บทที่ 771 : ความฉลาดของเกาจิ้นสง!
หลิงหยุนสังเกตุเห็นรังสีสังหารเปล่งประกายออกมาจากดวงตาสีแดงเข้มของเกาจิ้นสงและจากแววตาของเกาจิ้นสงนั้น ทำให้หลิงหยุนรู้ว่าหลังจากนี้เกาจิ้นสงจะต้องนำลูกหลานตระกูลเกาตอบโต้ตระกูลเฉินอย่างสาสมแน่นอน
และเมื่อเป็นเช่นนี้..ตระกูลเกาก็คือตระกูลแรกที่จะเป็นพันธมิตรกับตระกูลหลิง!
“แต่มีบางอย่างที่ข้ากับเทียนหลงเองก็ไม่อาจรู้ได้..เพราะระหว่างที่พวกเราถูกเนตรปีศาจของเฉินเจี้ยนกุ่ยสะกดจิตไว้นั้น ไม่รู้ว่าได้เล่าความลับอะไรของตระกูลเกาอออกไปให้มันได้ล่วงรู้บ้าง”
เนตรปีศาจนั้นสามารถใช้สะกดจิตเพื่อควบคุมความคิดจิตใจ และพฤติกรรมของมนุษย์ได้ ทำให้มนุษย์เหล่านั้นกลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีของเหล่าแวมไพร์..
และภายใต้การสะกดจิตของเนตรปีศาจจิตใจของคนผู้นั้นจะถูกควบคุมอย่างสมบูรณ์ หากอีกฝ่ายต้องการสังหารคนผู้นั้นก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายเพียงนิดเดียว ผู้ที่ถูกสะกดจิตด้วยเนตรปีศาจจะไม่สามารถรู้ได้เลยว่าในช่วงเวลานั้นๆ ตนเองได้พูดและทำอะไรลงไปบ้าง!
“แต่พวกเราตระกูลเกายังนับว่าโชคดีมากที่ได้เจ้าช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากการสะกดจิตและควบคุมของเนตรปีศาจ จนสามารถกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง!”
ตั้งแต่ที่เกาจิ้นสงได้สติและหลุดพ้นจากการควบคุมของเนตรปีศาจนั้น เขาก็ครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้อยู่หลายต่อหลายครั้ง เพราะแม้แต่เขาเองก็จำไม่ได้ว่าได้บอกเล่าสิ่งใดให้เฉินเจี้ยนกุ่ยล่วงรู้ไปแล้วบ้าง แววตาของเขาจึงดูสับสนอย่างมาก..
“ก่อนที่ข้าจะคิดทำการอะไรต่อไปสิ่งแรกที่ข้าต้องรู้ก็คือสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายนอก..”
เกาจิ้นสงเลิกคิ้วขึ้นสูงแต่สีหน้านั้นกลับสงบนิ่ง..
และนี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนได้เห็นอีกด้านของเกาจิ้นสงที่ทั้งดุดันสงบนิ่ง และไม่มีอาการตื่นตระหนกตกใจแม้แต่น้อย..
นี่คือลักษณะของผู้นำที่แท้จริง!ผู้ที่อยู่ในฐานะผู้นำนั้น ไม่ควรอย่างยิ่งที่จะแสดงความรู้สึกใดๆออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น..
“ท่านปู่เกา..ท่านคิดว่าต้องใช้เวลาในการสืบดูสถานการณ์ภายนอกนานเท่าไหร่”
เมื่อได้ยินคำพูดของเกาจิ้นสงหลิงหยุนก็เข้าใจได้ทันทีว่าเกาจิ้นสงนั้นต้องการที่จะกอบกู้อำนาจของตระกูลเกากลับคืนมา!
การกระทำของเฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นอาจเรียกได้ว่าเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ตระกูลเกาเลยก็ว่าได้ เพราะมันตั้งใจที่จะทำให้ทุกคนในตระกูลเกาตกเป็นบริวารของมัน และสถาปนาตนเองเป็นเจ้าชีวิตของทุกคน!
ระหว่างที่ถูกเฉินเจี้ยนกุ่ยใช้เนตรปีศาจสะกดจิตนั้นทั้งเกาจิ้นสง เกาซิงฉาง และคนอื่นๆ ต่างก็ได้บอกเล่าความลับของตระกูลเกา สถานที่สำคัญๆ รวมถึงรหัสต่างๆให้กับเฉินเจี้ยนกุ่ยได้รู้ อีกทั้งยังได้ออกคำสั่งภายใต้นามตระกูลเกาที่ตนเองก็คาดไม่ถึงด้วยเช่นกัน
และแน่นอนว่าคำสั่งเหล่านั้นล้วนแล้วแต่ต้องไม่เป็นผลดีต่อตระกูลเกาแต่กลับเป็นผลดีต่อตระกูลเฉินทั้งสิ้น!
“เรื่องนี้ข้าไม่สะดวกออกหน้าทำด้วยตัวเองคงต้องให้เทียนหลงเป็นตัวแทนไปจัดการ แต่เรื่องนี้จำเป็นต้องทำอย่างลับๆเท่านั้น ห้ามไม่ให้ตระกูลเฉินล่วงรู้โดยเด็ดขาด คาดว่าน่าจะใช้เวลาอย่างเร็วที่สุดก็คงหนึ่งสัปดาห์ หรือไม่เกินสิบวันหากไม่มีเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น!”
เกาจิ้นสงตอบคำถามหลิงหยุนทุกอย่างโดยไม่คิดที่จะปิดบังอะไร..
การต่อสู้และสังหารศัตรูนั้นเป็นเพียงไพ่ใบสุดท้ายเท่านั้น ในเมืองหลวงเช่นนี้ยังมีเกมการเมืองที่เหนือกว่านี้อีกมาก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ และการวางหมาก..
เวลานี้หลิงหยุนเองก็ได้ช่วยเกาเฉินเฉินออกมาแล้วเกาจิ้นสงจึงไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลหรือห่วงอะไรอีก เขาจึงคิดที่จะตอบโต้ตระกูลเฉินอย่างจริงจังเสียที!
“หลิงหยุน..ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้า!”
ตั้งแต่ที่หลิงหยุนช่วยคนตระกูลเกาออกมาได้นั้นเกาจิ้นสงเองก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับหลิงหยุนอย่างเปิดอกเช่นนี้มาก่อน
เกาจิ้นสง..ชายชราอายุเจ็ดสิบปีที่ไม่เพียงเป็นปู่ของเกาเฉินเฉิน แต่ยังเปรียบเสมือนหางเสือของตระกูลเกาอีกด้วยนั้น ระหว่างที่พูดคุยกับหลิงหยุน.. เขาก็ได้ทิ้งสถานะสูงส่งที่ว่าออกไปจนหมด และพูดคุยกับหลิงหยุนราวกับว่าหลิงหยุนเป็นสหายของเขาคนหนึ่งเพื่อไม่ให้หลิงหยุนรู้สึกอึดอัดเกรงใจ..
แต่แน่นอนว่าคนอย่างหลิงหยุนไม่มีทางรู้สึกเช่นนั้นแน่เพราะเขาคือผู้ที่ช่วยเหลือตระกูลเกา..
แต่ถึงแม้ว่าเขจะไม่ได้ช่วยเหลือตระกูลเกาหลิงหยุนก็ยังคงเป็นหลิงหยุนที่ไม่เคยถ่อมตน เป็นหลิงหยุนที่มีจิตใจสงบนิ่ง และพอใจในตัวเองเช่นนี้เสมอ!
หลิงหยุนได้เห็นความเฉลียวฉลาดของเกาจิ้นสงเขาสังเกตุเห็นว่าเกาจิ้นสงนั้นสามารถเรียนรู้และเข้าใจอุปนิสัยของเขาได้อย่างรวดเร็ว สังเกตุได้จากการที่เกาจิ้นสงพูดคุยกับเขาอย่างเปิดเผย และไม่คิดที่จะปิดบัง หรือเสแสร้งใดๆ
“ท่านปู่เกา..เชิญท่านพูดมาเถิด!”
“หลิงหยุน..เวลานี้เฉินเจี้ยนกุ่ยก็ถูกเจ้าจับกุมตัวไว้แล้ว อีกทั้งช่วงนี้ตระกูลเฉินก็คงจะโกลาหลวุ่นวายอย่างมาก คงไม่มีเวลาที่จะคิดกระทำการใดๆ แต่ต่อให้พวกมันคิดจะจัดการกับตระกูลเกาเวลานี้ ก็คงจะไม่สามรถสู้กับพวกเราที่เป็นแวมไพร์ได้อย่างแน่นอน!”
“อีกทั้งเวลานี้พวกเราทั้งสิบคนก็ได้รับการรักษาจนสภาพจิตใจกลับมาเป็นปกติแล้วเลือดที่เหลืออยู่ก็มีเพียงพอ คงไม่จำเป็นต้องให้เทียนหลงกับเฉินเฉินอยู่ดูแลพวกเราที่นี่ต่อไปอีก พวกเราสามารถดูแลตัวเองได้!”
“ข้าจึงอยากให้เทียนหลงกับเฉินเฉินไปอยู่ข้างนอกและอยากจะขอร้องให้เจ้าช่วยดูแลความปลอดภัยให้กับหลานชาย และหลานสาวของข้าทั้งสองคนด้วย..”
หลิงหยุนได้ฟังแล้วก็ได้แต่คิดอยู่ในใจว่าเมื่อครู่เขายังเป็นอาจารย์ของทั้งคู่อยู่เลย แต่เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวเขาก็ต้องกลายมาเป็นบอดี้การ์ดของทั้งคู่ไปแล้ว..
“ท่านปู่เกา..เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว ท่านปู่อย่าได้กังวลใจไป ข้ารับรองว่าเทียนหลงกับเฉินเฉินจะต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน!”
แม้ในใจจะนึกบ่นชายชราที่ทั้งฉลาดและมีเล่ห์เหลี่ยมมากมายแต่ปากก็ร้องตะโกนออกไปอีกอย่าง
อยู่ต่อหน้าเกาเฉินเฉินที่กำลังจ้องมองเขาอย่างไม่ละสายตาเช่นนี้มีหรือที่หลิงหยุนจะกล้าลังเลอ้ำอึ้ง เพราะหากเขาปฏิเสธคำขอร้องของเกาจิ้นสง ก็เท่ากับปฏิเสธการร่วมหอลงโลงกับเกาเฉินเฉินในวันข้างหน้าด้วย..
“นี่หลิงหยุน..เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่จึงจะถูกต้อง..”
เกาเทียนหลงที่ยืนอยู่ข้างๆแสร้งร้องตะโกนบอกหลิงหยุนอย่างไม่พอใจเมื่อได้ยินหลิงหยุนเรียกชื่อเขาโดยไม่มีคำนำหน้า..
หลังจากที่ได้พูดคุยปรึกษาหารือกันมาครู่ใหญ่เกาเทียนหลงก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น จึงเพิ่งจะนึกถึงฐานะของตนเองกับหลิงหยุนซึ่งจะมาเป็นน้องเขยในวันข้างหน้า
ทุกคนในห้องได้ฟังต่างก็พากันหัวเราะเสียงดังออกมาอย่างมีความสุข..
หลิงหยุนทำท่าทางกระอักกระอ่วนพร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้“นี่.. อยากจะให้ข้าเรียกเจ้าว่าพี่ ก็ต้องถามความเห็นจากเฉินเฉินก่อนว่าจะยอมแต่งกับฉันหรือเปล่า”
ดวงตาคู่งามมีเสน่ห์ของเกาเฉินเฉินจ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นอายๆว่า“เกี่ยวอะไรกับฉัน!”
ทุกคนในห้องต่างก็หัวเราะออกมาเสียงดังอีกครั้งและเวลานี้บรรยากาศภายในห้องก็เปลี่ยนจากเคร่งเครียดเมาป็นผ่อนคลายและมีความสุข..
หลังจากหัวเราะสนุกสนานกันไปครู่หนึ่งเกาจิ้นสงก็หันไปทางหน้าต่างจ้องมองไปยังแสงไฟสลัวท่ามกลางความมืด แต่จู่ๆก็ถามโพล่งขึ้นมา
“หลิงหยุน..เจ้าเองก็เพิ่งจะมาถึงปักกิ่งไม่ใช่รึ แล้วบ้านหลังนี้..”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘ในที่สุดก็สงสัยจนได้สินะ!’
แต่หลิงหยุนตอบกลับไปเพียงแค่สั้นๆ“ท่านปู่เกา.. นี่คือบ้านแถบชานเมืองของครอบครัวข้าเอง!”
“อืมม!”
เกาเทียนสงทำเสียงรับรู้เพียงแค่นั้นแล้วปิดปากเงียบทันที และไม่คิดที่จะถามอะไรต่อ!
“ห๊ะ!บ้านหลังนี้เป็นบ้านของนายเองงั้นเหรอ?!” เกาเฉินเฉินร้องอุทานออกมาทันที
‘หลิงหยุนไม่ใช่เพิ่งมาจากเมืองจิงฉูหรอกเหรอแล้วทำไมถึงได้มีบ้านอยู่ที่ปักกิ่งได้?’
เกาเฉินเฉินได้แต่นึกถึงคำเรียก‘นายน้อยสี่’ ที่เหล่ากุ่ยใช้เรียกหลิงหยุนมาโดยตลอด..
เวลานี้คนทั้งตระกูลเการวมถึงเกาเฉินเฉิน และเกาเทียนหลง ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าหลิงหยุนนั้นได้กลายมาเป็นนายน้อยสี่แห่งตระกูลหลิงไปแล้ว!
คำถามของเกาจิ้นสงดูเหมือนจะทำให้ฐานะของหลิงหยุนเกือบต้องถูกเปิดเผยโดยไม่รู้ตัวและหากเกาจิ้นสงถามต่อ แน่นอนว่าหลิงหยุนคงต้องเผชิญหน้ากับการเปิดเผยฐานะของตนเองอย่างแน่นอน
ความจริงแล้ว..ความสัมพันธ์ระหว่างหลิงหยุนกับเกาเฉินเฉินเวลานี้ ต่อให้หลิงหยุนเปิดเผยฐานะของตนเองก็คงไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้ตระกูลเกากำลังอ่อนแอ และตกอยู่ในอันตรายยิ่งกว่าตระกูลหลิงเสียอีก หากหลิงหยุนเปิดเผยฐานะของตนเองให้ทุกคนได้รู้ แต่คนในตระกูลเกาคนใดคนหนึ่งถูกจับตัวไป และถูกเค้นถามเรื่องนี้ หลิงหยุนเองก็คงจะต้องมีปัญหาอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนตั้งใจไว้ว่าอย่างน้อยก็ต้องหาหลิงเสี่ยวให้พบเสียก่อนหรือไม่อย่างน้อยก็ต้องได้รู้เบาะแสหลิงเสี่ยว เขาจึงจะสามารถเปิดเผยฐานะของตนเองได้..
ในเมืองหลวงที่กว้างขวางใหญ่โตนี้มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายมากมาย บอกไม่ได้แม้กระทั่งว่าใครคือมิตร และใครคือศัตรู หากหลิงหยุนเปิดเผยฐานะของตนเองออกไป เขาเกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อพ่อของเขาที่หายตัวไป..
หลิงเสี่ยวอยู่ที่ใดกันแน่
และในเมื่อเกาจิ้นสงไม่ถามหลิงหยุนก็เลือกที่จะไม่พูดเช่นกัน เขาเพียงแค่ยิ้มพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ท่านปู่..หากท่านปู่คิดว่าไม่สะดวกใจที่จะอยู่ที่นี่ ข้าก็จะหาที่อยู่ใหม่ให้”
เกาจิ้นสงเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนพร้อมกับตอบยิ้มๆ“ไม่ต้อง.. อยู่ที่ห้องใต้ดินนี้ก็สะดวกดีแล้ว”
ในช่วงเวลาเช่นนี้ไม่มีที่สำหรับตระกูลเกา! เมืองหลวงกว้างใหญ่ไพศาล แต่กลับไม่มีที่ปลอดภัยสำหรับตระกูลเกา เกาจิ้นสงจึงจำต้องตอบหลิงหยุนกลับไปเช่นนั้น
“ไม่ทราบว่าท่านปู่คิดจะจัดการกับเฉินเจี้ยนกุ่ยอย่างไร”หลิงหยุนถามขึ้น
เฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นเป็นศัตรูที่ตระกูลเกาแค้นเคืองอย่างมากคนในตระกูลเกาแทบทุกคนคงอยากจะแล่เนื้อเถือหนัง และฉีกเนื้อของเฉินเจี้ยนกุ่ยออกเป็นชิ้นๆ หลิงหยุนจึงต้องถามความเห็นจากเกาจิ้นสงเสียก่อน
และดูเหมือนชื่อของเฉินเจี้ยนกุ่ยจะมีมนต์ขลังทันทีที่หลิงหยุนพูดชื่อเฉินเจี้ยนกุ่ยออกมา ทั้งเกาจิ้นสง เกาซิงฉาง และลู่เฉียวฟาง ต่างก็คล้ายกับพยายามกดข่มความรู้สึกบางอย่าง..
พวกเขากำลังต่อต้านความรู้สึกในการยอมจำนนต่อเฉินเจี้ยนกุ่ยที่อยู่ในจิตใจ!
“ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง!”เกาจิ้นสงพูดบังคับตนเองให้พูดออกมาอย่างยากลำบาก
เฉินเจี้ยนกุ่ยนั้นคือศัตรูตัวฉกาจของตระกูลเกาแต่คนตระกูลเกากลับเกิดความรู้สึกที่อยากจะยอมจำนนต่อศัตรูของตนเองอยู่ในเบื้องลึกของจิตใจ นี่นับว่าเป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างมากของตระกูลเกา!
“พวกเจ้าสามคนต้องทำทุกอย่างให้เงียบที่สุดอย่าให้ล่วงรู้ไปถึงหูของคนตระกูลเฉินได้ แล้วก็ต้องระมัดระวังตัวให้มาก ตระกูลเกาไม่อาจสูญเสียได้มากกว่านี้อีกแล้ว..”
เกาจิ้นสงเอ่ยออกมาในที่สุด..
บทที่ 772 : ได้เวลาบ่มเพาะเคียงคู่!
“เฉินเฉิน..ทุกอย่างจะต้องค่อยๆดีขึ้น!”
หลังจากเที่ยงคืนผ่านไปหลิงหยุนก็พาเกาเฉินเฉินไปขึ้นรถแลนด์โรเวอร์แล้วขับออกจากบ้านมุ่งหน้าไปพบกับถังเมิ่งที่โรงแรม
ส่วนเกาเทียนหลงนั้นหลังจากปรึกษาหารือกับหลิงหยุนมาเป็นเวลานานเขาก็ยังมีเรื่องที่จะต้องพูดคุยกับท่านปู่และท่านพ่อของเขาอีกหลายเรื่อง เกาเทียนหลงจึงเลือกที่จะอยู่บ้านหลังนี้ต่อ
การเผชิญหน้ากับตระกูลเฉินและกอบกู้ตระกูลเกานั้น ได้ตกเป็นหน้าที่ของเกาเทียนหลงไปโดยปริยาย เขาจึงจำเป็นต้องประเมินตนเอง และฝ่ายตรงข้ามเป็นอย่างดี..
ภารกิจของเกาเทียนหลงในครั้งนี้จึงค่อนข้างซับซ้อนและยุ่งยากพอสมควร เขาจึงจำเป็นต้องประเมินอำนาจ และกำลังของตระกูลเกาที่เหลืออยู่ให้ดีเสียก่อน
แต่เกาเฉินเฉินนั้นเป็นเพียงเด็กสาวอายุที่เพิ่งจะอายุครบสิบแปดปีอีกทั้งยังไม่มีวรยุทธ ภารกิจในการกอบกู้ตระกูลเกาจึงเป็นหน้าที่หลักของเกาเทียนหลงเพียงคนเดียว
อีกอย่างแทนที่จะให้เกาเฉินเฉินต้องมาข้องเกี่ยวกับภารกิจในครั้งนี้สู้ให้เธอติดตามหลิงหยุนไปจะดีกว่า และให้เธอได้เรียนรู้วรยุทธจากหลิงหยุนให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้..
ก่อนที่จะออกจากบ้านไปหลิงหยุนก็ได้จัดการวางค่ายกลเขาวงกตขึ้นใหม่อีกครั้ง เพื่อจะได้มั่นใจว่าคนตระกูลเกาทั้งหมดจะปลอดภัย
เกาเทียนหลงส่งศิลาเกลาใจคืนให้กับหลิงหยุนเพราะเวลานี้คนตระกูลเกาต่างก็หลุดพ้นจากการสะกดจิตของเนตรปีศาจแล้ว ศิลาเกลาใจจึงไม่จำเป็นกับพวกเขาอีกต่อไป
แม้ศิลาเกลาใจจะมีผลในการกำจัดอำนาจของเนตรปีศาจแต่ก็ไม่มีผลใดๆต่อเลือดแวมไพร์ที่อยู่ในร่างกายของคนตระกูลเกา หรือหากจะมีก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น..
“ตราบใดที่มีนายอยู่ข้างๆแบบนี้ฉันก็ไม่กลัวอะไรอีกแล้ว!”
ระหว่างที่หลิงหยุนขับรถไปนั้นเกาเฉินเฉินก็ยังคงนั่งกอดแขนหลิงหยุนไว้แน่น และดูเหมือนจะไม่ยอมปล่อยด้วยซ้ำไป
หลิงหยุนเอ่ยออกมาอย่างเสียใจ..
“เฉินเฉิน..ครั้งนี้ผมทำให้คุณต้องพบกับความทุกข์ใจแสนสาหัส! เป็นความผิดของผมเอง หากไม่ใช่เพราะผมลงไปสำรวจหลุมยักษ์นั่นจนเปิดโอกาสให้ตระกูลซันเข้ามาสร้างความปั่นป่วนในจิงฉู จนคุณต้องกลับมาปักกิ่งเพื่อขอความช่วยเหลือจากครอบครัวแล้วล่ะก็..”
ความจริงแล้วเมื่อครั้งที่หลิงหยุนลงไปที่ก้นหลุมยักษ์เขาเองก็ไม่ตั้งใจที่จะอยู่นานขนาดนั้น เขาเพียงแค่ต้องการลงไปด้านล่างเพื่อฝึกวิชาพลังลับหยิน-หยาง และเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 เท่านั้น ซึ่งเขาคิดว่าน่าจะกินเวลาเพียงแค่คืนเดียว..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าการจะเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-4 ได้ จะกินเวลานานหลายวันหลายคืนเช่นนั้น
และกลับกลายเป็นว่า..ในเมืองจิงฉูเองก็เกิดเรื่องราวมากมาย!
แม้ว่าเวลานี้จะยังไม่ได้ข่าวคราวของนางฉินจิวยื่อที่เดินทางไปยังสำนักกระบี่เทวะที่เขาเทียนซันส่วนเฉิงเม่ยเฟิงเองก็ยังคงอยู่ที่อารามจิ้งซิน และเสี่ยวเม่ยเม่ยเองจะยังคงหายตัวไปอย่างลึกลับ แต่อย่างน้อยเวลานี้หลิงหยุนก็สามารถช่วยเกาเฉินเฉินออกมาได้สำเร็จ และช่วยคนตระกูลเกาให้หลุดพ้นจากการควบคุมของตระกูลเฉินได้ หลิงหยุนจึงสามารถหายใจหายคอได้โล่งขึ้นมาก..
เมื่อเห็นสีหน้าที่รู้สึกผิดและตำหนิตัวเองของหลิงหยุน เกาเฉินเฉินก็ถึงกับกัดริมฝีปากแน่น ก่อนจะตอบกลับไปว่า
“หลิงหยุน..อย่าตำหนิตัวเองแบบนั้นเลย! ฉันรู้ดีที่สุดว่านายเป็นคนแบบใหน นายมีเรื่องสำคัญอีกมากมายที่ต้องบนโลกใบนี้!”
เกาเฉินเฉินเป็นอีกหนึ่งในหลายคนที่ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือของหลิงหยุนและความอัศจรรย์ต่างๆที่ได้เคยพบเห็นมา ก็ยังคงตราตรึงอยู่ในใจของเธอไม่รู้ลืม..
“ห้ามนายคิดแบบนี้อีก..ฉันเองก็จะพยายามช่วยนายให้ได้มากที่สุด ฉันยินดีและเต็มใจที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาทุกอย่างไปกับนายด้วย!”
น้ำเสียงของเกาเฉินเฉินเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและบ่งบอกถึงความตั้งใจของตนเอง
หลังจากที่หลิงหยุนช่วยเกาเฉินเฉินออกมาจากเฉินเจี้ยนกุ่ยได้สำเร็จ และพาเธอไปพบกับคนตระกูลเกามาแล้ว เวลานี้เกาเฉินเฉินก็กลับมาเป็นเกาเฉินเฉินคนเดิมเหมือนเมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูแล้ว..
สามเดือนที่ผ่านมาแม้หลิงหยุนจะก้าวหน้าจนน่าอัศจรรย์ แต่เกาเฉินเฉินเองก็เปลี่ยนไปไม่น้อย หลังจากที่ผ่านความทุกข์อย่างแสนสาหัสมาได้ เธอก็ดูเติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างแท้จริง และเข้มแข็งขึ้นอย่างมาก
แม้ว่าความรู้สึกของคนทั้งคู่ที่มีต่อกันนั้นยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงแต่เกาเฉินเฉินกลับตระหนักถึงช่องว่างระหว่างเขากับเธอที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
ช่องว่างที่ว่านี้เกิดจากความแข็งแกร่งที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆของหลิงหยุนนั่นเองอย่าว่าแต่เกาเฉินเฉินซึ่งไม่ได้พบหลิงหยุนมานานถึงสามเดือนจะสามารถสัมผัสถึงความก้าวหน้านี้ได้ แม้แต่คนที่พบเจอกับหลิงหยุนทุกวันอย่างถังเมิ่งกับตี้เสี่ยวอู๋ ก็ยังสามารถสัมผัสได้..
ไม่ว่าใครก็ตาม..หากคิดที่จะก้าวตามหลิงหยุนให้ทันนั้น นับว่าเป็นเรื่องยากนักที่จะเป็นไปได้!
เกาเฉินเฉินเองก็พยายามที่จะปิดช่องว่างที่ว่านี้และพยายามที่จะสร้าง
เกาเฉินเฉินกำลังพยายามปิดช่องว่างนี้และเธอก็ต้องกลับมาอยู่ในจุดเดิมอีกครั้ง คือจุดที่ต้องเป็นฝ่ายไล่ตามหลิงหยุน!
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะบอกกับเกาเฉินเฉินว่า “เฉินเฉิน.. คุณผอมลงไปมาก ตั้งแต่นี้ต่อไปคุณจะต้องกินให้มากกว่านี้ แล้วก็ต้องกินแต่ของดีๆเท่านั้น จะได้ร่างกายแข็งแรงเร็วๆ!”
ระหว่างที่พูดสายตาของหลิงหยุนก็ไปหยุดอยู่ที่หน้าอกใหญ่โตของเกาเฉินเฉินพร้อมกับหัวเราะออกมาแล้วจึงพูดต่อว่า
“และที่สำคัญที่สุด..คุณจะต้องรีบฟื้นฟูรูปร่างให้กลับมาเหมือนเดิมโดยเร็ว!”
พูดกันตามตรงหน้าอกของเกาเฉินเฉินเวลานี้ก็ไม่ได้เล็กลงเลย ยังคงใหญ่โตน่าดึงดูดเหมือนเคย แต่หลิงหยุนดูเหมือนจะไม่พอใจเพียงแค่นั้น เขายังอยากให้เกาเฉินเฉินกินให้มากกว่านี้ แล้วก็กินแต่ของดีๆเพื่อจะได้มีหน้าอกที่ใหญ่โตขึ้น
เกาเฉินเฉินได้ฟังหลิงหยุนพูดออกมาตรงๆเช่นนี้ก็ถึงกับหน้าแดงพร้อมกับถามเสียงสูง
“นี่นายมองอะไร!”
หลิงหยุนหัวเราะอย่างมีความสุขพร้อมตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี“ผมก็มองที่ที่ควรมองน่ะสิ! ดูเหมือนจะไม่ได้เล็กลง ดี.. ดีมาก!”
เกาเฉินเฉินเขินอายและรีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดหน้าอกอย่างรวดเร็ว เธอร้องตะโกนใส่หลิงหยุนทันที
“ตาบ้า!ฉันเพิ่งจะส่องกระจกมาเมื่อครู่ ถึงแม้ฉันจะผอมลง แต่รูปร่างก็ยังคงได้สัดส่วน แล้วก็ดูดีกว่าเดิมด้วยซ้ำไป!”
แต่เกาเฉินเฉินเข้าใจความหมายของหลิงหยุนเพียงแค่เบื้องต้นเท่านั้นเขาไม่ได้ต้องการให้เธอมีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น และมีหน้าอกที่ใหญ่โตขึ้นเท่านั้น ความจริงแล้วหลิงหยุนยังมีจุดประสงค์อื่นที่สำคัญกว่าซ่อนเร้นอยู่..
ความจริงแล้วที่หลิงหยุนต้องการให้เกาเฉินเฉินฟื้นฟูสภาพร่างกายให้เร็วที่สุดนั้นก็เพราะว่าถึงเวลาที่เขาจะต้องเข้าบ่มเพาะเคียงคู่กับเกาเฉินเฉินแล้วนั่นเอง!
เวลานี้เกาเทียนหลงเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-8แล้ว นับว่าทิ้งห่างเกาเฉินเฉินไปอย่างมาก แต่ถึงกระนั้นหากเกาเฉินเฉินได้บ่มเพาะเคียงคู่กับหลิงหยุนแล้วล่ะก็.. เธอจะเหนือกว่าเกาเทียนหลงเลยทีเดียว!
นั่นเพราะเกาเฉินเฉินเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์มาแต่เดิมอีกทั้งยังได้รับการชำระล้างร่างกายจากหลิงหยุน และภายในร่างกายก็ยังมีพลังอมตะที่หลิงหยุนถ่ายเทให้ไหลเวียนอยู่
แม้แต่หลินเมิ่งหานกับเหยาลู่หลิงหยุนก็ได้บ่มเพาะเคียงคู่มาด้วยแล้ว แต่กับเด็กสาวที่หลิงหยุนได้ทำการชำระล้างร่างกาย และถ่ายเทพลังอมตะให้ เขากลับยังคงไม่ได้มีอะไรด้วย!
หลิงหยุนรู้ดีว่า..เมื่อใดก็ตามที่เขาได้บ่มเพาะเคียงคู่กับเกาเฉินเฉินที่ภายในร่างกายมีพลังอมตะหมุนเวียนอยู่ เขาจะได้รับประโยชน์อย่างมากมายเกินความคาดหมาย!
การบ่มเพาะเคียงคู่กับเกาเฉินเฉินต่างหากจึงเป็นวัตถุประสงค์ที่แท้จริงของหลิงหยุน!
และด้วยการบ่มเพาะเคียงคู่นี้หลิงหยุนเชื่อว่าเขาจะสามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่ได้อย่างแน่นอน และเมื่อถึงเวลานั้น แทบไม่ต้องพูดถึงตระกูลซันกับตระกูลเฉิน เพราะแม้แต่ตระกูลเย่หรือตระกูลหลง หลิงหยุนก็ไม่เกรงกลัว!
“ข้าจะต้องเป็นอมตะและจะต้องเหนือกว่าใครๆ!”
เกาเฉินเฉินจ้องมองหลิงหยุนเอียงอายเพราะเธอเองนั้นก็พร้อมที่จะมอบร่างกายของตนเองให้กับหลิงหยุนโดยเร็วเช่นกัน!
หากไม่ใช่เพราะพลังหยางบริสุทธิ์จากพลังอมตะที่หลิงหยุนถ่ายเทลงไปในร่างกายของเกาเฉินเฉินแล้วล่ะก็..มีหรือที่เกาเฉินเฉินจะบริสุทธิ์ผุดผ่องมาจนถึงตอนนี้ได้
แม้ว่าทั้งคู่จะต่างคนต่างคิดแต่ก็มั่นหมายในสิ่งเดียวกัน ดังนั้นบรรยากาศในรถแลนด์โรเวอร์จึงเปลี่ยนเป็นอึดอัด และกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที
“เอ่อ..ถึงโรงแรมแล้ว!” หลิงหยุนร้องบอกพร้อมกับเลี้ยวเข้าไปในโรงแรมทันที
รถแลนด์โรเวอร์เลี้ยวเข้าไปในโรงแรมใหญ่โตโอ่อ่าที่ตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือของถนน..
บทที่ 773 : เหล่าสาวงามโกรธเกรี้ยว!
ปัง!เคร้ง!
เสียงปึงปังดังสนั่นไปทั่วทั้งบ้านและเวลานี้เสี่ยวเม่ยหนิงก็ได้ทำลายข้าวของในห้องรับแขกจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว!
“เอ่อ..อันนั้นโยนไม่ได้เด็ดขาด!”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาที่กำลังนั่งนิ่งมองเสี่ยวเม่ยหนิงอาละวาดปาข้าวของอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่สวนด้านนอกรีบร้องตะโกนห้าม และพุ่งเข้าไปในห้องรับแขกด้วยความเร็วราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู มือทั้งสองข้างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นยื่นออกไปรับแจกกันดอกไม้สีฟ้าที่ถูกทุ่มลงบนพื้นได้ทันเวลาพอดี..
จากนั้นจึงค่อยๆนำมันกลับไปวางไว้ที่เดิมท่านหมอเสี่ยวเหยียบลงบนเศษแก้ว และเศษกระเบื้องที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
เด็กสาวตัวแสบกลับมาบ้านได้เพียงครู่เดียวข้าวของภายในห้องรับแขกมากมายก็ลงมาแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
ท่านหมอเสี่ยวจ้องมองใบหน้าที่โกรธจนเขียวของเด็กสาวตัวแสบริมฝีปากและฟันของเธอขบกันแน่น ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววโกรธเกรี้ยวนั้นไม่ต่างจากลูกสิงห์โตที่ดุดัน..
แต่นี่นับว่าเป็นเพียงการแสดงความโกรธเกรี้ยวเพียงเล็กน้อยของเด็กสาวตัวแสบเท่านั้น!
และก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่จะทำให้เด็กสาวร้ายกาจอย่างเสี่ยวเม่ยหนิงขุ่มเคืองใจได้ถึงเพียงนี้นั่นก็คือผลคะแนนสอบที่เป็นศูนย์ของหลิงหยุน!
“ไม่มีทางที่ผลสอบของพี่หลิงหยุนจะเป็นศูนย์ไปได้มันเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
เสี่ยวเม่ยหนิงร้องตะโกนใส่ท่านหมอเสี่ยวด้วยความโกรธและเสียงของเธอนั้นก็ดังพอที่จะได้ยินไปสามบ้านเจ็ดบ้าน..
แต่ยังนับว่าโชคดีที่บ้านของท่านหมอเสี่ยวอยู่ในหมู่บ้านของคนที่มีฐานะร่ำรวยคุณภาพของวัสดุในการก่อสร้างจึงดีพอที่จะเก็บเสียงกรีดร้องของเสี่ยวเม่ยหนิงได้
“หลานอาละวาดพอหรือยังถ้าระบายความโกรธจนพอแล้ว ก็มานี่..”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดาได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับจ้องมองหลานสาวด้วยแววตาที่สงบนิ่งก่อนจะยื่นแขนออกไปคว้ามือเล็กๆของเสี่ยวเม่ยหนิง และพาเดินออกไปที่สวนด้านนอก
แต่ภายในใจกลับรำพึงรำพัน‘หลิงหยุน.. เจ้าเด็กตัวแสบ! วันนี้ตาแก่อย่างข้าต้องเสียของมีค่าไปตั้งมากมาย ไว้ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง! เจ้าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้ข้า!’
“พี่หลิงหยุนเก่งจะตายคะแนนสอบออกมาเป็นศูนย์ได้ยังไง พี่หลิงหยุนควรจะต้องได้คะแนนเต็มด้วยซ้ำไป! น่าโมโหจริงๆ!” เสี่ยวเม่ยหนิงยังคงไม่หายโมโห จึงร้องตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ
ท่านหมอเสี่ยวเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตามเดิมดวงตาของเขาจ้องมองหลานสาวสุดที่รักพร้อมกับพูดออกมาอย่างนึกขัน
“ผลสอบเอนทรนซ์ของหลิงหยุนออกมาเป็นศูนย์แบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนรนหาที่ตาย แล้วหลานจะต้องโกรธอะไรมากมาย”
เสี่ยวเม่ยหนิงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างโกรธแค้นพร้อมกับกัดฟันกรอดแล้วจึงพูดขึ้นว่า..
“ฮึ่ม..อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็นฝีมือของใคร ไม่อย่างนั้นข้าต้องฆ่ามันตายแน่!”
ท่านเสี่ยวหมอเทวดายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงมือเจ้าหรอก..”