ภาคที่ 25 ผู้ปกครอง ตอนที่ 12

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ล้วนอยู่ภายใต้การควบคุม โดย Ink Stone_Fantasy

เหล่าผู้ปกครองสิบท่านที่อยู่ในตำแหน่งสุดยอดของจักรวาลผู้บำเพ็ญกำลังหารือกันอยู่

อันที่จริงความคิดในใจส่วนลึกของพวกตงป๋อเสวี่ยอิงก็คิดว่าควรจะถอนรากถอนโคนเจ้าลัทธิของลัทธิจอมมารดาเหล่านี้เสียให้สิ้น! ถึงอย่างไรสงครามหนึ่งแสนปีนี้ การต่อสู้ก็แผ่กระจายไปทั่วทุกพื้นที่ พื้นที่มากมายของโลกเทพและหุบเหวลึกดำมืดต่างก็วอดวาย ชีวิตที่บาดเจ็บล้มตายก็มากมายนับไม่ถ้วน พวกตงป๋อเสวี่ยอิงต่างก็มีจิตใจคับแค้น

แต่ในการปะทะกันของสองชนเผ่าจักรวาล ไม่สามารถทำตามอารมณ์เพียงอย่างเดียวได้

หนึ่ง บางทีลัทธิจอมมารดาอาจมีวิธีการสู้ให้รู้ดำรู้แดงกันไปข้าง ทำให้ทางฝั่งผู้บำเพ็ญต้องชดใช้อย่างขมขื่น สอง สมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายของลัทธิจอมมารดา อันที่จริงก็มีแรงดึงดูดเป็นอย่างมาก ลำพังแค่ใช้ในการเรียนรู้และขัดเกลา ก็มีประโยชน์ต่อการบำเพ็ญเป็นอย่างมากแล้ว

“เอาล่ะ เช่นนั้นก็ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งก็แล้วกัน”

“ให้หนทางรอดชีวิตกับพวกเขาก็ได้! แต่ว่าจะต้องกักขังพวกเขาจนถึงตอนสิ้นยุคจักรวาล ถึงเวลานั้นจะต้องให้เทพอากาศในหมู่พวกเราพาเขาจากไปพร้อมกัน”

“ถูกต้อง จะต้องมิให้พวกเขาเข้าไปในเรือบินอลวนของกู่กานหลัวเป็นอันขาด”

“กู่กานหลัวผู้นั้น…ชั่วร้ายเป็นที่สุด! ให้เขาพาลัทธิจอมมารดาจากไปน่ะหรือ เฮอะ เกรงว่าจะเปลี่ยนเป็นอีกเรื่องหนึ่งน่ะสิ”

เหล่าผู้ปกครองหารือกันอย่างง่ายๆ ก็ได้ข้อสรุปแล้ว

ยามกระต่ายตื่นตูมก็ยังแว้งกัดคน ในเมื่อมาจนถึงจุดนี้แล้ว เช่นนั้นก็ให้ความหวังเส้นสุดท้ายกับศัตรูสักเส้นหนึ่งแล้วกัน! หากไร้ซึ่งความหวังแล้วศัตรูก็คงได้แต่วิปลาส แต่หากมีความหวัง…ศัตรูก็จะรอคอยวันที่ถูกปลดปล่อยวันนั้นอย่างเชื่อฟัง ถ้าหากทางฝั่งผู้บำเพ็ญร้ายกาจมากพอ เมื่อถึงเวลาก็สามารถไม่ทำตามสัญญา ไม่ช่วยพาพวกเขาไปก็ได้  แต่หากทำเช่นนั้นก็แน่นอนว่าจะไม่ได้รับสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดาแล้ว

“ข้าไปคุยกับพวกเขาก่อน” จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพูด “สงครามมาถึงจุดนี้แล้ว ยังให้โอกาสรอดชีวิตกับพวกเขาสักทางหนึ่งดีกว่า พวกเราก็นับว่ามีเมตตาเป็นอย่างมากแล้ว แต่ทุกๆ ท่านก็ยังต้องระแวดระวังอยู่ตลอด ลัทธิจอมมารดาไม่คู่ควรที่จะได้รับความไว้วางใจอย่างเต็มที่หรอก”

“เข้าใจแล้ว”

“วางใจเถิด”

“พวกเราต่างก็มีร่างแยกทิ้งเอาไว้คอยพิทักษ์เสาหยวนเฉินอยู่ตลอดเวลา”

กลางท้องนภาอันพร่างพรายไปด้วยดวงดาว บนยอดของเสาหยวนเฉินทุกต้นต่างก็มีเหล่าผู้ปกครองคอยพิทักษ์อยู่

……

และที่ท้องฟ้าอีกแห่งหนึ่ง ภายในเรือบินอลวน

รูปสลักขนาดมหึมาที่แผ่กลิ่นอายชั่วร้ายเยียบเย็น บนใบหน้าของ ‘กู่กานหลัว’ แฝงไว้ด้วยรอยยิ้มน้อยๆ มองเหยียดลงไปยังชายหนุ่มมีเขา ผิวหนังสีเขียวผู้หนึ่งที่อยู่ด้านล่าง  ในแววตาของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวผู้นี้มีความเจ็บปวด ทว่าไม่ยอมจำนน ร่างกายก็กำลังสั่นไหวเล็กน้อย

“ทำเกินไปแล้วหรือไม่” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่

“จุ๊ๆๆ ทำเกินไปหรือ มิได้เกินไปเลยแม้แต่น้อย เจ้าคิดว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญจะไว้ชีวิตพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ ปากพวกเขาพูดว่ารอให้ถึงเวลาสิ้นสุดยุคจักรวาลแล้วจะพาพวกเจ้าจากไปพร้อมกัน แต่พอถึงเวลาแล้วพวกเขาก็ไม่พาพวกเจ้าจากไปหรอก ปล่อยให้พวกเจ้าสูญสลายไปพร้อมกับยุคนี้นั่นแหละ  แล้วพวกเจ้าจะไปทำอย่างไรได้” กู่กานหลัวหัวเราะ ในเสียงหัวเราะนั้นแฝงไปด้วยความดูแคลน “เอาความหวังไปฝากเอาไว้กับความเมตตาของฝั่งผู้บำเพ็ญ นี่มันโง่เง่าเกินไปแล้ว ท่ามกลางสงครามแสนปีก่อนหน้านี้ ในยามสงครามพวกเจ้าจงใจทำให้สงครามส่วนหนึ่งแผ่กระจายออกไป  สังหารสรรพชีวิตชาวเผ่าของพวกเขาจำนวนนับไม่ถ้วน ความเคียดแค้นของผู้ปกครองเหล่านี้ที่มีต่อพวกเจ้าจะต้องเข้มข้นมากแน่”

“จากนี้ไปข้าจะเป็นข้ารับใช้ของเจ้า ข้ารับปากได้” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเอ่ยอย่างหดหู่ แต่จะต้องแบ่งสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาของข้าที่จะมอบให้เจ้าออกเป็นสองส่วน ตอนที่เจ้าทำลายเสาหยวนเฉินช่วยเหลือพวกเราออกมา ก็จะมอบส่วนแรกให้กับเจ้า ยามที่ติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา แล้วได้รับชัยชนะในท้ายที่สุดจึงค่อยมอบส่วนสุดท้ายให้ นี่คือข้อเน้นย้ำของพวกเรา”

“เจ้าจะยอมรับปากหรือไม่”

“หรือไม่…ลัทธิจอมมารดาของพวกเราก็จะตายกันไปให้หมดเสียดีกว่า” ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเงยหน้ามองรูปสลักขนาดมหึมาตรงหน้า

ตอนที่สงครามเพิ่งเริ่มปะทุได้ไม่นานสักเท่าใด กู่กานหลัวก็เริ่มล่อลวงให้ผู้ปกครองของลัทธิจอมมารดาคนหนึ่งเข้ามาในเรือบินอลวนของเขา ในอดีตที่ห้ามผู้ปกครองเข้า นั่นเป็นเพราะเขาเข้าสู่ห้วงนิทรา! ตอนนี้อยู่ภายใต้สภาวะตื่นตัว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ภายในเรือบินอลวน เขาก็ไม่สนใจผู้ปกครองคนหนึ่งอยู่แล้ว

ตามการดำเนินไปของสงคราม…

ความกล้าหาญของลัทธิจอมมารดานั้น ยิ่งมาก็ยิ่งอ่อนแอ สุดท้ายตอนนี้ก็ถึงกับยอมก้มหัวแล้ว

“จำเป็นต้องแบ่งเป็นสองคราวหรือ” กู่กานหลัวครุ่นคิด ทว่าในใจกลับลำพองใจเป็นอย่างยิ่ง

เหล่าผู้แกร่งกล้าที่หยิ่งทระนงยิ่งกว่านี้ สุดท้ายก็ยังต้องยอมก้มหัวแต่โดยดี

“คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดานี้จะมีมากมายถึงเพียงนี้ เป็นของล้ำค่าที่แม้กระทั่งเทพอากาศก็ยังต้องอิจฉา” กู่กานหลัวตกตะลึงอยู่บ้าง เดิมทีเขามิได้คิดเป็นจริงเป็นจังกับลัทธิจอมมารดาเลย แต่ตอนที่สงครามเริ่มต้นขึ้น เขาได้แอบสอดส่องอยู่ในความมืด…แล้วค้นพบสมบัติล้ำค่าของลัทธิจอมมารดาเข้า ก็เกิดความริษยาขึ้นมาในทันที เนื่องด้วยมีบางส่วนที่เป็นถึงขั้นเทพอากาศ มีบางส่วนที่เป็นของระบบอื่นๆ หากแต่เหล่าผู้แกร่งกล้าของลัทธิจอมมารดาได้ช่วงชิงมาไว้ส่งมอบให้แก่ชนรุ่นหลัง

ตอนนี้ลัทธิจอมมารดาแข็งแกร่งที่สุด ก็เทียบเท่าได้กับผู้ปกครอง อีกทั้งการจัดการสมบัติล้ำค่ายังค่อนข้างโง่เง่า ดังนั้นสมบัติล้ำค่าอันร้ายกาจมากมายจึงย่อมมิได้สำแดงพลังออกมาสักกี่มากน้อย

“ถ้าหากอยู่ในมือของข้า เช่นนั้นข้าก็จะทำกำไรได้มหาศาลแล้วจริงๆ” กู่กานหลัวอิจฉาจนคันยุบยิบในใจไปหมดแล้ว!

ความจริงแล้ว

นี่คือการล่มสลายของจักรวาลลัทธิจอมมารดา สมบัติล้ำค่ามากมายมหาศาลที่ซ่อนอยู่ภายในโบราณสถานต่างก็เล็ดรอดออกมา ดังนั้นเหล่าเจ้าลัทธิจอมมารดาจึงได้มีสมบัติล้ำค่ามากมายเช่นนี้ หากแต่พลังยุทธ์อย่างเดียวไม่เพียงพอ สมบัติล้ำค่าอยู่ในมือของพวกเขาช่างน่าขันเหลือเกิน! ในทางกลับกัน ‘จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต’ ผู้ที่ขาข้างหนึ่งเหยียบย่างเข้าสู่ระดับขั้นเทพอากาศ เขาเพียงได้รับบัญชีหมื่นสรรพสิ่ง ก็สามารถสร้างค่ายกลมากมายขึ้นมาได้ในทันที ซึ่งเป็นการนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์กว่าสมบัติล้ำค่าจำนวนมหาศาลของลัทธิจอมมารดามากมายนัก แต่อันที่จริงสมบัติล้ำค่าเหล่านั้นของลัทธิจอมมารดา จำนวนมากล้วนเหนือกว่าเสาหยวนเฉิน แต่ยิ่งเป็นสมบัติล้ำค่าที่แกร่งกล้ายิ่งกว่า…คิดจะควบคุมนั้นก็ยิ่งมีขอบกั้นสูงขึ้น!

“หึๆ…”

“เพื่อการมีชีวิตรอด ก็ยังยอมก้มหัวเสียแล้ว” กู่กานหลัวเอ่ยเบาๆ “เพื่อสมบัติล้ำค่าจำนวนมากมายถึงเพียงนี้ ก็คู่ควรให้ข้าลงมือแล้วล่ะ”

เขาคือบุตรทิพย์คนที่เจ็ดขององค์บรรพชนกู่ ก็ย่อมมีวิสัยทัศน์สูงกว่ามาก ใช้เรือบินอลวนก็สามารถอวดเบ่งไปทั่วอากาศอันสับสนอลหม่าน และสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้ พูดถึงการรักษาชีวิต และการเอาชีวิตรอด เรือบินอลวนก็ยิ่งแกร่งกล้า ถึงแม้ว่าตอนนี้จะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการอาศัย ‘เรือบินอลวน’ จัดการกับผู้ปกครองกลุ่มหนึ่ง!

……

หลังจากที่พูดออกไปแล้วชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวก็กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่ง เขากังวลว่ากู่กานหลัวจะไม่รับปาก แต่นี่คือฟางเส้นสุดท้ายของลัทธิจอมมารดาแล้ว เพราะพวกเขาเองก็กลัว กลัวว่าพอกู่กานหลัวได้รับสมบัติล้ำค่าที่มีอยู่ไปแล้วก็จะตบบ่าเบาๆ แล้วจากพวกเขาไป ไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเขา

ดังนั้นจึงจำเป็นต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน

อีกทั้งสมบัติล้ำค่าที่สำคัญที่สุดก็จะต้องเหลือเอาไว้ในส่วนที่สอง! จะต้องช่วยเหลือพวกเขาติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดา และคว้าชัยชนะในสงครามได้แล้ว จึงสามารถมอบส่วนที่สองให้แก่กู่กานหลัวได้

“ได้ เจ้าลัทธิซางตาน เจ้ามอบสัตย์สาบานเสียสิ” พอกู่กานหลัวเอ่ยวาจา ด้านหน้าของชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวพลันมีระลอกคลื่นพุ่งขึ้นมากลางอากาศ แล้วใบไม้ใบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเจ้าลัทธิซางตาน บนใบไม้ยังมีเงารางของคนแคระคนหนึ่งปรากฏขึ้นลางๆ ด้านบนมีตัวอักษรที่ไม่รู้จักอัดกันแน่นขนัด จากนั้นตัวอักษรก็ส่งสารมา ทำให้ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวเข้าใจทั้งหมดอย่างสมบูรณ์

ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวคือเจ้าลัทธิที่ค่อนข้างเยาว์วัยคนหนึ่งของลัทธิจอมมารดา ทั้งยังเข้ามาที่เรือบินอลวนตั้งแต่เนิ่นๆในสงคราม

เขายื่นมือออกมาแล้วขยับน้อยๆ วิญญาณสายหนึ่งก็มาเกิดขึ้นบนใบไม้นี้ ทันใดนั้นก็ถูกใบไม้จับเอาไป ส่วนรูปสลักขนาดมหึมาของกู่กานหลัวในเวลานี้ก็มีวิญญาณสายหนึ่งมาเกิดบนใบไม้เช่นเดียวกัน

“วิ้ง”

บนใบไม้ เงารางของคนแคระเงยหน้าขึ้นมองกู่กานหลัวปราดหนึ่ง แล้วเมียงมองชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวที่อยู่ด้านข้าง ริมฝีปากขยับไหว แต่น้ำเสียงกลับดังก้องอยู่ในห้วงสมองของกู่กานหลัวและชายหนุ่มผิวหนังสีเขียว “ตั้งสัตย์สาบานแล้ว ผู้ฝ่าฝืน ตาย!”

ชายหนุ่มผิวหนังสีเขียวรู้สึกได้ถึงกฎเกณฑ์อันไร้รูปร่าง นั่นคือกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานอันพิเศษยิ่ง ถ้าหากฝ่าฝืน เขาก็จะต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา พลังของกฎเกณฑ์แกร่งกล้าเป็นที่สุด อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเขา ต่อให้เขาแกร่งกล้ากว่านี้อีกร้อยเท่าพันเท่าก็ไม่มีทางกล้าลองดีกับกฎเกณฑ์ของสัตย์สาบานนี้เลย

“นายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานทักทายอย่างเคารพ

“ดีมาก” กู่กานหลัวอมยิ้มมองดูข้ารับใช้ใหม่ของตน “ตอนที่ข้าท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน เคยได้รับค่ายกลชุดหนึ่งมาโดยบังเอิญ ค่ายกลชุดนี้ค่อนข้างร้ายกาจทีเดียว เอามาใช้ปกป้องเจดีย์สังเวยของพวกเจ้า ก็ย่อมเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง”

“พวกเรามีเจดีย์สังเวยอยู่ทั้งหมดหกแห่ง” เจ้าลัทธิซางตานพูด “เจดีย์สังเวยหกแห่งกระจายอยู่ในจักรวาลทั้งหก ในที่สุดจึงสามารถสร้างแท่นบูชาได้”

“ค่ายกลชุดนี้มีทั้งหมดเก้าอัน ให้พวกเจ้าหกคนไปใช้ชั่วคราวก็เป็นเรื่องเล็กนัก” กู่กานหลัวพูดอย่างไม่ใส่ใจ สำหรับการห้ำหั่นกันในครั้งนี้เขาก็มิได้แยแสสนใจเลยจริงๆ ยามที่เขาท่องเที่ยวอยู่ในอากาศอันสับสนอลหม่าน ศัตรูคู่ต่อสู้โดยทั่วไปของเขาต่างก็เป็นเทพอากาศด้วยกันทั้งสิ้น! เป็นถึงบุตรทิพย์หัวแก้วหัวแหวนของบรรพชนกู่ พลังยุทธ์ของตนก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ปกครอง แล้วยังอาศัยวัตถุภายนอกทั้งหลายในช่วงเวลาที่เป็นเลิศ ก็ย่อมสามารถต่อกรกับเทพอากาศได้

“ขอบคุณนายท่าน” เจ้าลัทธิซางตานรับคำอย่างปิติยินดี

“อีกประเดี๋ยวข้าก็จะสามารถทลายค่ายกลหยวนเฉินแห่งนั้นแล้วช่วยพวกเจ้าออกมาได้ พวกเจ้าก็เริ่มต้นติดตั้งเจดีย์สังเวยได้ทันที ข้าจะช่วยพวกเจ้ารักษาการณ์เอง! พอเจดีย์สังเวยหกแห่งติดตั้งแท่นบูชาจอมมารดาได้ในท้ายที่สุด แล้วเปลี่ยนแปลงทั่วทั้งจักรวาล ไม่มีพลังฟ้าดินอันไร้ที่สิ้นสุดอีกต่อไปแล้ว ถึงแม้จะเผชิญกับการกีดกันของจักรวาล พวกเขาก็ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอนแล้ว” กู่กานหลัวพูดอย่างสบายใจ

……

และในขณะนี้เอง

กลางท้องฟ้าพร่างพราวด้านนอกที่มั่นของลัทธิจอมมารดา ร่างแปรของเจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมกำลังเจรจาครั้งสุดท้ายกับจักรพรรดิเทพคมมีดโลหิต

“พวกเราไม่มีทางให้ถอยกลับแล้ว ได้แต่หวังว่าทางฝั่งผู้บำเพ็ญของพวกเจ้าจะทำตามที่สัญญาไว้นะ” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมก้มศีรษะพูด

จักรพรรดิเทพคมมีดโลหิตพยักหน้า “ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะรอคอยอยู่ภายในที่มั่นแต่โดยดี อย่าได้มีเล่ห์กลอันใดอีก ถ้าหากพวกเจ้าหลอกลวงพวกเราแล้วล่ะก็… พวกเราก็ไม่มีทางให้โอกาสพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว”

“วางใจให้เต็มที่เถิด” เจ้าลัทธิผู้มีเขี้ยวคมอมยิ้มน้อยๆ