป่ยเฉินก็ขยับมายืนขวางประตู และพูดว่า “ถ้าไม่ใช่เรื่องนั้น ก็เชิญไสหัวกลับไปซะ ข้าไม่มีอะไรจะคุยกับเจ้า”

 

 

เจียงจี้หลิวยิ้มมุมปาก

 

 

“แน่ใจนะ?”

 

 

หลินเป่ยเฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะขยับตัวออกจากประตูและพูดด้วยความไม่เต็มใจ “ก็ได้ อยากเข้าก็เข้ามา… แต่ขอบอกให้ชัดเจนก่อนนะว่า ข้าเป็นคนดีมีศีลธรรม จิตใจอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือคนอื่น นับเป็นสุภาพบุรุษที่แท้จริง เจ้าคงไม่ได้คิดจะมอมสุราข้า เพื่อทำมิดีมิร้ายหรอกใช่ไหม”