ตอนที่ 330 ท่าเทียบเรือสินค้า

ปาฏิหาริย์รัก เทพธิดาจำแลง

การประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นลงอย่างสมบูรณ์ ในฐานะประธานคนใหม่ของเอ็มไพร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ถังซีจึงแวะไปเยี่ยมที่สำนักงานเอ็มไพร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เธอไม่คุ้นเคยกับธุรกิจวงการบันเทิง จึงตัดสินใจใช้เวลาสองชั่วโมงที่เป็นช่วงพักเยี่ยมชมที่นี่ เพื่อทำความรู้จักกับสถานที่ และพิจารณาว่านักแสดงทั้งชายและหญิงในสังกัดเอ็มไพร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ มีความสามารถมากพอให้เธอลงทุนสนับสนุนพวกเขาหรือไม่

 

 

ผู้ช่วยของเธอ และเฉียวเหลียง ซึ่งจู่ๆ ก็โผล่มา ตามไปกับเธอด้วย อาหกไม่ได้ตามมา เพราะ ‘สถานะพิเศษ’ ของเขาในตอนนี้ ขณะอยู่ในรถ ถังซีสังเกตเห็นว่าเฉียวเหลียงดูเหนื่อยมาก เธอจึงค่อนข้างกังวลใจ แต่ไม่อยากจะแสดงบทคู่รักหวานแหววกับเฉียวเหลียงต่อหน้าผู้ช่วย จึงเพียงแค่ถามเบาๆ ว่า “ทำไมคุณดูเหนื่อยจัง เรื่องงานเหรอคะ”

 

 

เฉียวเหลียงใช้นิ้วนวดระหว่างคิ้ว แล้วส่ายศีรษะ “เปล่าหรอก ผมแค่ไปเจอปัญหานิดหน่อย แต่ก็แก้ไขได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่”

 

 

เมื่อสองชั่วโมงก่อน ที่ท่าเทียบเรือสินค้า

 

 

“นายน้อย เรือจะมาเทียบท่าในอีกครึ่งชั่วโมงครับ” อาห้าสวมเสื้อโค้ตยาวสีดำ ยืนอยู่เบื้องหลังเฉียวเหลียง

 

 

อากาศเดือนตุลาคมเริ่มหนาวเย็นแล้ว เฉียวเหลียงสวมชุดสูทสีดำและเสื้อโค้ตยาว เขายืนอยู่บนท่าเทียบเรือ มองออกไปยังเรือลำนั้น ซึ่งมองเห็นอยู่ไกลๆ และกล่าวว่า “สินค้าเที่ยวนี้จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างเด็ดขาด”

 

 

อาห้าก้มศีรษะรับ “ผมจัดการเรียบร้อยครับ สินค้าเที่ยวนี้จะไม่มีข้อผิดพลาด เราแจ้งกับทางทหารไว้แล้ว”

 

 

เฉียวเหลียงขบกราม “ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า สินค้าพวกนี้จะต้องขนส่งออกจากเมืองหลวงโดยเร็วที่สุด ถ้าเรือเข้าเทียบท่าไม่ได้ ทำรายงานการออกจากท่าไปเลย และปล่อยให้เรือแล่นตรงไป ไม่ต้องเข้าอู่ เข้าใจไหม”

 

 

“เข้าใจครับ ผมจะจัดการด้วยตัวเองครับ นายน้อย”

 

 

เมื่อเห็นเรือใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว อาห้าก็กล่าวเสียงต่ำว่า “นายน้อยไปก่อนเถอะครับ ทางนี้ผมจัดการเอง เมื่อเรือออกจากท่านี้ได้แล้ว ทุกอย่างก็ไม่มีปัญหา”

 

 

เฉียวเหลียงพยักหน้า ทันใดนั้นพวกเขาก็ได้ยินเสียงแตรรถยนต์ เฉียวเหลียงขมวดคิ้ว หันไปมองหน้าอาห้า อาห้าพยักหน้า แล้วสั่งการให้คนของเขาออกไปจากบริเวณท่าเทียบเรือ เฉียวเหลียงซุกมือลงในกระเป๋าด้วยท่าทีสงบนิ่ง เขาเฝ้าดูเรือที่ค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาใกล้ท่าเรือ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่ไม่มีใครอ่านความหมายออก

 

 

ขณะนั้นเองรถยนต์หลายคันก็ขับเข้ามาจอดเบื้องหลังเฉียวเหลียง ผู้ชายหลายคนลงมาจากรถ คนที่เป็นหัวหน้าสวมเสื้อโค้ตทหารสีเขียวเข้ม เขาจ้องเขม็งมาที่เฉียวเหลียง และเดินตรงเข้ามาหา “ประธานเฉียว มีเวลาว่างขนาดมารอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นี่เลยหรือ”

 

 

“เซียว… คุณเซียว คุณมาช้าไป” เฉียวเหลียงหันไปมองดวงอาทิตย์ซึ่งลอยสูงอยู่กลางท้องฟ้า กล่าวยิ้มๆ “พระอาทิตย์ขึ้นเร็วมาก ดูเหมือนคุณเซียวจะพลาดโอกาสชมพระอาทิตย์ขึ้นเสียแล้วล่ะ”

 

 

เซียวเหยาเหลียวกลับไปมองบรรดาผู้ติดตาม และผู้ชายเหล่านั้นก็เดินออกไปทางท่าเทียบเรือ เฉียวเหลียงมองตามพวกเขา ดวงตาฉายแววขบขัน แล้วหันมามองเซียวเหยาด้วยท่าทีสบายๆ ขณะกล่าวว่า “นี่คุณเซียวมาทำงานให้กับหน่วยต่อต้านผู้ก่อการร้ายตั้งแต่เมื่อไรกัน”

 

 

“ผมไม่ได้ทำงานในหน่วยนี้ แต่เป็นหน่วยสนับสนุน” เซียวเหยาจ้องกลับ กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “แต่ผมหวังว่าประธานเฉียวจะมีความนับถือตัวเอง และไม่เอาน้องสาวผมเข้ามาเกี่ยวข้อง…”

 

 

“คุณเซียวคิดมากไปแล้ว ผมแค่มาที่นี่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น” เฉียวเหลียงมองหน้าเซียวเหยาและกล่าวเสียงเรียบ “คุณเองก็รู้ แฟนผมมาที่เมืองหลวงนี่เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมเป็นห่วงเธอเลยตามมา แล้วก็มาที่นี่เพียงเพื่อมาชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือคุณเซียวคิดว่าผมไม่มีสิทธิ์มาชมพระอาทิตย์ขึ้น”

 

 

เมื่อเห็นสีหน้าเย็นชาของเซียวเหยา เฉียวเหลียงก็เลิกคิ้วขึ้น “หรือเป็นเพราะคุณแอบหลงรักผม เลยสะกดรอยตามมา”

 

 

เซียวเหยากล่าวอย่างเคร่งขรึม “ผมหวังว่าคุณจะแค่มาดูพระอาทิตย์ขึ้นจริงๆ อย่างที่พูด”

 

 

เฉียวเหลียงไม่มองเขา แต่หันไปมองเรือที่ค่อยๆ เข้ามาใกล้ท่าเทียบ และถามขึ้น “คุณเซียว ทำไมยังไม่ไปอีกล่ะ”

 

 

เซียวเหยามองดูเฉียวเหลียง เดินเข้าไปใกล้แล้วหยุดยืนข้างๆ “ประธานเฉียว ในเมื่อคุณบอกว่ามาที่นี่เพื่อดูพระอาทิตย์ขึ้น ผมหวังว่าคุณคงไม่ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จริงไหม”

 

 

เฉียวเหลียงเลิกคิ้วยิ้ม แล้วหันหลังจะเดินจากไป “ถ้าอย่างนั้นผมไม่รบกวนคุณแล้ว คุณเซียว” เฉียวเหลียงออกเดินไปสองก้าว แล้วหันกลับมามองด้านหลังเซียวเหยา หน้านิ่วกล่าวว่า “ตอนนี้คุณ… ช่างเถอะ ผมขอให้คุณประสบความสำเร็จก็แล้วกัน คุณเซียว”

 

 

เซียวเหยาขมวดคิ้ว มองตามร่างที่เดินห่างออกไป แล้วร้องเรียก “ประธานเฉียว”

 

 

เฉียวเหลียงหันกลับมา เซียวเหยากล่าวอย่างจริงจังว่า “ผมไม่สนใจว่าคุณจะทำอะไร แต่ผมหวังว่าคุณจะไม่เอาโหรวโหรวเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย”

 

 

สีหน้าเฉียวเหลียงเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกราวน้ำแข็งในทันที เขาหรี่ตามองเซียวเหยา และกล่าวอย่างเย็นชา “คุณไม่จำเป็นต้องมาบอกผมแบบนี้!” แล้วเขาก็เดินออกไปจากบริเวณท่าเทียบเรือ

 

 

รถยนต์คันหนึ่งจอดรอเขาอยู่ด้านนอกท่าเรือ อาห้ารีบก้าวขึ้นนั่งบนรถ ถามอย่างวิตกกังวลว่า “นายน้อยครับ เราควรทำยังไง เรือใกล้จะเข้าเทียบท่าแล้ว!”

 

 

เฉียวเหลียงใช้นิ้วนวดระหว่างหัวคิ้ว มองออกไปนอกหน้าต่างรถ เรือกำลังจะเข้าเทียบท่าแล้วจริงๆ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือ ยิ้ม และสั่งว่า “ไปทางด้านทิศใต้”

 

 

“ด้านทิศใต้อย่างนั้นหรือครับ” อาห้ามองเฉียวเหลียงอย่างแปลกใจ เฉียวเหลียงหันกลับไปมองกลุ่มคนซึ่งยังอยู่ที่บริเวณท่าเทียบเรือสินค้า ขณะกล่าวว่า “ในเมื่อเขาอุตส่าห์ไล่ล่าฉันมาตั้งนาน จะเป็นการเสียมารยาทถ้าฉันไม่ให้เขาพบสักหน่อย”

 

 

เซียวเหยาเฝ้ามองรถเฉียวเหลียงที่เคลื่อนจากไป แล้วหันกลับมาช่วยคนของเขาสืบค้นต่อ ดวงตาเขาฉายแววยากหยั่งถึง ในเมื่อเฉียวเหลียงยอมจากไปอย่างง่ายดาย ย่อมแสดงว่าสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหาไม่ได้อยู่บนเรือลำนี้

 

 

 

 

ที่โรงแรมวีนัส ภายในเมืองหลวง ชายหนุ่มผิวขาวหน้าตาหล่อเหลานั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวนุ่มบนระเบียง กำลังละเลียดจิบวิสกี้จากแก้วที่ถืออยู่ในมือ ขณะที่เขารู้สึกว่าใกล้จะเมาเต็มที ประตูก็เปิดออก เขาขมวดคิ้ว เหลียวไปดู เห็นเฉียวเหลียงในชุดสีดำล้วนกำลังเดินมาหยุดตรงหน้าเขา ใบหน้าหล่อเหลาหยุดยิ้มในทันใด หางตาเขาหรี่ลงเล็กน้อย “นี่คุณเพิ่งไปงานศพมาหรือไง”

 

 

เฉียวเหลียงจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาของชายฝรั่งผิวขาว แล้วนิ่วหน้า “ถอดหน้ากากงี่เง่านี่ออกได้แล้ว!”

 

 

“ทำไมล่ะ ตอนนี้ผมคือเจสซ์ผู้โด่งดังนะ!” หลินหย่วนยกมือแตะหน้ากากที่เหมือนผิวจริงบนใบหน้าเขา แล้วยิ้มแยกเขี้ยวให้เฉียวเหลียง “อิจฉาความหล่อของผมหรือไง”

 

 

“เปล่า” เฉียวเหลียงถอดเสื้อโค้ตโยนไปไว้ที่โซฟา ขณะถามว่า “คุณแก้ปัญหานั้นเรียบร้อยหรือยัง”

 

 

“แน่นอน ไม่มีปัญหาใดในโลกที่ผมแก้ไม่ได้” หลินหย่วนทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา “แต่ก็ต้องขอบใจนะ ที่คุณมาช่วยจัดการได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคนพวกนั้นคงตามผมไปที่ท่าเทียบเรือ ทำไมคุณถึงมั่นใจว่าพวกเขาจะตามคุณไป ตอนที่คุณเข้าไปที่ท่าเรือด้านทิศตะวันตก