ตอนที่ 515: แท่นบูชาเทียนหมิง

Crazy Leveling System

CLS ตอนที่ 515: แท่นบูชาเทียนหมิง

 

คำพูดของอี้เทียนหยุนทำให้พวกเขาตกใจ พวกเขาคิดว่าเขาจะขอให้พวกตนช่วยทำลายด้วย แต่ใครจะรู้ว่าเขาคิดจะจัดการคนเดียว นี่เขาไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือไง?

 

“เมื่อพวกท่านระเบิดพลัง มันก็ง่ายที่จะเปิดเผยตัวตน แต่ว่าข้านั้นต่างกัน ถึงยังไงแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงก็มีศัตรูเป็นเผ่ามนุษย์มากมายอยู่แล้ว ไม่ว่าข้าจะใช้วิชาไหน ก็ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะจำได้”

 

ที่เขาตัดสินใจเข้าร่วมแผนการนี้นั้น เหตุผลก็ง่ายมาก เพราะเขาจำเป็นต้องไปยังแท่นบูชาเทียนหมิงนี้อยู่แล้ว เพราะว่าในแผนที่สมบัติโลกวิญญาณที่เขาได้มานั้นได้มีสัญลักษณ์บอกเอาไว้ และสถานที่ที่มีการทำสัญลักษณ์เอาไว้นั้น แน่นอนว่าต้องมีของดีอยู่ แล้วอย่างนี้จะให้เขาพลาดได้ยังไง?

 

ตอนนี้พลังของเขายังขาดอยู่ ทั้งที่ตั้งสมบัติยังอยู่ในแท่นบูชาเทียนหมิงซึ่งอยู่ในถิ่นของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง การที่เขาจะได้มีโอกาสขโมยทรัพยากรพร้อมทั้งทำลายที่แห่งนั้น แล้วทำไมเขาจะไม่ทำมันล่ะ?

 

“เจ้าจะบอกว่า หลังจากที่พวกเขาขโมยแล้วเสร็จ ก็ให้พวกเราออกมาก่อน จากนั้นเจ้าก็ทำลายมัน…..” ผู้อาวุโสลั่วหลังจากหายตกใจ ก็ได้ถามขึ้น

 

“ใช่ มีอะไรอย่างงั้นเหรอ?” อี้เทียนหยุนพยักหน้า แล้วถามขึ้น

 

“นี่… พวกเรารู้ว่าเจ้านั้นแข็งแกร่ง แต่เจ้าก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับวิญญาณเที่ยงแท้เท่านั้นไม่ใช่เหรอ? หากว่าพบกับผู้เชี่ยวชาญระดับราชาวิญญาณเข้า ต่อให้เจ้ามีเปลวเพลิงสองชนิด มันก็ไม่สามารถช่วยอะไรเจ้าได้” เถ้าแก่เย่พูดขึ้นมาด้วยเจตนาดี “พวกเราเองก็อยากจะทำลายแท่นบูชาเทียนหมิงนี้เช่นกัน แต่การทำลายมันนั้นยากมาก แค่กำจัดผู้เชี่ยวชาญที่อยู่ที่นั่นได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว ยังไงก็ตาม เพื่อความปลอดภัย พวกเราจึงไม่อาจทำอะไรที่มันเกินกว่าเหตุ ต้องสร้างความเสียหายให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะไม่ทำให้อีกฝ่ายรู้ตัว”

 

แม้ว่าหากถูกพบจะหมายถึงการก่อให้เกิดสงคราม และเผ่าฟีนิกซ์ก็ไม่ได้กลัวใครหน้าไหน แต่เพื่อให้แผนการเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ จึงจำเป็นต้องทำให้เกิดปัญหาให้น้อยที่สุด ซึ่งนี่คือจุดสำคัญ หากว่าฆ่ามากเกินไปจนไปจุดชนวนการต่อสู้ขึ้น ต่อให้การต่อสู้จะเป็นไปอย่างสูสี แต่ว่าการสูญเสียจะต้องมหาศาลอย่างแน่นอน

 

แดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งนับไม่ถ้วน และสามารถหาผู้ฝึกตนเข้ามาเติมได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงสามารถเริ่มการต่อสู้เป็นตายได้โดยไม่เสียดายชีวิต แต่กับเผ่าฟีนิกซ์ของพวกเขานั้น หากว่าเสียไปหนึ่งชีวิตก็จะสูญเสียไปหนึ่งคน ทั้งยังไม่สามารถเพิ่มประชากรได้ในทันทีด้วย ดังนั้นจึงนับเป็นการสูญเสียอย่างถาวร

 

แต่แน่นอนว่าเผ่าฟีนิกซ์ไม่ได้ถูกฆ่าตายแบบธรรมดา แต่จะถูกแย่งชิงเอาแก่นโลหิตเพื่อไปช่วยในการฝึกฝน ซึ่งแก่นโลหิตของพวกเขานี้ ถือได้ว่าเป็นยาบำรุงกำลังชั้นดีเลยทีเดียว

 

“ในเมื่อเขากล้าพูดอย่างนี้ งั้นก็ให้เขาทำตามที่ต้องการเถอะ หลังจากที่ผู้อาวุโสทั้งสามท่านขโมยทรัพยากรมาได้แล้ว ก็ให้รีบกลับมาอย่างรวดเร็ว ส่วนที่ว่าทูตศักดิ์สิทธิ์ของเราจะทำอะไรต่อนั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจ” ไป๋สุ่ยหวงทำการสรุปอยู่ด้านข้าง

 

“แต่ว่า….” พวกเขายังคงเป็นห่วงอี้เทียนหยุน หากว่าตายไป แล้วจะจัดการกับวิญญาณร้ายยังไง? ยิ่งกว่านั้น เพิ่งได้เป็นทูตศักดิ์สิทธิ์ก็มาตายไปซะแล้ว แบบนี้มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ อย่างนี้อาจจะทำให้ความน่าเชื่อถือของพวกเขาตกลงไปได้ง่ายๆ เลย

 

“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น ให้ทำตามที่ได้ตกลงไว้!” ไป๋สุ่ยหวงมองมาที่อี้เทียนหยุนแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ใช่คนในเผ่าฟีนิกซ์เรา เจ้าคิดจะทำอะไร พวกเรานั้นห้ามไม่ได้ แต่หากว่าเจ้าถูกจับ หวังว่าเจ้าจะรู้ว่าอะไรควรไม่ควร!”

 

ไป๋สุ่ยหวงมองเขาด้วยสายตาแข็งกร้าว คำพูดนี้ตรงอย่างมาก หากว่าอี้เทียนหยุนถูกจับ ก็ให้ยอมรับผลที่ทำ และก็อย่าบอกว่าเผ่าฟีนิกซ์เป็นคนส่งมา ให้บอกเป็นอย่างอื่นแทน

 

ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ว่าเผ่าฟีนิกซ์ละทิ้งอี้เทียนหยุน แต่ว่าการกระทำของอี้เทียนหยุนนี้ พวกเธอไม่สามารถช่วยอะไรได้

 

“แน่นอน นี่เป็นเรื่องที่ข้าตัดสินใจเอง ข้าเข้าใจดี” อี้เทียนหยุนยิ้ม แค่ไป๋สุ่ยหวงยอมเห็นด้วยกับเขา แค่นั้นเขาก็ดีใจมากแล้ว

 

ผู้อาวุโสทั้งสามต่างก็พากันมองหน้ากัน จากนั้นก็พากันถอนหายใจ ในตอนนี้ดูเหมือนว่าจะทำได้เพียงเชื่อคำของไป๋สุ่ยหวงเท่านั้น

 

หลังจากอธิบายแผนการจนกระจ่าง คนทั้งสี่ก็ทำการลงมืออย่างรวดเร็ว ผู้อาวุโสทั้งสามพากันสวมหน้ากากเพื่อปลอมตัวไม่ให้ดูออกว่าเป็นคนของเผ่าฟีนิกซ์ นอกจากจะระเบิดพลังออกมาเต็มที่ หรือใช้เพลิงฟีนิกซ์ออกมา ไม่อย่างนั้นไม่มีทางมองออกอย่างแน่นอน

 

ส่วนอี้เทียนหยุนนั้นง่ายกว่ามาก แค่เปลี่ยนใบหน้าเพียงอย่างเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนอย่างอื่น

 

“!”

 

หลังจากเสร็จสิ้นการเตรียมตัว พวกเขาก็พากันบินไปยังแท่นบูชาเทียนหมิงในทันที พวกเขาพากันบินด้วยความเร็วที่คิดว่าอี้เทียนหยุนตามทัน แต่เมื่อมองไปข้างหลังก็พบว่าอี้เทียนหยุนตามมาได้อย่างสบาย พวกเขาจึงได้เพิ่มความเร็วขึ้น อี้เทียนหยุนก็เพิ่มความเร็วขึ้นตาม ไล่ตามหลังพวกเขาไปติดๆ

 

“ความเร็วเจ้าเร็วมาก นี่เจ้าเป็นแค่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้จริงๆ อย่างงั้นเหรอ?” พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงระดับของอี้เทียนหยุน แม้จะไม่แม่นยำมาก แต่ก็มั่นใจว่ายังอยู่ในระดับวิญญาณเที่ยงแท้

 

เพราะกลิ่นอายที่เปล่งออกมาของระดับราชาวิญญาณนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ทั้งเขตแดนระหว่างทั้งสองยังต่างกันมาก จึงทำให้กลิ่นอายที่สัมผัสได้ต่างกันอย่างใหญ่หลวง

 

“ใช่แล้ว” อี้เทียนหยุนยิ้มบางๆ เขามีปีกฟีนิกซ์อยู่ ทำให้ความเร็วไม่ห่างกันมาก เมื่อบินด้วยความเร็วสูงสุด จึงไม่ได้ล้าหลังกว่าพวกเขาแม้แต่น้อย

 

“ติ๊ง วังเทียนหยุนทำการกำจัดขุมอำนาจที่ชั่วร้ายที่สุดสำเร็จ ได้รับค่าประสบการณ์ 80 ล้าน, ค่าความคลั่ง 60,000, ค่าความชั่ว 30,000…..”

 

“ติ๊ง ยินดีด้วย ผู้เล่นอี้เทียนหยุนได้เข้าสู่ระดับวิญญาณเที่ยงแท้ขั้นที่ 7!”

 

โดยที่ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ระดับเพิ่มขึ้นง่ายๆ นี่เป็นช่วงแห่งการเตรียมตัว วังเทียนหยุนจึงได้ทำการขยายขุมอำนาจไม่หยุด ทั้งยิ่งมายิ่งร้ายกาจ เขาคิดว่าอาจจะช้ากว่านี้ แต่ใครจะคิดว่าในกระบวนการขยายอำนาจจะเป็นไปอย่างราบรื่นโดยที่ไม่มีขุมอำนาจใดต้านได้เลย

 

เขารู้ว่าอาณาจักรของตนนั้น จะต้องก่อตั้งได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจากวันนี้ไปก็อีกไม่ไกลแล้ว!

 

ภายใต้ความเร็วถึงขีดสุด หลังจากบินมาหลายวัน พวกเขาก็ได้ลดความเร็วลง ผู้อาวุโสลั่วที่บินนำทำสัญลักษณ์ให้พวกเขาหยุด จากนั้นก็พากันลงไปข้างล่าง

„Front was the Heavenly Netherworld altar/jar……” Elder Luo led them to walk, after the forest, what heaving in sight was a giant Temple of Heaven!

“ข้างหน้าคือแท่นบูชาเทียนหมิง….” ผู้อาวุโสลั่วพวกเขาเดินไป หลังจากพ้นป่ามา ที่ปรากฏต่อสายตาก็คือวิหารขนาดใหญ่ที่สูงเสียดฟ้า

 

ใหญ่มาก ถึงกับเทียบได้กับเมืองใหญ่ๆ เมืองหนึ่ง แม้จะใหญ่เท่าเมืองขนาดใหญ่ แต่ว่านี่ไม่ใช่เมืองจริงๆ แต่เป็นวิหารที่มีแท่นบูชาที่ใหญ่จนไม่น่าเชื่อ ความใหญ่โตมโหฬารของมันทำให้สูงไปถึงฟ้าจริงๆ ยิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก! แต่แม้ว่าจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เข้มงวดอะไร สามารถเดินเข้าออกได้ตามใจ สามารถทำเหมือนกับว่าเป็นเมืองใหญ่ๆ เมืองหนึ่ง

 

หลังจากอี้เทียนหยุนได้เห็น ก็พลันตกใจในทันที “นี่คือแท่นบูชาเทียนหมิงอย่างงั้นเหรอ ช่างเป็นวิหารที่ใหญ่มากจริงๆ…..”

 

“ที่จริงนี่ก็คือวิหารยักษ์ แต่ว่าก็ได้ถูกแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิงแย่งชิงมา แต่จะเป็นเวลาไหนนั้น พวกเราไม่แน่ใจเท่าไหร่ แต่ในระยะสั้นนี้ พวกเราจะอาศัยอยู่ที่นี่ และก็จากไป” ขณะที่ผู้อาวุโสลั่วกับพวกเห็นวิหารขนาดใหญ่สูงเสียดฟ้านี้ ก็อดไม่ได้ต้องถอนหายใจออกมา

 

“ใช่ นี่ทำให้รู้สึกตกใจจริงๆ ของดีขนาดนี้ แต่กลับต้องมาตกอยู่ในมือของแดนศักดิ์สิทธิ์เทียนหมิง” เถ้าแก่เย่ส่ายหัว คิดว่าน่าเสียดายอย่างมาก

 

อี้เทียนหยุนส่ายหัวแล้วพูดว่า “ดูเหมือนว่าข้าจะไม่สามารถทำลายแท่นบูชาเทียนหมิงนี้ได้แล้ว คงได้แต่สังหารเท่านั้น….”

 

เมื่อเขาเห็นวิหารที่ยิ่งใหญ่อลังการนี้ เขาก็รู้ได้เลยว่า ด้วยระดับในปัจจุบันของเขา ไม่มีทางที่จะทำลายที่นี่ได้ กลัวว่าคงต้องมีระดับที่สูงกว่านี้ก่อน ถึงจะสามารถทำลายแท่นบูชาเทียนหมิงนี้ได้

 

แค่ค่ายกลที่เห็นด้านนอกก็รู้สึกได้ว่าน่ากลัวมาก กลัวว่าจะเป็นค่ายกลระดับผู้สร้างด้วยซ้ำ…. หากว่าเป็นอย่างนี้ เขาจะไปทำลายได้ยังไง?

 

เพราะค่ายกลระดับผู้สร้าง เขาในตอนนี้ยังไม่สามารถทำลายได้