ตอนที่ 556 อดทนถึงตอนนั้นไม่ไหวแล้ว
พูดจบมู่หรงกวานเย่ว์ก็ไม่มองหลิงอวี้จื้ออีก ลุกขึ้นออกไปจากจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มู่หรงกวานเย่ว์จะเรียกหลิงอวี้จื้อเข้าวังไปก็ได้ เพียงแต่นางอยากมาดูจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์สักหน่อย ดูว่าเมื่อหลิงอวี้จื้อแต่งงานเข้ามาแล้ว ทั้งจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์มีอะไรแตกต่างไปบ้าง
นางไม่ได้มาจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นานมากแล้ว นางจำได้ว่าสามสี่ปีก่อนตอนที่นางมาจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้น ทุกหนแห่งในจวนอวลไปด้วยกลิ่นร้าง เวลาเดินคนใช้ก็ล้วนแต่ก้มหน้า ฝีเท้าเร่งรีบ ภายในเงียบสงัด
ครั้งนี้มาจวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่ที่ประตู นางก็รู้สึกถึงความแตกต่าง อันดับแรกคนใช้ไม่ได้ดูไร้ชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน เข้ามาถึงก็เป็นสาวใช้จับกลุ่มคุยยิ้มกัน นี่เป็นเรื่องที่แต่ก่อนไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ใครก็รู้ว่าเซียวเหยี่ยนมีนิสัยเย็นชา ไม่ชอบเสียงดัง ด้วยเหตุนี้คนใช้ต่างก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ
จากนั้นนางก็เห็นว่าข้างในจวนแขวนโคมไฟไว้ไม่น้อย และยังมีดอกไม้สดเพิ่มขึ้นมาก เพิ่งเข้ามาก็ได้กลิ่นดอกไม้หอมจางๆ มีผีเสื้อไม่น้อยโบยบินท่ามกลางดอกไม้
ไม่ต้องถามก็รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ เป็นเพราะหลิงอวี้จื้อที่ให้คนมาจัดการ นางรู้จักเซียวเหยี่ยนมาตั้งหลายปีแล้ว รู้ว่าเซียวเหยี่ยนไม่ชอบพวกดอกไม้ใบหญ้า
เพื่อนาง เซียวเหยี่ยนที่เคยดูห่างเหินก็เปลี่ยนไปมากมาย ยอมหลิงอวี้จื้อเช่นนี้ แม้แต่จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ไม่ใช่จวนอ๋องผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เช่นเมื่อก่อนแล้ว
ในใจมู่หรงกวานเย่ว์เสียความรู้สึกมาก แต่เป็นไทเฮา นางไม่สามารถเสียอาการต่อหน้าหลิงอวี้จื้อได้ และไม่สามารถละเลยสถานะของตนเองได้เหมือนพวกผู้หญิงคนอื่นๆ
พูดชัดๆ ก็คือ ในสายตานาง หลิงอวี้จื้อเป็นเพียงเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายนาง นางไม่สามารถวางสถานะลง แล้วมาทะเลาะหึงหวงกับสาวน้อยคนหนึ่ง ทำเช่นนี้ก็รังแต่จะทำให้คนหัวเราะเยาะ
นางอยากจะดูสิว่าเซียวเหยี่ยนกับหลิงอวี้จื้อจะรักหวานชื่นกันไปนานสักเท่าไร นางเชื่อว่าสุดท้ายนางจะเป็นผู้ชนะ
ถึงเวลานี้ นางไม่หวังว่าตนเองกับเซียวเหยี่ยนจะมีความเป็นไปได้อีก ที่นางบอกว่าเป็นผู้ชนะ หมายความว่าสามารถกุมชะตากรรมทั้งหมดของเซียวเหยี่ยนได้ เช่นนี้นางถึงจะรู้สึกยินดี
มู่หรงกวานเย่ว์ไปแล้ว หลิงอวี้จื้อก็เรียกมั่วชิงเข้ามาทันที มั่วชิงเห็นว่าสีหน้าของหลิงอวี้จื้อผิดปกติ จึงรู้ว่ามู่หรงกวานเย่ว์ต้องพูดเรื่องใหญ่กับเธอมาแน่ มิเช่นนั้นหลิงอวี้จื้อก็คงไม่ตึงเครียดขนาดนี้
“มั่วชิง เจ้าบอกความจริงข้ามา เกิดเรื่องอะไรกับมู่หรงนี่อวิ๋นที่ตำบลเถาหยวนกันแน่”
มั่วชิงใจหล่นตุบ นางรู้เรื่องเรื่องนี้จริงๆ เพียงแต่มู่หรงนี่อวิ๋นสั่งย้ำกับนางไว้ว่าไม่ให้บอกหลิงอวี้จื้อ นางจึงปิดเอาไว้ ใครก็ไม่รู้เรื่อง เรื่องนี้เหตุใดไทเฮาถึงรู้ได้
เห็นมั่วชิงลังเล หลิงอวี้จื้อก็รู้แล้ว ในใจเพียงแต่รู้สึกเจ็บปวด
“เขาโดนพิษดอกอวี้จีจริงๆ หรือ”
เห็นว่าปิดไม่อยู้แล้ว มั่วชิงจึงไม่หลอกหลิงอวี้จื้ออีก ตอบรับว่า
“พระชายา คุณชายมู่หรงโดนพิษดอกอวี้จีจริงๆ เพคะ พิษนี้ถอนไม่ได้
คุณชายมู่หรงมีเวลาไม่มากแล้ว หากสามารถหาแมลงจิ่วเซียงได้ ก็ยังมีชีวิตต่อได้อีกประมาณครึ่งปี แต่แมลงจิ่วเซียงเป็นของหายากมาก จะหาแมลงจิ่วเซียงอีกตัวให้ได้นั้นพูดง่ายทำยาก เกรงว่าคุณชายมู่หรงจะอดทนถึงตอนนั้นไม่ไหวแล้วเพคะ”
หลิงอวี้จื้อแทบล้ม พูดอย่างนี้ก็แสดงว่ามู่หรงนี่อวิ๋นโดนพิษจริงๆ คนโง่ ทำไมถึงโง่อย่างนี้
นึกไม่ถึงว่าจะยังปิดเธออีก เธอเป็นคนทำร้ายเขาทุกอย่างจริงๆ หากตอนนั้นเขาไม่มาบังเธอไว้ มู่หรงนี่อวิ๋นก็ไม่มีทางโดนพิษได้เลย ตอนนี้คนที่จะตายก็คือเขา
“พระชายา คุณชายมู่หรงเกิดเรื่องแล้วหรือเพคะ”
“จู่ๆ เขาก็จากไป ต้องเกิดเรื่องแล้วแน่ มั่วชิง เจ้าออกนอกเมืองไปกับข้าตอนนี้เลย ข้าต้องการไปหานี่อวิ๋น”
มั่วชิงพยักหน้า นางไม่อยากให้มู่หรงนี่อวิ๋นเป็นอะไรไป
ตอนที่ 557 หามู่หรงนี่อวิ๋นเจอ
ไปถึงธรณีประตู หลิงอวี้จื้อก็หยุดเดิน แล้วกลับไปที่ห้องอีกครั้ง เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้หรูเยียน สั่งการว่าเมื่อเซียวเหยี่ยนกลับมา ให้เอาจดหมายนี้ให้เซียวเหยี่ยน แล้วจึงออกจากจวนไป
มู่หรงนี่อวิ๋นไม่ได้ไปไหนไกล แค่อยู่บนเขาฟางซานนอกเมืองหลวง ตั้งแต่กลับมาจากตำบลเถาหยวนแล้ว เขาก็ให้คนสร้างเรือนไม้ไผ่หลังหนึ่งไว้บนเขาฟางซาน ถือว่าที่นี่เป็นสถานที่อำลาโลกของตนเอง
ข้างนอกแดดจัดจ้า เขาเอนกายบนเก้าอี้หวาย มือถือเหล้าหนึ่งกา เหม่อมองฟ้าสีฟ้า
ฤดูใบไม้ผลิปีนี้อากาศดีจริงๆ ไม่เหมือนปีที่แล้วที่ฝนตกพรำๆ ตลอดเวลา ใกล้ๆ เรือนไผ่มีป่าไผ่ อยู่ที่นี่ ชีวิตช่างอิสระเสรี
“มู่หรงนี่อวิ๋น”
ทันใดนั้น มู่หรงนี่อวิ๋นรู้สึกเหมือนมีคนกำลังเรียกเขา และเป็นเสียงของหลิงอวี้จื้อด้วย เขานึกว่าตนเองประสาทหลอนไปเอง เพียงแต่เสียงนั้นเหมือนจริงมากขึ้นเรื่อยๆ
เขารีบลุกขึ้น เห็นเงาร่างสีเหลืองไข่ห่าน เขาฟางซานไม่ใหญ่ มิหนำซ้ำยังปลูกแต่ป่าไผ่ และไม่สูงชัน ด้วยเหตุนี้มั่วชิงจึงพาเธอขี่ม้ามาถึงที่นี่
หลิงอวี้จื้อกระโดดลงมาทันที เห็นเงาร่างสีแดงเข้มมาแต่ไกล วิ่งหอบแฮกไปตรงหน้ามู่หรงนี่อวิ๋น สะดุดกิ่งไม้เกือบล้ม
มู่หรงนี่อวิ๋นรีบวิ่งเข้ามา หลิงอวี้จื้อลุกขึ้นจากพื้น ปัดดินออกจากตัว
“เจ้าช่างสง่างามเหลือเกิน มาที่นี่โดยไม่บอกไม่กล่าวกันเลย สถานที่ดีเช่นนี้ เหตุใดไม่เชิญข้ามาลองพักบ้าง นี่อวิ๋น เช่นนี้ใจแคบเกินไปแล้วนะ”
สำหรับการปรากฏตัวของหลิงอวี้จื้อ มู่หรงนี่อวิ๋นตกใจมาก เขาไม่คิดเลยว่าจู่ๆ หลิงอวี้จื้อจะมา มู่หรงกวานเย่ว์หรือมู่หรงกวานเสวี่ยเป็นคนบอกเธอแน่นอน
เรื่องนี้เดิมทีเขาไม่คิดจะให้หลิงอวี้จื้อรู้ แต่เขารู้ว่าคงปิดหลิงอวี้จื้อไว้ได้ไม่นาน มู่หรงกวานเย่ว์รู้เรื่องนี้แล้ว ไม่ช้าก็เร็วนางก็จะบอกหลิงอวี้จื้อ
“ข้าลองมาดูที่นี่ก่อน หากเจ้าชอบ ต่อไปข้าจะให้ที่นี่แก่เจ้า ว่าอย่างไร”
มู่หรงนี่อวิ๋นยิ้มให้หลิงอวี้จื้อราวกับไม่มีเรื่องอะไร ดูเหมือนคนไม่เป็นอะไร น้ำเสียงก็สบายๆ มาก
ถึงแม้ในใจหลิงอวี้จื้อรู้สึกแย่ แต่ใบหน้าก็ยังยิ้ม มองสำรวจเรือนไผ่ที่อยู่ข้างหลังมู่หรงนี่อวิ๋น
“ไม่เชิญข้าเข้าไปดูหน่อยหรือ”
“อวี้จื้อ เชิญ”
มู่หรงนี่อวิ๋นทำท่าเชิญ หลิงอวี้จื้อเดินไปโดยไม่เกรงใจ เครื่องเรือนภายในเรือนไม้ไผ่เรียบง่ายมาก มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ ข้างในมีสองห้อง แต่ละห้องมีหนึ่งเตียง ยืนข้างในสามารถได้กลิ่นหอมสดชื่นจางๆ ของไม้ไผ่
โต๊ะในห้องโถงกลางมีกระดาษ หมึก พู่กัน แท่งฝนหมึก และยังมีสีสำหรับวาดรูปมากมาย บนนั้นวาดรูปหลิงอวี้จื้อเอาไว้
หลิงอวี้จื้อเดินไปข้างหน้า เห็นตัวเองในภาพยิ้มราวกับดอกไม้บาน ในใจเธอก็เจ็บแปลบ
มู่หรงนี่อวิ๋นดูเหมือนจะอาย รีบม้วนภาพเหมือนหลิงอวี้จื้อ อธิบายอย่างกระอักกระอ่วน
“ว่างๆ ไม่มีอะไรทำ ก็เลยฝึกมือเสียหน่อย อวี้จื้อ เจ้าคงไม่ถือสาหรอกนะ!”
หลิงอวี้จื้อนึกขึ้นมาได้ว่าคราวก่อนเธอก็เคยเห็นภาพเหมือนตัวเองที่จวนมู่หรง เพียงแต่ตอนนั้นเธอไม่ได้คิดมาก ในใจเธอ มู่หรงนี่อวิ๋นเป็นพี่น้องสนิทกันมาตลอด พี่น้องที่ปฏิบัติต่อกันด้วยน้ำใสใจจริง
“ข้าจะรังเกียจได้อย่างไร เหตุใดเจ้าถึงโง่ขนาดนี้”
ปากหลิงอวี้จื้อยิ้ม แต่ดวงตากลับแดงแล้ว เมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าเพื่อนสนิทของเธอคนนี้จะจากไปตลอดกาลแล้ว ในใจเธอก็โศกเศร้าถึงที่สุด
เห็นหลิงอวี้จื้อจะร้องไห้แล้ว มู่หรงนี่อวิ๋นก็รู้ว่าเธอต้องรู้ความจริงแล้วแน่นอน ทำหน้าไม่ยี่หระ
“ข้ายังไม่ตายเลย เจ้าก็จะร้องแล้วหรือ รอข้าตายก่อนแล้วค่อยร้องสิ”