ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง ตอนที่ 11

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

สงครามสิ้นสุดแล้วหรือ โดย Ink Stone_Fantasy

ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผู้ครองชิง ประมุขหยวนชู และประมุขเกาะกาลมิติ พร้อมทั้งเหล่าผู้ปกครองกลุ่มหนึ่งต่างก็มองไปทางที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ป้อมปราการทรงกลมที่ประณีตงดงามตามแบบโบราณแห่งนั้นจากที่ไกลๆ

“มาดูกันว่าลัทธิจอมมารดานี่จะยังมีลูกไม้อันใดอีก”

“ตอนนี้ก็ถูกสิบสองเสาหยวนเฉินผนึกสะกดเอาไว้แล้ว จะยังอย่างไรได้อีกเล่า ถ้าหากมีวิธีการร้ายกาจ ก่อนหน้านี้ก็คงไม่ปล่อยให้พวกเราติดตั้งเสาหยวนเฉินต้นแล้วต้นเล่าได้สำเร็จหรอก”

“พลังของสิบสองเสาหยวนเฉินเป็นขั้นเทพอากาศแล้ว และตัวคมมีดโลหิตเองก็ไปถึงจุดเริ่มต้นของขั้นเทพอากาศ ทั้งยังอาศัยบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง ซึ่งมีวิธีการหลอมแปรอยู่ นี่จึงทำให้หลอมแปรได้สำเร็จ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าพวกเขาจะทำลายมันได้”

เหล่าผู้ปกครองมองดูอยู่ห่างๆ พลางสนทนากัน

พวกเขาต่างก็กำลังรอคอยการตอบสนองของลัทธิจอมมารดาอยู่!

เวลาเคลื่อนผ่านไปนาทีแล้วนาทีเล่า…

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มีความอดทนอย่างยิ่ง ต่อให้ลัทธิจอมมารดาอยากจะตอบโต้ก็เกรงว่าจะต้องมีการต่อรองภายใน ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง

“หืม” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตตกตะลึงขึ้นมาในทันใด พวกตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เห็นแล้ว

พรึ่บ…

หนึ่งในป้อมปราการทรงกลมแห่งนั้นมีปากหลุมเปิดขึ้นมา บริเวณปากหลุมมียักษ์ที่มีผิวหนังสีน้ำตาลอมเขียว ร่างกายกำยำตนหนึ่งยืนอยู่ ยักษ์ตนนั้นเปลือยเท้า ตลอดร่างมีเพียงเศษผ้าขาดวิ่นไม่กี่ชิ้นปกคลุมร่างกาย แววตาทั้งคู่สงบนิ่งหาใดเปรียบราวกับทะเลครึ้มอันไร้ที่สิ้นสุด

แต่เพราะว่าสายโซ่อากาศผนึกทั้งป้อมปราการเอาไว้ บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวผู้นี้จึงได้แต่ยืนอยู่บริเวณปากหลุมแต่กลับมิอาจออกไปได้ เขาเปิดปากเอ่ยว่า “จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ข้าผู้นี้มีร่างอยู่เพียงร่างเดียว มิได้พกพาอาวุธ หรือมีสมบัติล้ำค่าหรือของวิเศษอันใดเก็บเอาไว้ แม้กระทั่งเสื้อผ้าก็ต้องมาจากการรวบรวมพลังงาน ปล่อยข้าออกไปเถิดนะ”

น้ำเสียงของเขา ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าผู้ปกครองฟังไม่ได้ยิน หากแต่จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตที่ควบคุมค่ายกลสิบสองเสาหยวนเฉินกลับได้ยิน

ตึง…

ระลอกคลื่นชนิดหนึ่งแทรกผ่านเข้าไปในร่างกายของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว

อันที่จริงแล้ว นี่เป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น เสื้อผ้าก็มาจากการรวบรวมพลังงาน ไม่มีของวิเศษอันใดเลย!

“ออกมาเถิด” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนึกคิด ระลอกคลื่นอันไร้รูปร่างก็ห่อหุ้มร่างของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวเอาไว้ แล้วเคลื่อนย้ายเขาออกจากป้อมปราการมายังโลกภายนอก

……

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงไม่ได้ยินเสียงของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว แต่ก็เห็นบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวถูกเคลื่อนย้ายออกมา หลังเคลื่อนย้ายออกมาแล้ว พวกเขาแต่ละคนต่างก็สามารถตรวจตราอีกฝ่ายได้จากที่ไกลๆ เพราะเป็นเพียงร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น จึงถูกพวกตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจตราไปรอบหนึ่งได้อย่างง่ายดาย

“เป็นเพียงแค่ร่างแปรร่างหนึ่งเท่านั้น”

“ไม่มีของวิเศษอันใด ไม่เป็นภัยหรอก”

เหล่าผู้ปกครองต่างก็มองบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวผู้นั้น ด้วยพลังของพวกเขาแล้ว ถึงแม้ว่าจะอยู่ในระยะห่างไกล แต่พวกเขาก็สามารถเห็นเส้นขนของบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวได้อย่างชัดเจนยิ่ง ขณะนี้มีเพียงตัวจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเองที่มาถึงตรงหน้าบุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียว ตงป๋อเสวี่ยอิงและคนอื่นๆ ต่างก็ยังดูอยู่ห่างๆ คอยรักษาเสาหยวนเฉินเอาไว้เช่นเดิม

การพิทักษ์เสาหยวนเฉินเป็นสิ่งสำคัญยิ่งนัก มิอาจละเลยได้

“เหล่าผู้ปกครองอยู่กันหมดเลยหรือ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกวาดตามองไปรอบด้าน ถึงแม้จะมองไม่เห็น แต่เขาก็คาดเดาได้ จึงพูดขึ้นยิ้มๆ

“พูดมาสิ มีเรื่องอันใดหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขาแล้วพูดอย่างสงบนิ่ง

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมองร่างแยกของจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตในอาภรณ์สีขาวตรงหน้าผู้นี้ แล้วเอ่ยอย่างเต็มไปด้วยอารมณ์ว่า “จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต เจ้านี่ระวังตัวน่าดูเลยจริงๆ นะ ไม่ว่าจะเวลาใดเจ้าก็ยังระแวดระวังถึงเพียงนั้น ถึงแม้ตอนนี้จะชนะแล้ว แต่เหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ก็ยังคงพิทักษ์เสาหยวนเฉินเอาไว้เช่นเดิม นอกจากนี้คาดว่าร่างจริงของพวกเขาคงยังอยู่ที่เกาะใจกลางทะเลสาบกระมัง”

“ใช่แล้ว” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า

“ต่อให้สิ่งล่อใจจะยิ่งใหญ่กว่านี้ ก็อย่าได้ไปเดิมพันเชียว” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวเอ่ยพลางทอดถอนใจ “ก่อนหน้านี้พวกเราก่อตั้งสำนักแห่งแล้วแห่งเล่า กระทั่งสังหารพวกเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า น่าเสียดายที่ไม่มีประโยชน์เลย”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “แสนปีมานี้ อันที่จริงก็ได้เผชิญกับสิ่งล่อใจครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ข้าก็รู้ดีว่าถ้าหากไปพร้อมกับร่างจริง บางทีอาจเอาชนะได้! แต่นี่ก็เสี่ยงอันตรายที่ร่างจริงและร่างแยกจะสูญสลาย… ถ้าหากพวกเราไม่เดิมพัน ร่างจริงของพวกเราก็จะปลอดภัยตลอดกาล พวกเราสามารถบำเพ็ญแล้วแยกร่างแยกออกมาต่อสู้ได้อย่างไร้ที่สิ้นสุด ต้องใช้ทรัพยากรไม่หยุดหย่อน ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่นหรอก ผลึกเทพที่พวกเจ้าสำรองเอาไว้ก็ต้องถูกใช้งานไปจนร่อยหรอ สุดท้ายพวกเราก็ต้องชนะอยู่ดี”

“ในเมื่อท้ายที่สุดก็ต้องชนะอยู่ดี เหตุใดจะต้องเสี่ยงอันตรายด้วยเล่า” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยอย่างเย็นชา

“เจ้าช่างสงบเยือกเย็นยิ่งนัก”

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมทอดถอนใจ “แต่สำหรับผู้แกร่งกล้าจำนวนมากแล้ว ที่รู้ก็เรื่องหนึ่ง ที่ทำจริงก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ชัยชนะอยู่แค่เพียงปลายนิ้ว จะหัวร้อนก็เป็นเรื่องธรรมดาอย่างยิ่ง เสียดาย เสียดายเหลือเกิน…”

“เจ้ามาเพื่อพูดเรื่องพวกนี้หรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดต่อ ตงป๋อเสวี่ยอิงและเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็คอยดูและรับฟังอยู่ห่างๆ

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมส่ายศีรษะ “ข้านับถือเจ้าเหลือเกิน ค่ายกลสำเร็จอย่างร้ายกาจที่สุด ใช้ ‘ค่ายกลสองขั้วฟ้า’ กวาดไปทั่วทุกหนแห่งบีบให้พวกเราออกมา ทั้งยังใช้ค่ายกลเสาหยวนเฉินนี้กักขังพวกเราเอาไว้ในตอนนี้อีกด้วย ล้วนเป็นเจ้าทั้งสิ้น! นอกจากนี้สุดท้ายเจ้ายังค้นพบตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดเป็นผู้ทรยศแล้วยังแกล้งทำเป็นไม่รู้ ใช้แผนซ้อนแผนจนทำให้พวกเราประสบหายนะครั้งใหญ่ จนถึงตอนนี้ข้ายังไม่เข้าใจเลยว่าเจ้าค้นพบได้อย่างไรว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดเป็นคนทรยศ”

“นี่เป็นความลับ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูดอย่างเย็นชา

ถึงแม้ว่าเขาเองก็มีความสงสัยอยู่เล็กน้อย แต่ข่าวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงแจ้งให้ทราบในคราวนั้น จึงทำให้จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตค่อนข้างมั่นใจว่าผู้ปกครองคลุ้งคาวเลือดหนีหลัวก็คือคนทรยศ

“ช่างระวังจริงๆ ถึงตอนนี้ก็ยังรักษาความลับอยู่อีก”

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมมีสีหน้าสิ้นหวังอยู่บ้าง สายตาก็หม่นหมอง “เผ่าของข้าที่บ้านเกิดขยายเผ่าพันธุ์มาจนถึงทุกวันนี้ แกร่งกล้าเป็นที่สุด! เพียงแต่ในท้ายที่สุดจักรวาลก็จะแก่ชราและเสื่อมสลายไป และทางเชื่อมจักรวาลเส้นนี้ของพวกเจ้าก็คือโอกาสเพียงหนึ่งเดียวของพวกเรา… พวกเราได้แต่สู้เท่านั้น ถ้าหากพวกเรามีพลังฟ้าดินอันไม่สิ้นสุด มีทรัพยากรมหาศาลให้ใช้ เกรงว่าการต่อสู้ในครั้งนี้ ชัยชนะก็คงจะเป็นของพวกเราแล้ว”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มเย็น “ต่อให้ไม่นับสมบัติล้ำค่า ไม่นับพลังภายนอก! แข่งขันกันที่พลังอันแท้จริง พวกเจ้าก็มิใช่คู่ต่อสู้ของพวกข้าอยู่แล้ว”

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมหายใจสะดุด

ถูกต้อง

จำเป็นต้องยอมรับว่าอาศัยเคล็ดร่างแยก เหล่าผู้ปกครองของจักรวาลผู้บำเพ็ญทุกคนล้วนมีสามร่าง! นี่ก็เพื่อทดแทนจุดด้อยในด้านจำนวนหากต่อสู้กันจริงๆ อันที่จริงทางฝั่งผู้บำเพ็ญทั้งหมดแข็งแกร่งกว่า

“พูดเช่นนี้ไปก็ไม่มีความหมายหรอก เหล่าผู้รักษากฎของพวกเราเกือบตาย เจ้าลัทธิก็สู้จนตัวตายไปมากมาย เข่นฆ่ากันมาแสนปี พวกเราก็ยังพ่ายแพ้อยู่ดี” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมพูด “วันนี้ข้ามาที่นี่ก็หวังว่าพวกเจ้าทางฝั่งจักรวาลผู้บำเพ็ญจะให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเราสักทางหนึ่ง”

“หนทางรอดชีวิตหรือ” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตยิ้มเย็น “อาศัยอะไรมาให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเจ้ากันหรือ กักขังพวกเจ้าไปจนสิ้นสุดยุคจักรวาล พวกเจ้าก็ต้องตายกันหมดแล้ว! ต่อให้กลับไปตามทางเชื่อมจักรวาล ไปยังจักรวาลที่พังย่อยยับแห่งนั้น พวกเจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี! พวกเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน!”

“ตายอย่างแน่นอน”

เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมพูด “หนึ่ง พวกเรายังมีกำลังต่อสู้อยู่ ถึงแม้ไม่มีหวังจะชนะ แต่ก็สามารถทำให้พวกเจ้าต้องชดใช้ด้วยราคาสูงลิ่วได้ สอง ถ้าหากพวกเจ้าให้หนทางรอดชีวิตทางหนึ่งแก่พวกเรา พวกเราก็สามารถมอบอะไรให้กับพวกเจ้าได้มากมาย อย่างเช่นสมบัติล้ำค่า… สาม พวกเราก็เพียงแค่ดิ้นรนเอาชีวิตรอดเท่านั้น”

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนิ่งงันไปเสียแล้ว ทว่าสายตากลับหารือกับเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ พวกตงป๋อเสวี่ยอิงแต่ละคนต่างก็หารือกันอย่างรวดเร็ว

“ที่พูดนี่จริงหรือเท็จกัน พวกเขายังสู้ได้อีกหรือ”

“ล้วนถูกพวกเราคุมขังกันหมดแล้ว ยังจะให้พวกเราชดใช้อะไรอีกเล่า จงใจข่มขู่กันชัดๆ หรือว่าจะยังมีลูกไม้อันใดอีก”

“หึ พวกเขาอยากจะยึดครองจักรวาลของพวกเรา แต่ตอนนี้คิดจะอ้อนวอนขอร้องอย่างนั้นหรือ”

“ข้าไปถามเขาอีกสักหน่อยดีกว่า”

……

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตมองเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมตรงหน้า “พวกเจ้าต้องการหนทางรอดชีวิต หนทางรอดชีวิตอันใดกัน”

“มีอยู่สองวิธี” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวพูด “หนทางรอดชีวิตทางแรก พวกเจ้ามิได้มีความสัมพันธ์อันดีกับกู่กานหลัวผู้นั้นหรอกหรือ เขามีเรือบินอลวน สามารถให้พวกเราเข้าไปในเรือบินอลวนแล้วพาพวกเราจากไปได้! หนทางรอดชีวิตทางที่สอง กักขังพวกเราต่อไป รอให้จักรวาลผู้บำเพ็ญของพวกเจ้าถือกำเนิดเป็นเทพอากาศเสียก่อน แล้วก่อนจะสิ้นยุคจักรวาล เทพอากาศของพวกเจ้าก็สามารถพาชาวเผ่าติดตามไปด้วยได้ ตอนจากไปก็แค่พาพวกเราไปด้วย”

“นี่คือความคาดหวังสุดท้ายของพวกเรา”

“สงคราม พวกเราสิ้นหวังแล้ว! พวกเราขอร้องเพียงการมีชีวิตอยู่เท่านั้น” บุรุษร่างยักษ์ผู้มีเขี้ยวคม ผิวสีน้ำตาลอมเขียวมองจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต

……

ทางฝั่งลัทธิจอมมารดาอับจนหนทางไร้ซึ่งทางเลือก ได้แต่ยอมก้มหัวอ้อนวอนขอชีวิต! การตัดสินใจขึ้นอยู่กับทางฝั่งผู้บำเพ็ญ

การถือสิทธิ์ในการตัดสินชะตาชีวิตของอีกฝ่ายนั้นให้ความรู้สึกที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ตงป๋อเสวี่ยอิง เจ้าแม่กานเหอ ผางอี และจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตนั้น แม้ว่าแต่ละคนจะกำลังครุ่นคิด แต่กลับอารมณ์ดีเป็นที่สุด

“หรือว่าจะได้ชัยชนะเช่นนี้แล้ว สงครามจะสิ้นสุดลงแล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงรู้สึกว่าทั้งหมดนี้ล้วนรวดเร็วยิ่ง พอตนฟื้นขึ้นมา เพิ่งจะเข้าร่วมสงคราม สงครามก็สิ้นสุดลงแล้วอย่างนั้นหรือ

แน่นอนอยู่แล้ว

มีเพียงตงป๋อเสวี่ยอิงที่รู้สึกว่าทั้งหมดนี้ช่างรวดเร็วยิ่ง แต่ความรู้สึกของเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆนั้นกลับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

สำหรับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต ประมุขหยวนชู บรรพชนหุบเหวลึก ผู้ปกครองนรกโลกันตร์ ผางอี ผู้ครองชิง ประมุขเกาะกาลมิติ ประมุขตำหนักหมื่นเทพ และเจ้าแม่กานเหอนั้น พวกเขาแต่ละคนล้วนใจเต้นไม่เป็นส่ำ หนึ่งแสนปีมานี้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยเกินไปแล้ว ทุกเวลานาทีล้วนมิกล้าผ่อนคลาย ต้องคิดวางแผนและเสี่ยงชีวิตครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาสู้จนตัวตายมากมายหลายครั้ง แม้จะดูเหมือนว่าเข้าใกล้ชัยชนะครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ในท้ายที่สุดก็พบว่าเป็นกลลวงทั้งสิ้น

พวกเขาเหนื่อยใจ แต่พวกเขาก็จำเป็นต้องต่อสู้

ในที่สุด!

ตงป๋อเสวี่ยอิงก็นำพาโชคดีมาให้ ในที่สุดสงครามก็จะสิ้นสุดลงแล้ว! ในชั่วขณะนี้พวกเขาต่างก็รู้สึกผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าโดยสัญชาตญาณแล้วจะยังคงรักษาความระแวดระวังเอาไว้อยู่เล็กน้อย แต่ในใจกลับมีความสุขเอ่อท้น

“ทุกท่านว่าอย่างไรบ้าง ควรให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาดีหรือไม่เล่า” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตเอ่ยถามเหล่าผู้ปกครองคนอื่นๆ