บทที่ 454
ปัง!

ฟันที่เปื้อนเลือดสองสามซี่กระเด็นออกมา เลืดพุ่งออกมาเป็นสายน้ำ หยูมู่เหลียงรู้สึกดวงตาทั้งสองข้างดำมืด กระอักเลือดออกมา ลอยกระเด็นกลับหัวกลับหางและตกลงพื้นดังแปะเหมือนกับปลาตัวหนึ่งที่ตายแล้ว

หลินจื่อเฟิงในเวลาปกติเขาดูยิ้มแย้มและอ่อนโยน แต่พอได้เริ่มโจมตีแล้ว กลับรุนแรงและเด็ดขาด ไม่มีการไว้หน้าใดใดทั้งสิ้น พลังเพียงแค่หมัดเดียว ก็จัดการหยูมู่เหลียงจนสลบไปในทันที

หมัดที่ชกจนหยูมู่เหลียงลอยไปนั้น สำหรับหลินจื่อเฟิงแล้ว ราวกับเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ หลัวซิวได้ยินการถกเถียงจากคนรอบข้าง จึงได้รู้ว่าหลินจื่อเฟิงแห่งเทือกเขาเหิงหยุนนี้ ที่จริงแล้วเป็นนักยุทธ์อิสระที่มีชื่อเสียงโด่งดัง

มีครั้งหนึ่งที่หยูมู่เหลียงจำผู้หญิงคนหนึ่งมาวางแผนจะขืนใจ แต่ถูกเขาบังเอิญเจอเสียก่อน เขาจึงยื่นมือเข้าไปช่วยหญิงสาวคนนั้นไว้

หยูมู่เหลียงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ดังนั้นจึงได้เรียกซือถูสงมา ซือถูสงเป็นจักรพรรดิยุทธ์ผู้แข็งแกร่ง หลินจื่อเฟิงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่เขาก็ยังสามารถหลบหนีได้

“กล้าทำร้ายท่านชายของพวกเรา รนหาที่ตาย!”

เหล่านักยุทธ์ตระกูลหยูที่หยูมู่เหลียงพามาด้วยนั้น เพิ่งจะรู้สึกตัว พวกเขาเร่งรีบตะโกนอย่างดุร้าย เสียงดาบที่หลุดจากฝักดังขึ้นพร้อมกัน

หลินจื่อเฟิงส่งเสียงหึด้วยความเยียบเย็น หอกรบสีแดงเพลิงเล่มหนึ่งถูกเขาหยิบออกมาจากแหวนเก็บของ

ทางฝั่งตระกูลหยู มีราชายุทธ์ขั้น7สองคนอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย ทั้งหมดมีราชายุทธ์แปดคนล้อมโจมตี หลินจื่อเฟิงไม่ได้สะทกสะท้านใด ๆ เขายืนถือหอกอยู่เช่นนั้น บรรยากาศที่เย็นยะเยือกนั้นไหลเวียนรอบตัวเขา

เห็นเพียงรัศมีอาฆาตพลุ่งพล่านไปทั่วตัวเขา รัศมีอาฆาตสีเลือดก็ที่เป็นเหมือนอาวุธเสมือนจริง หอกรบกวาดออกไป ม้วนขึ้นเป็นพายุสังหารสีแดงเลือด

“ลงทัณฑ์โทษตาย!”

ราชายุทธ์ขั้น7คนหนึ่งแห่งตระกูลหยูตระโกนด้วยความโกรธ กระบี่ยุทธ์ในมือมีไฟลุกโชน พุ่งตรงไปทางหลินจื่อเฟิง

อีกทางราชายุทธ์ขั้น7คนหนึ่งก็โจมตีด้วยในเวลาเดียวกัน มือหนึ่งฟาดลงไป พลังจิตแท้กลายเป็นกรงขัง ปิดกั้นบริเวณรอบ ๆ ของหลินจื่อเฟิง เพื่อไม่ให้เขาหลบได้

หลัวซิวไม่ได้ออกหน้าช่วย เพราะเขารู้สึกได้ว่าหลินจื่อเฟิงคนนี้ ไม่ธรรมดา

ลองคิดดูเล่น ๆ นักยุทธ์อิสระคนหนึ่งที่ไม่มีเบื้องหลังใดใด แต่กลับสามารถใช้ชีวิตดำรงอยู่ที่เทือกเขาเหิงหยุน ดินแดนที่เต็มไปด้วยความวุ่นวายนี้ได้ ต้องพบเจอกับการต่อสู้ที่ไม่สามารถหลีดเลี่ยงได้ ประสบการณ์การต่อสู้ต้องมีมากมายอยู่แล้ว

ในเมื่อเขากล้าที่จะทำร้ายหยูมู่เหลียง แน่นอนว่าเขาต้องไม่กลัวพวกราชายุทธ์ที่รวมมือกันล้อมโจมตีอยู่แล้ว

อาศัยร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลาย ผลการฝึกตนของหลินจื่อเฟิงถึงแม้จะไม่แตกต่างกับราชายุทธ์ขั้น7ทั้งสองคนเท่าไรนักแต่ยังดูใจเย็น หอกรบสีแดงเพลิงตระหง่านอยู่ในมือเขา โจมตีด้วยความดุเดือด

เสียงแทงดังขึ้น กรงพลังจิตแท้ถูกเขาทำลายจนสลายเดียวครั้งเดียว จากนั้นก็กระโดดขึ้นไป หอกรบนั้นราวกับมังกร พุ่งตรงไปทางดาบของราชายุทธ์ขั้น7คนนั้น

ชิ้ง!

เสียงหอกและดาบปะทะกัน เกิดเป็นประกายไฟกระจายไปทั่ว ความแข็งแกร่งของร่างยุทธ์ระดับราชาช่วงปลายไม่ธรรมดา นักยุทธ์ราชายุทธ์ขั้น7แห่งตระกูลหยู หน้าถอดสีทันที ทั้งยังถอยหลังไปอีกสามก้าว

หลินจื่อเฟิงก็ใช้ประโยชน์จากการป้องกันการโจมตี ถอยหลังไปหนึ่งก้าว หอกรบถูกกวาดออกไปอีกครั้ง บีบบังคับให้ราชายุทธ์ขั้น7อีกคนล่าถอยไป

ส่วนราชายุทธ์ผลการฝึกตนค่อนข้างอ่อนแอคนอื่น ๆ เขาก็ไล่โจมตีทีละคน ทั้งหมดกระเด็นลอยออกไป ไม่เหลือศัตรูคนใดอยู่เลย

หลัวซิวรี่ตาลง ดูเหมือนว่าหลินจื่อเฟิงฝึกตนด้วยวิชาสังหาร อีกทั้งตัวตระหนักรู้ในวิชาสังหาร ยังสูงกว่าเขาอีกด้วย

ถึงแม้ในตอนแรกหลัวซิวจะใช้ตัวตระหนักรู้วิชาสังหาร แต่เสิ่งสำคัญของเขายังคงเป็นสองระดับความเป็นตาย ดังนั้นเมื่อความแข็งแกร่งได้เพิ่มขึ้น ความนึกคิดส่วนมากก็จะถูกใช้ไปกับการทำความเข้าใจผังกฎดั้งเดิมวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพ น้อยนักที่จะไปเรียนรู้กลยุทธ์ของวิชาสังหาร

แต่ว่าขั้นตอนในการเรียนรู้สองระดับความเป็นตาย ก็ยังสามารถทำความเข้าใจวิชาที่ใกล้เคียงกันได้อีกด้วย ดังนั้นสำหรับวิชาสังหารแล้วเขาก็มีความคืบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แค่เพียงเมื่อเทียบกับสองระดับความเป็นตายแล้วนั้น มันไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก

และในเวลานี้เอง หลินจื่อเฟิงก็ได้พุงไปตรงหน้าราชายุทธ์ขั้น7แห่งตระกูลหยูด้วยเจตนาฆ่า ถูกนักยุทธ์กลั่นร่างคนหนึ่งประชิดร่าง หากไม่เก่งการต่อสู้ระยะประชิด จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน

ผลลัพธ์นั้นคาดเดาได้ไม่ยาก ในเวลาไม่ถึงกี่วินาที ตระกูลหยูทั้งสองคน ก็ถูกหลินจื่อเฟิงฟาดจนกระเด็นออกไป ร่างกายได้รับบาดเจ็บสาหัส และดูน่าเวทนาอย่างยิ่ง

ส่วนคนของตระกูลหยูที่เหลือนั้น เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ใบหน้าก็ถอดสีทันที ความกล้าหดหาย ไม่กล้าบุกเข้ามา

ถ้าไม่ใช่เพราะกลัวว่านี่คือที่ตั้งของสำนักไม้เสวียน หลินจื่อเฟิงก็คงจะไม่ปล่อยให้รอดสักคนอย่างแน่นอน