บทที่ 426 จะไปไหนก็ไป

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 426 จะไปไหนก็ไป

พรึบ! พรึบ! พรึบ!

เสียงฝ่ามือตบลงไปบนชายกระโปรงดังลั่น

หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตั้งใจจริงๆ

เพราะในขณะนี้ แม้แต่ตัวเขาเองก็ตกตะลึงอยู่ไม่น้อย

เปลวไฟที่เขาสร้างขึ้นมาในครั้งนี้ มันกลับไม่ทำอันตรายผู้คน เพียงเผาไหม้เสื้อผ้าที่สวมใส่เท่านั้น หลินเป่ยเฉินไม่ได้ตั้งใจกลั่นแกล้งเด็กสาว แต่ถ้าพูดออกมาจะมีใครเชื่อ?

หลินเป่ยเฉินรู้สึกผิดขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผล

ให้ตายสิ

แบบนี้ภาพลักษณ์ของเขาไม่เสียหายยับเยินหมดแล้วเหรอเนี่ย

ยังจะมีอะไรเลวร้ายมากไปกว่านี้อีก?

ว่าแต่ทำไมไฟพวกนี้มันถึงไหม้หลายจุดจริงนะ

หลินเป่ยเฉินเริ่มรู้สึกแล้วว่าพลังปราณธาตุไฟไม่ค่อยเหมาะสมกับเขาสักเท่าไหร่

แต่แล้วเด็กหนุ่มก็เริ่มตั้งสติได้

เขาลองพิจารณาดูใกล้ๆ

อ้าว

ทุกครั้งที่ฝ่ามือของเขาตบลงไปบนเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่บนเสื้อผ้าของเด็กสาว เปลวไฟเหล่านั้นก็จะดับลงทีละจุด ทีละจุด

“หุหุ เห็นไหมล่ะ สุดท้ายเจ้าก็ต้องพึ่งพาข้าในการดับไฟอยู่ดี”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็ตบมือไปทั่วร่างกายของเด็กสาวเพื่อดับไฟให้นาง

พรึบ! พรึบ! พรึบ!

ในที่สุด เปลวไฟบนตัวของเด็กสาวผมทองก็ถูกดับหมดสิ้น

สองมือของหลินเป่ยเฉินมีสภาพแดงก่ำ

เสื้อผ้าของเด็กสาวก็มีรูโหว่ปรากฏขึ้นมากมาย

รูโหว่เหล่านั้นทำให้มองเห็นผิวพรรณขาวเนียนที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ด้านใน นับว่าเด็กสาวมีความสวยงามทั้งหน้าตาและเรือนร่างในชนิดที่ไม่เป็นสองรองใครจริงๆ

แต่ไม่มีใครปฏิกิริยารวดเร็วเท่าหลินเป่ยเฉิน

เขาดาวน์โหลดเสื้อคลุมออกมาจากแอปไป่ตู้ เน็ตดิสก์ และนำมันไปคลี่คลุมให้แก่เด็กสาวแทนเสื้อคลุมที่ถูกไฟไหม้

ระดับความเร็วและความแม่นยำในการคลี่เสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉิน ทำให้ไม่มีใครสามารถมองเห็นเรือนร่างภายใต้เสื้อผ้าที่ไหม้ไฟของเด็กสาวผมทองได้เลยสักคนเดียว แม้แต่กระจกถ่ายทอดสดก็ยังจับภาพเอาไว้ไม่ทัน

หลินเป่ยเฉินรู้ดีเสมอว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำ

นี่คือความผิดพลาดที่เขาก่อขึ้นมาต่อหน้าสาธารณชน แล้วถ้าเกิดเด็กสาวฝ่ายตรงข้ามต้องมีอันเปลือยกายเพราะความผิดพลาดของเขา หลินเป่ยเฉินก็คงทำใจยอมรับตนเองไม่ได้จริงๆ

โชคดีที่เมื่อสักครู่นี้มีเปลวไฟลุกโชนสว่างไสว ทำให้เหล่าคนดูไม่สามารถมองเห็นเรือนร่างที่อยู่ใต้อาภรณ์บางเบาของเด็กสาวได้ถนัดตา

เว้นเพียงคนเดียวเท่านั้น…

ซึ่งก็คือหลินเป่ยเฉิน

พลัน บรรยากาศรอบเวทีประลองตกอยู่ในความเงียบ

บนเวทีประลอง เด็กสาวนำเสื้อคลุมของหลินเป่ยเฉินไปสวมใส่ด้วยเนื้อตัวที่สั่นระริก

ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกินที่จิตใจของนางจะทนทานได้

หลินเป่ยเฉินได้แต่ยกมือเกาหัวแกรกๆ และเอ่ยคำขอโทษด้วยความจริงใจ “เอ่อ เมื่อสักครู่ ข้าทำพลาดไปหน่อย พอดีว่าข้ายังควบคุมพลังของตนเองได้ไม่ชำนาญ ขนาดเสื้อผ้าของข้าเองก็ยังไหม้อยู่บ่อยๆ เลย…”

เด็กสาวจ้องมองใบหน้าของเขาด้วยแววตาโกรธแค้น

หลินเป่ยเฉินรู้สึกราวกับว่าแววตาของนางไม่ต่างไปจากคมกระบี่สองเล่ม

เขาพูดพร้อมกับรู้สึกหนังหัวชายิบ “โบราณกล่าวไว้ว่าสี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วเจ้าจะให้อภัยข้าไม่ได้เชียวหรือ… “

เด็กสาวไม่พูดคำใด ได้แต่กัดฟันกรอด น้ำตาไหลพรากลงมาอาบสองแก้ม

เมื่อสักครู่นี้ นางรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงฝ่ามือของหลินเป่ยเฉินที่ตะปบตบลงมาตามหน้าอก ช่วงเอว และสะโพก

นางได้แต่จ้องมองเด็กหนุ่มตาขวาง

ความรู้สึกของมือที่ขยุ้มลงมาบนหน้าอกของนางนั้นยังชัดเจนอยู่จนถึงบัดนี้

เด็กสาวจึงไม่ทราบเลยว่านางควรรู้สึกอย่างไรกันแน่ ไม่ว่าจะเป็นอับอาย โกรธแค้น หรือว่าเกลียดชัง

หลินเป่ยเฉินพูดออกมาได้อย่างไรว่าไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ตั้งใจจริงๆ เขาก็คงไม่จุดไฟตั้งแต่แรก

เขามันคนโกหก

หากสายตาของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นคมกระบี่ ป่านนี้หลินเป่ยเฉินก็คงนอนเสียชีวิตกลายเป็นศพที่พรุนไปทั้งตัว

“เฮ้อ ข้าตั้งใจจริงๆ นะ… เอ๊ย ไม่ได้ตั้งใจ”

หลินเป่ยเฉินมัวแต่รู้สึกผิดจนเกือบจะพูดผิดออกมา

เขาพยายามแก้ไขสถานการณ์ด้วยการเอ่ยปากชม “แต่ดูเจ้าสิ เพราะสวมใส่เสื้อผ้าอย่างนี้ ยิ่งมีเสน่ห์มากกว่าเดิมอีก ผมสีเหลืองทองของเจ้า เข้าได้ดีกับชายเสื้อคลุมที่ยาวเลยหัวเข่า…”

นี่หลินเป่ยเฉินกำลังเชยชมที่นางสวมใส่เสื้อคลุมของบุรุษอยู่อย่างนั้นหรือ?

“ความแค้นครั้งนี้ฝากเอาไว้ก่อนเถอะ”

เด็กสาวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความดุดันเป็นครั้งสุดท้าย ก็หมุนตัวเดินลงจากเวทีไปในที่สุด

“อ้าว?”

หลินเป่ยเฉินรีบวิ่งตามไปพูดที่ขอบเวทีว่า “ยังจะแค้นอะไรข้าอีก ก็บอกแล้วไงว่าข้าไม่ได้ตั้งใจ”

“เฮอะ เจ้าจงจำชื่อของข้าไว้ให้ดี ข้ามีนามว่าเฉินปี้จุน”

เด็กสาวพูดโดยไม่หันหน้ามองกลับมา “ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าเอาไว้แน่”

เอ่อ…

ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้นะ

หลินเป่ยเฉินได้แต่ยืนมองเด็กสาวเดินหายลับไปจากสายตา

“หลินเป่ยเฉินเป็นผู้ชนะ ได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป”

กรรมการเดินขึ้นมาประกาศผลบนเวที

หลินเป่ยเฉินเดินลงมาจากเวทีไปด้วยความเศร้า

ความเสียหายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก

นอกจากทำให้เด็กสาวคนนั้นโกรธแค้นแล้ว หลินเป่ยเฉินยังต้องเสียเสื้อคลุมไปถึงหนึ่งตัว

เสื้อตัวนั้นมีราคาตั้ง 10 เหรียญเงินเชียวนะ

แต่ในจังหวะที่ลงมาจากเวทีแล้วนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ทำท่าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้

“ให้ตายสิ…”

หลินเป่ยเฉินยกมือตบหน้าผากและกระโดดกลับขึ้นไปยืนอยู่ข้างกรรมการบนเวที

ภายใต้การจ้องมองของดวงตาจำนวนนับไม่ถ้วน หลินเป่ยเฉินกลับมายืนอยู่กลางเวทีอีกครั้ง เขายังยิ้มให้กับทุกคน มือข้างหนึ่งยื่นออกมาข้างหน้า บนมือของเขาปรากฏขวดหยกขนาดเล็กที่ฝาปิดถูกเปิดออกไปแล้ว

“ยาบำรุงตรากวนอวี่ ไม่ว่าท่านกำลังทุกข์ เศร้า เหงา โกรธ หรือมีความสุข เมื่อท่านรับประทานยาบำรุงตรากวนอวี่เข้าไปแล้ว ท่านก็จะรู้สึกสดชื่นเหมือนได้กลายเป็นคนใหม่… ยาบำรุงขวดนี้มีราคาเพียง 1 เหรียญทองคำเท่านั้น ถือว่าไม่แพงเลยแม้แต่น้อย ทุกท่านโปรดดูข้าเป็นตัวอย่าง เมื่อสักครู่นี้ ข้าลืมรับประทานยาบำรุงตรากวนอวี่ จึงไม่สามารถควบคุมพลังได้อย่างที่ควร และส่งผลให้สาวงามคนนั้นเกลียดชังข้าเข้าเสียแล้ว!”

หลังจากนั้น หลินเป่ยเฉินก็เทยาลูกกลอนสีแดงเข้มออกมาจากในขวดหนึ่งเม็ด และยัดใส่ปากกลืนลงคอ “อืม รสชาติยอดเยี่ยมมาก!”

ยอดเยี่ยมกับผีน่ะสิ!

ถ้าไม่กลัวว่าเถ้าแก่เจ้าของร้านขายยากวนอวี่จะมาทวงเงินคืน หลินเป่ยเฉินไม่มีทางรับประทานยาลูกกลอนรสขมปี๋แบบนี้เด็ดขาด

เมื่อโฆษณาตามหน้าที่เสร็จเรียบร้อย หลินเป่ยเฉินก็เดินลงมาจากเวทีอีกครั้ง

สิ่งที่ตามมาหลังความเงียบคือเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนดู

นี่แหละหลินเป่ยเฉิน

เจ้าคนสมองเสื่อมประจำเมืองหยุนเมิ่ง

แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะกระทำเรื่องราวใดๆ ไว้ แต่ไม่กี่ลมหายใจต่อมา หลินเป่ยเฉินก็มักจะทำเรื่องที่ไม่คาดคิดได้เสมอ

ณ ที่นั่งของแขกคนสำคัญ

“น่าอับอายเกินไปแล้ว”

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“เด็กคนนี้… ไม่มีจิตสำนึก”

เจ้าหน้าที่อีกคนหนึ่งกล่าวเสริม

หยิงอู๋จีเพียงยิ้มมุมปากและไม่พูดอะไร

“ท่านเจ้าเมืองฉุย หลินเป่ยเฉินเป็นคนน่าละอายถึงที่สุด จำเป็นต้องถูกลงโทษเพื่อดัดนิสัยเสียบ้าง มิเช่นนั้นแล้ว เขาจะทำให้เมืองหยุนเมิ่งต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงไปมากกว่านี้ หรือที่ท่านยังปล่อยหลินเป่ยเฉินให้ลอยนวล เป็นเพราะหวาดกลัวบารมีของเขาที่มีสถานะเป็นผู้ที่ถูกเลือก?”

เจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาคนที่สามอดพูดออกมาไม่ได้

ฉุยเฮาเฟิงยิ้มแย้มตอบกลับไปว่า “ไม่มีเหตุผลที่เมืองนี้จะต้องตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่ถูกเลือก”

กลุ่มเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง

แต่แล้วฉุยเฮาเฟิงกลับขัดจังหวะขึ้นว่า “แต่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้ เป็นยอดฝีมือรุ่นใหม่กำลังประลองฝีมือกัน หลินเป่ยเฉินเพิ่งลองใช้พลังปราณธาตุไฟของเขาเป็นครั้งแรก ย่อมเกิดข้อผิดพลาดได้เป็นเรื่องธรรมดา รบกวนใต้เท้าฉู่อย่าได้ใส่ใจเกินไปนัก”

“ท่าน …หึ”

หัวหน้าเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษามีสีหน้าขาวซีดขึ้นมาทันที “ท่านเจ้าเมืองฉุย ท่านกำลังปกป้องหลินเป่ยเฉินอยู่ รู้ตัวหรือไม่”

ฉุยเฮาเฟิงกล่าวตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “หลินเป่ยเฉินเป็นตัวแทนของเมืองหยุนเมิ่ง ในฐานะที่ข้าเป็นเจ้าเมืองหยุนเมิ่ง หากไม่ปกป้องเขาแล้ว ท่านจะให้ข้าปกป้องใคร?”

กลุ่มเจ้าหน้าที่จากกระทรวงศึกษาพร้อมใจกันชะงักงันไปอีกครั้ง

หยิงอู๋จีที่นั่งอยู่ด้านข้างอดหันมามองฉุยเฮาเฟิงไม่ได้ แววตาของเขาเป็นประกายขุ่นเคืองและแฝงไว้ด้วยความอำมหิตขึ้นมาเล็กน้อย แต่มันก็แสดงออกมาเพียงชั่วครู่เดียวเท่านั้น แววตาของหัวหน้ามือปราบก็กลับเป็นปกติ

การต่อสู้บนเวทียังดำเนินต่อไป

ผู้เข้าแข่งขันซึ่งเป็นตัวแทนจากหัวเมืองใหญ่ ต่างก็สามารถผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้สำเร็จ ทุกคนล้วนแสดงฝีมือออกมาอย่างสุดความสามารถ ไม่มีใครยอมออมมือเพียงเพราะว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กสาวเลยด้วยซ้ำ

เมื่อล่วงเข้าสู่ยามบ่าย การต่อสู้รอบที่สองก็จบลง

เหลือผู้เข้าแข่งขัน 17 คนได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป

และช่างโชคดีเหลือเกินที่หลินเป่ยเฉินสามารถจับได้แผ่นป้ายผู้โชคดี ไม่ต้องมีคู่แข่ง เพราะเขาได้รับอนุญาตให้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้โดยไม่ต้องขึ้นประลอง

“อุ๊ย ท่านพี่หลินโชคดีจังเลย”

ฮันปู้ฮวยอุทานออกมาเสียงดัง “แค่นี้ก็ไม่ต้องเหนื่อยแบบคนอื่นแล้วสินะ”

หลินเป่ยเฉินพลันอดขมวดคิ้วไม่ได้

ทำไมคำพูดของฮันปู้ฮวยมันถึงได้ฟังดูแปลกๆ ชอบกล

ฟังดูแล้วรู้สึกเหมือนกับว่าเขาเอาเปรียบผู้เข้าแข่งขันคนอื่นอย่างไรก็ไม่รู้

แต่อย่าคิดมากดีกว่า

โชคดีก็คือโชคดี เขาจะได้มีเวลาไปทำอย่างอื่น

“พวกเรากลับไปฝึกวิชากันดีกว่า”

หลินเป่ยเฉินโบกมือเรียกไป๋ชินหยุน เซียวปิง ฉุยหมิงโหลวและอาจารย์ทั้งสามท่าน ให้กลับไปฝึกวิชากันต่อที่ตำหนักไม้ไผ่

เพราะภารกิจออกกำลังกายแบบกลุ่มของหลินเป่ยเฉินยังทำไม่สำเร็จ

“คงไม่ดีกระมัง?”

อาจารย์ฝึกหัดเถียนเถียนปรากฏตัวขึ้น รีบห้ามว่า “ทุกคนกำลังมองอยู่นะ”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ชนะ “แต่มันไม่สำคัญกับข้าแล้วนี่ขอรับ ถึงอย่างไรข้าก็ผ่านเข้ารอบต่อไปอยู่แล้ว และกว่าที่การแข่งรอบต่อไปจะเริ่มขึ้นก็คือวันพรุ่งนี้ ข้ามีความแข็งแกร่งเกินกว่าจะต้องสนใจว่าคู่ต่อสู้คือใคร บัดนี้ข้าอยากกลับที่พัก แต่อาจารย์เถียนไม่ต้องเป็นกังวล เพราะถึงอย่างไรตำแหน่งผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้ ก็จะต้องเป็นของข้าแน่นอน”

“แต่ผู้นำจากกระทรวงศึกษากำลังมองเจ้าอยู่…”

เถียนเถียนส่งเสียงกระซิบ

“ถึงเป็นผู้นำของกระทรวงศึกษา ก็ไม่สำคัญในสายตาของข้าหรอกขอรับ”

หลินเป่ยเฉินพูดหน้าตาเฉย “ต่อให้พวกเขาไม่พอใจ แต่พรุ่งนี้พอข้าน้อยคว้าตำแหน่งผู้ชนะได้สำเร็จ เดี๋ยวพวกเขาก็หายโกรธข้าเองนั่นแหละ ดีไม่ดีพวกเขาจะดีใจที่ได้เห็นหน้าข้า ยิ่งกว่าเห็นหน้าของบิดาตัวเองด้วยซ้ำ…”

เถียนเถียนสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจสุดขีด

เขารีบยกมือปิดปากหลินเป่ยเฉินเพราะกลัวว่าเด็กหนุ่มจะพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดออกมาอีก สุดท้ายก็ต้องกล่าวว่า “ตามใจ เจ้าจะไปไหนก็ไป อย่าได้อยู่พูดจาไร้สาระที่นี่อีกเลย”