บทที่ 773 : เหล่าสาวงามโกรธเกรี้ยว!
  ปัง!เคร้ง!
  เสียงปึงปังดังสนั่นไปทั่วทั้งบ้านและเวลานี้เสี่ยวเม่ยหนิงก็ได้ทำลายข้าวของในห้องรับแขกจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว!
  “เอ่อ..อันนั้นโยนไม่ได้เด็ดขาด!”
  ท่านเสี่ยวหมอเทวดาที่กำลังนั่งนิ่งมองเสี่ยวเม่ยหนิงอาละวาดปาข้าวของอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ที่สวนด้านนอกรีบร้องตะโกนห้าม และพุ่งเข้าไปในห้องรับแขกด้วยความเร็วราวกับลูกธนูที่พุ่งออกจากคันธนู มือทั้งสองข้างที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็นยื่นออกไปรับแจกกันดอกไม้สีฟ้าที่ถูกทุ่มลงบนพื้นได้ทันเวลาพอดี..
  จากนั้นจึงค่อยๆนำมันกลับไปวางไว้ที่เดิมท่านหมอเสี่ยวเหยียบลงบนเศษแก้ว และเศษกระเบื้องที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
  เด็กสาวตัวแสบกลับมาบ้านได้เพียงครู่เดียวข้าวของภายในห้องรับแขกมากมายก็ลงมาแตกกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น
  ท่านหมอเสี่ยวจ้องมองใบหน้าที่โกรธจนเขียวของเด็กสาวตัวแสบริมฝีปากและฟันของเธอขบกันแน่น ดวงตาคู่สวยที่ฉายแววโกรธเกรี้ยวนั้นไม่ต่างจากลูกสิงห์โตที่ดุดัน..
  แต่นี่นับว่าเป็นเพียงการแสดงความโกรธเกรี้ยวเพียงเล็กน้อยของเด็กสาวตัวแสบเท่านั้น!
  และก็มีเพียงเหตุผลเดียวที่จะทำให้เด็กสาวร้ายกาจอย่างเสี่ยวเม่ยหนิงขุ่มเคืองใจได้ถึงเพียงนี้นั่นก็คือผลคะแนนสอบที่เป็นศูนย์ของหลิงหยุน!
  “ไม่มีทางที่ผลสอบของพี่หลิงหยุนจะเป็นศูนย์ไปได้มันเป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน!”
  เสี่ยวเม่ยหนิงร้องตะโกนใส่ท่านหมอเสี่ยวด้วยความโกรธและเสียงของเธอนั้นก็ดังพอที่จะได้ยินไปสามบ้านเจ็ดบ้าน..
  แต่ยังนับว่าโชคดีที่บ้านของท่านหมอเสี่ยวอยู่ในหมู่บ้านของคนที่มีฐานะร่ำรวยคุณภาพของวัสดุในการก่อสร้างจึงดีพอที่จะเก็บเสียงกรีดร้องของเสี่ยวเม่ยหนิงได้
  “หลานอาละวาดพอหรือยังถ้าระบายความโกรธจนพอแล้ว ก็มานี่..”
  ท่านเสี่ยวหมอเทวดาได้แต่ส่ายหน้าไปมาพร้อมกับจ้องมองหลานสาวด้วยแววตาที่สงบนิ่งก่อนจะยื่นแขนออกไปคว้ามือเล็กๆของเสี่ยวเม่ยหนิง และพาเดินออกไปที่สวนด้านนอก
  แต่ภายในใจกลับรำพึงรำพัน‘หลิงหยุน.. เจ้าเด็กตัวแสบ! วันนี้ตาแก่อย่างข้าต้องเสียของมีค่าไปตั้งมากมาย ไว้ข้าจะไปคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง! เจ้าจะต้องชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดให้ข้า!’
  “พี่หลิงหยุนเก่งจะตายคะแนนสอบออกมาเป็นศูนย์ได้ยังไง พี่หลิงหยุนควรจะต้องได้คะแนนเต็มด้วยซ้ำไป! น่าโมโหจริงๆ!” เสี่ยวเม่ยหนิงยังคงไม่หายโมโห จึงร้องตะโกนออกมาอย่างขุ่นเคืองใจ
  ท่านหมอเสี่ยวเดินกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ไผ่ตามเดิมดวงตาของเขาจ้องมองหลานสาวสุดที่รักพร้อมกับพูดออกมาอย่างนึกขัน
  “ผลสอบเอนทรนซ์ของหลิงหยุนออกมาเป็นศูนย์แบบนี้เห็นได้ชัดว่ามีคนรนหาที่ตาย แล้วหลานจะต้องโกรธอะไรมากมาย”
  เสี่ยวเม่ยหนิงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างโกรธแค้นพร้อมกับกัดฟันกรอดแล้วจึงพูดขึ้นว่า..
  “ฮึ่ม..อย่าให้ข้ารู้นะว่าเป็นฝีมือของใคร ไม่อย่างนั้นข้าต้องฆ่ามันตายแน่!”
  ท่านเสี่ยวหมอเทวดายิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ดูเหมือนว่าคงไม่ต้องรอให้ถึงมือเจ้าหรอก..”
  ระหว่างที่พูดนั้นท่านหมอเสี่ยวเองก็ได้แต่นึกอัศจรรย์ใจอยู่เงียบๆ เพราะเวลานี้ด้วยวิชาหลิงซีที่เสี่ยวเม่ยหนิงฝึกฝนนั้น ทำให้เธอสามารถเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-4 ได้อย่างรวดเร็ว นับว่าก้าวหน้าได้รวดเร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ!
  “พี่ใหญ่ล่ะคะท่านปู่ข้าจำได้ว่านางกลับมาพร้อมข้านี่..”
  เสี่ยวเม่ยหนิงร้องถามออกมาทันทีเมื่อพบว่าเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไม่อยู่ในบ้านแล้ว..
  ท่านหมอเสี่ยวจึงตอบกลับไปทันที“พี่สาวของเจ้าไม่เหมือนกับเจ้านี่.. เวลานี้ออกไปข้างนอกพร้อมกับเจ้าทองอ้วนแล้ว!”
  ………….
  ตูม!
  ยามค่ำคืนบนเขาหยกด้านใต้ในเมืองจิงฉูนั้นเวลานี้คนธรรมดายากนักที่จะเข้าไปได้ เพราะได้มียอดฝีมือที่เก่งกาจสร้างค่ายกลลวงตาขึ้นมา ทำให้ผู้คนที่ผ่านไปผ่านมาเห็นเป็นเพียงป่าทึบเท่านั้น แต่ภายในค่ายกลนั้นกลับมีสภาพไม่ต่างจากเหมืองดินที่ถูกระเบิดถล่มหลายลูก
  ต้นไม้สีเขียวในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรล้มระเนระนาดและภายในราวกับมีทะเลเพลิง เพราะมีลูกไฟขนาดเกือบหนึ่งเมตรจำนวนมากมายลอยอยู่กลางอากาศ สิ้นเสียงล้มครืนของต้นไม้ขนาดใหญ่ ก็ตามมาด้วยลูกไฟที่เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่าง..
  และนี่นับว่าเป็นลูกไฟที่มีอานุภาพเหนือกว่ายันต์เตโชของหลิงหยุนมากนัก!
  ท่ามกลางลูกไฟจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนนั้นสาวน้อยรูปร่างสวยงามมีเสน่ห์กำลังเคลื่อนที่ไปรอบๆทะเลเพลิงอย่างรวดเร็ว พร้อมกับซัดฝ่ามือออกไปด้านหน้า และทุกครั้งที่ฝ่ามือถูกซัดออกไป ก็จะมีลูกไฟที่น่าหวาดกลัวพุ่งออกมาด้วย!
  และนี่คือวิชาจิ้งจอกระเริงไฟ!
  ดวงตาคู่งามและมีเสน่ห์ของไป๋เซียนเอ๋อบ่งบอกว่ากำลังโกรธเกรี้ยวอย่างมากและภาพความพังพินาศที่เห็นเวลานี้ นับว่าน่าตระหนกตกใจยิ่งกว่าภาพความพังพินาศที่บ้านของท่านหมอเสี่ยวเสียอีก เพียงแต่ภายในป่าแห่งนี้ ไม่มีทรัพย์สินที่มีมูลค่าเหมือนเช่นห้องรับแขกของท่านหมอเสี่ยว
  ไป๋เซียนเอ๋ออยู่ในชุดสีดำซึ่งตัดเย็บจากผ้าแพรไหมดำของหลิงหยุนและด้วยรูปร่างที่งดงามอย่างมากของไป๋เซียนเอ๋อ ทำให้การเคลื่อนไหวไปรอบๆกองเพลิงของนางนั้น ดูงดงามราวกับเทพธิดาที่ลงมาจุติบนผืนโลก
  ไป๋เซียนเอ๋อเป็นสุนัขจิ้งจอกและหลังจากที่กลายร่างแล้ว ก็ไม่ใครรู้ว่านางอยู่ในขั้นใดแล้ว นางเฝ้าฝึกฝนวิชาจิ้งจอกสวรรค์เหินอยู่ทุกวี่ทุกวัน และแม้แต่ตัวไป๋เซียนเอ๋อเองก็ไม่เคยล่วงรู้ขั้นกำลังภายในของตนเองเช่นกัน!
  “เจ้าต้องตาย!”
  ไป๋เซียนเอ๋อร้องตะโกนออกมาพร้อมกับซัดฝ่ามือทั้งสองข้างออกไปและลูกไฟขนาดใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่าศูนย์กลางราวครึ่งเมตรก็พุ่งออกมาจากฝ่ามือทันที!
  ครืน!
  ต้นไม้ขนาดใหญ่ทั้งสองต้นถูกเปลวไฟเผาผลาญจนล้มครืนลงมา..
  “นั่นใคร!”
  ไป๋เซียนเอ๋อเงยหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าสูงจากพื้นไปราวหนึ่งร้อยเมตร มีดักแด้ทองคำตัวอ้วนกลมกำลังบินอยู่กลางอากาศ ดูเหมือนมันกำลังตกใจและหวาดกลัวกับเปลวไฟที่อยู่ด้านล่างจนไม่กล้าบินลงมา
  ฟรึบ!
  ไป๋เซียนเอ๋อพุ่งตัวออกไปด้านหน้าราวสองสามร้อยเมตรก็ออกจากป่าทึบไป และได้พบกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาซึ่งสวมชุดกระโปรงสีเขียวยืนรออยู่
  “พี่เสี่ยวเหมา..พี่หาที่นี่พบได้อย่างไรกัน”
  ตอนนี้ไป๋เซียนเอ๋อค่อนข้างสนิทสนมและคุ้นเคยกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมา เพราะเหมี่ยวเสี่ยวเหมาเป็นเจ้าของเจ้าทองอ้วน จึงทำให้นางสนิทสนมผูกพันกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปด้วย
  “น้องเซียงเอ๋อ..หากข้ามาไม่ทัน ป่าทั้งเขาคงต้องถูกเจ้าเผาทิ้งจนหมดแน่! และนักดับเพลิงทั้งเมืองจิงฉูคงต้องแห่กันมาที่นี่อย่างแน่นอน..”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมามองหน้าไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับพูดจาหยอกเย้าพร้อมกับยกมือขึ้นกลางอากาศ และเจ้าทองอ้วนก็บินลงมาเกาะที่ไหล่ของเธอทันที
  แววตาของเจ้าทองอ้วนดูสั่นไหวเล็กน้อยมันกำลังจ้องมองหญิงสาวที่สวยงดงามนี้ด้วยความตกใจกลัว..
  “เจ้าหายโมโหหรือยัง”เหมี่ยวเสี่ยวเหมายิ้มให้ไป๋เซียนเอ๋อพร้อมกับเอ่ยถาม
  “อืมม..”
  นอกเหนือจากหลิงหยุนแล้วน้อยนักที่ไป๋เซียนเอ๋อจะยอมพูดคุยกับผู้ใด และนางมักจะใช้สีหน้าสื่อสารแทนคำพูด..
  “เจ้าโมโหอาละวาดอยู่ที่นี่ไปก็ไร้ประโยชน์ข้าว่าเราออกไปสืบหาความจริงเรื่องนี้จะดีกว่า!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นชื่นชอบในความบริสุทธิ์ใสซื่อของไป๋เซียนเอ๋อเป็นอย่างมากเพราะมันเป็นสิ่งที่หาได้ยากนักบนโลกใบนี้
  “ได้สิ!”ดวงตาคู่งามของไป๋เซียนเอ๋อเป็นประกายด้วยความยินดี
  “ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ตามข้ามา!”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาพูดยังไม่ทันจบร่างงดงามของเธอก็พุ่งขึ้นไปบนยอดไม้ พร้อมกับใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามต้นไม้ออกไปไกลถึงหนึ่งร้อยเมตร
  ในคืนวันเทศกาลเชงเม้งนั้นเหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็เป็นอีกหนึ่งคนที่หลิงหยุนได้ถ่ายเทพลังอมตะในพู่กันจักรพรรดิลงไปในร่างกายให้ และด้วยความมุ่งมั่นและขยันหมั่นเพียรในการฝึกฝนอย่างไม่ย่อท้อ เวลนี้เหมี่ยวเสี่ยวเหมาก็สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 ได้แล้ว และอีกเพียงครึ่งระดับก็จะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน..
  แต่ไป๋เซียนเอ๋อนั้นเพียงแค่ก้าวเท้าออกไปราวกับกำลังเดินเล่นอย่างสบายๆร่างของนางก็ตามร่างของเหมี่ยวเสี่ยวเหมาไปได้ทันแล้ว
  “พี่เสี่ยวเหมา..นี่พวกเราจะไปที่ใหนกันงั้นรึ”
  “ก็ไปหาคนที่จะตอบคำถามของเราได้ยังไงล่ะ..”
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมาตอบและจุดหมายปลายทางของเธอก็คือบ้านของหลี่ยี่เฟิง!
  เหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นเป็นเด็กสาวที่มาจากเผ่าเหมี่ยวเจียงซึ่งเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์เธอฝึกฝนทั้งวรยุทธ การแพทย์ และการใช้พิษ เธอเรียนอยู่ห้องเดียวกับหลิงหยุนมานาน และรู้ถึงความสามารถของหลิงหยุนเป็นอย่างดี เธอจึงมั่นใจว่าหลิงหยุนไม่มีทางได้คะแนนสอบเป็นศูนย์อย่างแน่นอน และเรื่องนี้ก็ทำให้เธอโกรธอย่างมากเช่นกัน!
  …………
  ในบ้านหรูกลางหุบเขาด้านตะวันตกเฉียงเหนืองของเมืองจิงฉู..
  เวลานี้อาปิงหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวกำลังยืนอยู่ในห้องรับแขกของบ้านหลังนี้และท่าทางของเขาก็ดูคล้ายกับภรรยาที่กำลังถูกข่มเหงรังแก บรรยากาศภายในบ้านนั้นตึงเครียดจนแม้แต่จะหายใจยังไม่กล้า..
  และเวลานี้..ภายในบ้านหลังนี้ก็อึมครึมน่ากลัวยิ่งกว่าบ้านของท่านหมอเสี่ยวเสียอีก!
  หลงหวู่สวมเสื้อยืดคอวีและกางเกงยีนส์รัดรูป กำลังยืนร้องตะโกนเสียงดังไม่หยุด รอบตัวเธอราวกับมีเปลวไฟร้อนรุ่มระอุอยู่ตลอดเวลา
  “แก๊งมังกรเขียวมีพี่น้องอยู่ตั้งมากมายแทรกซึมอยู่ทั่วทุกมุมของเมืองจิงฉู มีตั้งแต่คนร่ำรวยไปจนถึงขอทาน แต่กลับไม่มีปัญญาสืบหาว่าคะแนนสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเป็นศูนย์ได้ยังไง แล้วนายจะเป็นหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวไปทำไมกัน?”
  “ตอบฉันมาสิ..ตอบฉันมาเดี๋ยวนี้!”
  หลงหวู่ร้องตะโกนถามเสียงดังพร้อมกับชี้หน้าอาปิงในยามค่ำคืนที่เงียบสงัดเช่นนี้ เสียงตะโกนของหลงหวู่จึงดังไปไกลหลายไมล์..
  “เอ่อ..พี่หลงหวู่! การสอบเอนทรานซ์อยู่ในการดูแลของกระทรวงศึกษา มันห่างไกลเกินกว่าที่แก๊งมังกรเขียวจะเข้าไปถึง ห่างไกลมาก..”
  อาปิงได้แต่นึกสาปแช่งถังเมิ่งอยู่ในใจเพราะการที่เขาต้องมาพบกับหายนะครั้งนี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว ก็เพราะถังเมิ่งเดินทางไปปักกิ่ง ไม่เช่นนั้นคนที่ต้องมายืนอยู่ตรงนี้เวลานี้ก็ต้องเป็นถังเมิ่ง ไม่ใช่เขา!
  หรือไม่อย่างน้อยก็ทั้งเขาและถังเมิ่งที่จะต้องมายืนอยู่ตรงนี้ด้วยกันแต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีเพือน!
  “ฉันไม่สนใจกระทรวงศึกษาอะไรนั่น!ในเมื่อหลิงหยุนสอบเอนทรานซ์ในเมืองจิงฉู การตรวจข้อสอบและการให้คะแนนก็ต้องทำที่นี่ แต่เวลานี้ผลสอบกลับออกมาเป็นศูนย์แบบนี้ นายบอกมาว่านายจะจัดการเรื่องนี้ยังไง”
  แม้ว่าการสอบเอนทรานซ์จะอยู่ในการควบคุมดูแลของกระทรวงศึกษาก็จริงแต่การจัดสอบ การตรวจข้อสอบ และการให้คะแนนสอบนั้น ล้วนแล้วแต่เป็นความรับผิดชอบของแต่ละเมือง แต่ละมณฑล หลิงหยุนอยู่ในเมืองจิงฉู ก็ต้องเข้าสอบที่จิงฉู และกระดาษคำตอบของเขาก็ต้องถูกตรวจ และให้คะแนนที่นี่เช่นกัน
  อาปิงที่ยืนฟังอยู่เป็นชั่วโมงและยังไม่ได้กินแม้แต่ข้าวเย็น ได้แต่เกาศรีษะแกรกๆ พร้อมกับร้องถามออกมาอย่างหมดหนทาง
  “คุณจะให้ผมทำอะไรก็บอกมาเลยดีกว่า..”
  หลงหวู่ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา“ทำอะไรงั้นเหรอ พรุ่งนี้นายตามฉันไปปิดสำนักงานการศึกษา..”
บทที่ 774 : หาทางช่วยหลิงหยุน!
  นักศึกษาจบกฎหมายจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสั่งหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวให้ไปล้อมปิดสำนักงานการศึกษา..
  นี่เธอโกรธมากมายถึงเพียงนี้เชียวหรือ
  “ครับ!”
  อาปิงนั้นมีสายเลือดของทหารอยู่ในตัวเขาจึงเพียงแค่ตอบรับ และไม่พูดไม่ถามอะไรมากความ
  หลงหวู่สะบัดหน้าพร้อมกับสั่งว่า“พรุ่งนี้จัดการส่งคนมาเก็บกวาดที่นี่ให้สะอาดด้วยล่ะ!”
  จากนั้นหลงหวู่ก็ไม่สนใจอาปิงอีกเธอหันหลังเดินกลับเข้าไปในห้องส่วนตัวทันที
  “หลิงหยุน..นายกล้ามากที่ไม่รับโทรศัพท์ฉัน คอยดูว่าฉันจะจัดการกับนายยังไง”
  อาปิงจ้องมองหลงหวู่ที่คำรามอยู่ในลำคอระหว่างที่เดินขึ้นบันไดไปเขาถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสกับความโกรธเกรี้ยวของหลงหวู่
  อาปิงมองสภาพบ้านพร้อมกับส่ายหน้าเมื่อคิดถึงงานหนักที่จะตามมาแต่เพียงประเดี๋ยวเดียว.. ร่างสูงใหญ่ของชายวัยกลางคนก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าอาปิง
  หลงคุนมองอาปิงยิ้มๆพร้อมกับพยักหน้าช้าๆแล้วจึงพูดขึ้นว่า
  “อาปิง..เธอไม่ต้องไปฟังหลงหวู่หรอก! เรื่องนี้หลีกเลี่ยงคนของทางการจะดีกว่า อีกอย่างพวกเราต่างก็อยู่ในที่แจ้ง..”
  หลงหวู่นั้นโกรธเกรี้ยวจนต้องระเบิดอารมณ์ออกมาเช่นนี้แต่หลงคุนนั้นยังคงเก็บอารมณ์และไม่แสดงอาการใดๆออกมา เรื่องผลสอบของหลิงหยุนนั้นไม่เพียงแค่ทำให้หลงหวู่โมโห แต่ยังหมายถึงการท้าทายอำนาจของแก๊งมังกรเขียวอีกด้วย
  “ครับลุงหลง!”อาปิงยืนนิ่งและตอบกลับด้วยความเคารพ
  อาปิงที่อยู่ในฐานะหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวคนปัจจุบันนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้บุกเบิกและหัวหน้าแก๊งมังกรเขียวตัวจริง ก็ได้แต่นึกชื่นชมและเคารพจากใจ
  “เรื่องนี้เธอไม่ต้องกังวลใจไปฉันจะหาคนไปจัดการเรื่องนี้ให้เอง แต่จำไว้ว่าเรื่องนี้ต้องรายงานให้ถังเมิ่งรู้ก่อน..”
  เวลานี้ถังเมิ่งเปรียบเสมือนมือซ้ายและมือขวาของหลิงหยุนและหลงคุนเองก็ชื่นชมถังเมิ่งเป็นอย่างมาก
  หลังจากที่อาปิงออกไปแล้วหลงคุนก็เดินเอามือไขว้หลังไปมาอยู่ในห้องรับแขก จากนั้นจึงยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับส่ายหน้ายิ้มๆ
  “เจ้าเด็กร้ายกาจ..เจ้าอยู่ปักกิ่งห่างไปตั้งหลายพันไมล์ ยังอุตส่าห์สร้างความโกลาหลในเมืองจิงฉูจนได้!”
  หลงคุนนั้นไม่มีอะไรทำจึงเริ่มลงมือเก็บกวาดบ้านที่พังระเนระนาด้วยตัวเอง..
  ………
  “พี่เมิ่งหาน..พี่ต้องหยุดโมโหได้แล้ว ไม่อย่างนั้นทุกอย่างในบ้านคงต้องถูกแช่แข็งหมด!”
  ภายในห้องรับแขกของบ้านหลินเมิ่งหาน..เหยาลู่กำลังเดินลมปราณด้วยวิชาใต้พิภพที่หลิงหยุนสอนให้ พลังปราณสีเหลืองค่อยๆเคลื่อนไปตามเส้นลมปราณของเธออย่างช้าๆ และเวลานี้รอบๆบ้านของหลินเมิ่งหานก็ปกคลุมไปด้วยหมอกสีขาว
  อุณหภูมิภายในเมืองจิงฉูเวลานี้อยู่ที่36 องศาเซลเซียส แต่ภายในบ้านหลังเล็กๆของหลินเมิ่งหานกลับปกคลุมไปด้วยไอเย็น และอุณหภูมิภายในบ้านก็ติดลบเกือบสิบองศาเลยทีเดียว!
  นอกบ้านนั้นเต็มไปด้วยคลื่นความร้อนแต่ทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาภายในสวนด้านในบ้านของหลินเมิ่งหาน ก็จะต้องเผชิญกับความหนาวเหน็บแทน..
  ก่อนที่หลิงหยุนจะออกเดินทางจากเมืองจิงฉูนั้นหลินเมิ่งหานและเหยาลู่ต่างก็ผ่านการบ่มเพาะเคียงคู่กับหลิงหยุนไปแล้วทั้งคู่ เวลานี้ทั้งสองคนก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี..
  เรียกได้ว่าเวลานี้ทั้งคู่ได้กลายมาเป็นพี่น้องที่รักและเข้าใจกันอย่างมาก..
  หลินเมิ่งหานในตอนนี้นั้นเหลืออีกเพียงแค่ครึ่งระดับก็จะสามารถก้าวเข้าสู่ขั้นเซียงเทียนแล้ว ส่วนเหยาลู่เองก็อยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-9 และด้วยวิชาใต้พิภพของเหยาลู่นั้น ทำให้เธอสามารถต้านทานไอเย็นของวิชาพลังเย็นได้อย่างน่าอัศจรรย์
  สาวงามทั้งสองคนผลัดกันผุดลุกผุดนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งคู่ต่างก็กระวนกระวายใจไม่แพ้กัน และถึงแม้บนโต๊ะจะมีกระป๋องเบียร์วางเรียงรายอยู่มากมาย แต่ก็ไม่สามารถดื่มได้ เพราะเบียร์เหล่านั้นเมื่อนำออกมาจากตู้เย็น ก็ได้กลายเป็นน้ำแข็งในทันที!
  ในเมื่ออยู่ที่บ้านหลินเมิ่งหานจึงแต่งตัวสบายๆในแบบของตนเองเธอสวมเสื้อยืดสีขาวตัวโคร่ง ไม่สวมเสื้อชั้นใน และหน้าอกใหญ่โตสองข้างก็สั่นไหวทุกครั้งที่ขยับเขยื้อนร่างกาย หากชายใดได้มาเห็นเข้า คงยากที่จะละสายตาไปได้ ส่วนด้านล่างนั้นกลับยิ่งเรียบง่ายเสียกว่า เพราะเธอสวมเพียงแค่กางเกงชั้นในลูกไม้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ดูแล้วช่างเซ็กซี่ไม่เบา! แม้แต่เหยาลู่ซึ่งเป็นผู้หญิงยังถึงกับมองด้วยความตกตะลึง..
  “ใครกันที่กล้าทำเรื่องแบบนี้ช่างน่าโมโหนัก!”
  หลินเมิ่งหานเดินกลับไปกลับมาพร้อมกับกัดฟันกรอดในขณะที่หน้าอกกลมกลึงก็กระเพื่อมขึ้นลงระหว่างที่กรีดร้องออกมาด้วยความโมโห
  “ไม่ได้การ..ฉันจะต้องโทรหาพ่อ ให้พ่อจัดการสืบหาความจริงเรื่องนี้ให้!”
  หลังจากที่หลิงหยุนออกจากเมืองจิงฉูไปหลินเมิ่งหานก็เฝ้าคิดถึงจนแทบคลั่ง เธอหวังว่าเมื่อผลสอบเอนทรานซ์ออกมา หลิงหยุนอาจจะรีบกลับมาที่จิงฉู แต่ผลปรากฏว่าหลิงหยุนได้คะแนนสอบเป็นศูนย์ มีหรือที่เธอจะไม่โมโห!
  เหยาลู่ได้แต่จ้องมองหลินเมิ่งหานนิ่งเงียบ..
  หญิงสาวรอบตัวหลิงหยุนนั้นล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานครอบครัวที่ดีมากกันทุกคน เมื่อหลิงหยุนต้องเผชิญกับสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละคนต่างก็จะใช้อำนาจและบารมีของครอบครัวมาช่วยหลิงหยุนแก้ปัญหา มีเพียงเหลายู่เท่านั้นที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้!
  เหยาลู่เกิดมาในครอบครัวที่ยากจนและพื้นฐานครอบครัวก็ไม่ได้เป็นคนใหญ่คนโตเหมือนเช่นคนอื่น ก่อนที่เธอจะพบกับหลิงหยุนนั้น ครอบครัวของเธอแทบไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำไ และทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในเวลานี้ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หลิงหยุนมอบให้ทั้งสิ้น สิ่งที่เธอทำได้จึงมีเพียงแค่การปกป้องคลินิกของหลิงหยุนด้วยชีวิตเท่านั้น อย่างอื่นเธอก็ไม่สามรถทำอะไรเพื่อเขาได้เลย..
  เหยาลู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงร้องบอกหลินเมิ่งหานว่า“พี่เมิ่งหาน.. เท่าที่ฟังจากถังเมิ่ง เจ้าหน้าที่ในจิงฉูไม่น่าจะมีอำนาจเพียงพอที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ คนที่น่าสงสัยว่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มากที่สุดก็น่าจะเป็นคนในสำนักงานการศึกษาประจำมณฑลเจียงหนานซะมากกว่า..”
  เรื่องการสอบเอนทรานซ์ในประเทศจีนนั้นนับว่าเป็นเรื่องระดับประเทศ และจัดการโดยหน่วยงานและองค์กรประจำมณฑลต่างๆ หากคนธรรมดาทั่วไปมีปัญหาเกี่ยวกับผลสอบเอนทรานซ์ หรือรู้สึกว่าผลสอบของตนเองมีปัญหา หรือไม่ได้รับความเป็นธรรมแล้วล่ะก็ แน่นอนว่ายากนักที่จะตรวจสอบอะไรได้!
  การที่จะไปขอกระดาษคำตอบกลับมาตรวจสอบเพื่อความโปร่งใสนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าการได้ขึ้นสวรรค์เสียอีก!
  แต่หลิงหยุนนั้นไม่ใช่คนธรรมดาสามัญและทุกคนที่อยู่รอบตัวเขาก็ล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดาเช่นกัน!
  “หลิงหยุนทำเหมือนไม่สนใจเรื่องผลสอบนี่เลย!ไม่เพียงไม่รับโทรศัพท์ แต่ยังไม่ยอมตอบข้อความอีกด้วย เขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่รู้หรือยังไงว่าคนอื่นเป็นห่วงแค่ใหน”
  “จะให้พวกเรานั่งรอเฉยๆโดยไม่ทำอะไรงั้นเหรอ”
  คำพูดของหลินเมิ่งหานบ่งบอกว่าทุกข์อกทุกข์ใจอย่างมากและฟังดูเหมือนหลิงหยุนช่างใจร้ายใจดำเสียเหลือเกิน!
  เหยาลู่ได้แต่ปลอบกลับอย่างอ่อนโยน“พี่เมิ่งหาน.. พี่ดูไม่เหมือนคนโกรธเลย แต่ดูเหมือนคนอกหักซะมากกว่า..”
  หลินเมิ่งหานหันกลับไปมองเหยาลู่ด้วยแววตาประหลาดใจจากนั้นจึงยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “แล้วเธอล่ะเหยาลู่..อย่าบอกนะว่าไม่คิดถึงหลิงหยุน!”
  “คิดถึงสิ!”เหยาลู่ไม่ปฏิเสธ
  สาวสวยทั้งสองคนหันไปมองหน้ากันนิ่งครู่ใหญ่จากนั้นจึงยิ้มและหัวเราะออกมาพร้อมกัน
  “พวกเราต่างก็รู้ดีไม่ใช่เหรอว่าหลิงหยุนไม่เคยสนใจเรื่องการสอบเอนทรานซ์เลยด้วยซ้ำไป..”
  หลังจากหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดีแล้วเหยาลู่ก็วิเคราะห์ให้หลินเมิ่งหานฟัง แม้เธอจะค่อนข้างกระวนกระวายใจ และเป็นห่วงหลิงหยุน แต่เวลานี้เธอต้องทำหน้าที่ปลอบใจหลินเมิ่งหาน และทำให้เธอหายโมโหเสียก่อน
  “พี่เมิ่งหาน..นี่พี่ไม่เข้าใจจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่”
  หลินเมิ่งหานถึงกับอึ้งไปใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นชื่นชม และศรัทธาในตัวหลิงหยุนขึ้นมาทันที แล้วจึงตอบกลับไปว่า
  “เรื่องนั้นฉันรู้ดี!ฉันรู้ว่าเด็กร้ายกาจนั่นไม่สนใจเรื่องการสอบอะไรนี่หรอก เรียกได้ว่าทุกสิ่งใต้หล้านี้ไม่มีอะไรอยู่ในสายตาของเขาด้วยซ้ำไป!”
  “แต่หลิงหยุนเองก็เคยพูดว่า..เขาจริงจังกับเรื่องการสอบเอนทรานซ์มาก และเคยพูดว่าจะทำผลสอบออกมาให้ดีที่สุด เพื่อให้น้าหญิงดีใจและสมหวัง..”
  “แต่ตอนนี้ผลสอบเอนทรานซ์ออกมาเป็นศูนย์แบบนี้ถึงแม้หลิงหยุนจะไม่สนใจเรื่องเรียนมหาวิทยาลัย แต่ก็คงต้องรู้สึกผิดหวังอย่างแน่นอน..”
  นับได้ว่าการได้ร่วมเรียงเคียงหมอนกับหลิงหยุนนั้นไม่เสียเปล่าหลินเมิ่งหานดูเหมือนจะเข้าใจจิตใจส่วนลึกของหลิงหยุนได้เป็นอย่างดี
  เหยาลู่ถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ..
  “พี่หลิน..ฉันเองก็เป็นผู้หญิงของหลิงหยุนเหมือนกัน พี่เองก็เช่นกัน พวกเราต่างก็อยู่กับหลิงหยุนทั้งคู่.. สิ่งที่พี่คิด ฉันเองก็เข้าใจเช่นกัน..”
  ระหว่าที่พูดคุยกันอยู่นั้นอุณหภูมิภายในห้องก็ยิ่งลดระดับลงมากขึ้นเรื่อยๆ
  “หลิงหยุนเดินทางไปปักกิ่งครั้งนี้ไม่ได้บอกพวกเราว่าไปทำอะไรด้วยซ้ำ แต่เวลานี้เกิดเรื่องกับหลิงหยุน พวกเราจะไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้เลยงั้นเหรอ แล้วแบบนี้พวกเราจะยังมีคุณสมบัติอะไรที่จะเป็นผู้หญิงของเขาอีกล่ะ?”
  “และต่อให้หลิงหยุนไม่สนใจเรื่องนี้แต่ฉันสนใจ.. หลิงหยุนไม่ควรถูกทำร้ายแบบนี้!”
  หลินเมิ่งหานร้องออกมาอย่างโมโหในขณะที่นั่งลงตรงข้ามเหยาลู่..
  เหยาลู่จ้องมองหลินเมิ่งหานที่กำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเธอยิ้มเล็กน้อยและพูดขึ้นว่า
  “พี่เมิ่งหาน..ถังเมิ่งส่งข้อความมาบอกว่า หลิงหยุนกำลังจะไปพบเขาที่โรงแรม คิดว่าคงจะไปคุยกันเรื่องนี้กัน ถังเมิ่งขอให้พวกเรารอฟังข่าวก่อน..”
  หลินเมิ่งหานร้องออกมาอย่างอิจฉา“เจ้าเด็กถังเมิ่งนั่นมีอะไรก็บอกเธอก่อนตลอดเลย..”
  แต่ความจริงแล้ว..ถังเมิ่งจะแจ้งหนิงหลิงยู่กับเสี่ยวเม่ยหนิงก่อนเสมอ และเหยาลู่มักจะมาเป็นอันดับสาม
  ถังเมิ่งนั้นรู้ดีว่าในบรรดาสาวๆของหลิงหยุนนั้นเหยาลู่เป็นคนที่มีฐานะลำบากที่สุด และครั้งหนึ่งก็เคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้งคลินิกสามัญชนกับหลิงหยุน หลังจากที่ถูกหลิงหยุนอบรมในครั้งนั้น ถังเมิ่งเองก็ดีต่อเหยาลู่มากขึ้น
  “พี่เมิ่งหาน..บางทีถังเมิ่งอาจจะคิดว่าฐานะของพี่สูงส่งเกินไปที่จะพูดคุยด้วยก็ได้!”