บทที่ 378 ผมเตือนคุณด้วยความหวังดีแล้วนะ

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“คุณ! ตามคนที่สามารถเข้าถึงเงินเดือนของคนงานมาให้หมด!”

“ภายในสิบนาทีถ้าใครไม่มา ก็เก็บข้าวเก็บของออกไปได้เลย!”

เมื่อพอรู้สาเหตุที่พวกคนงานโวยวายแล้ว เฉินหวั่นชิงก็หันมองไปที่ฟ่านซวนทันที

พอเห็นสายตาที่ดุร้ายของเฉินหวั่นชิงแล้ว ฟ่านซวนก็ต้องตกใจ ไม่นึกเลยว่าเฉินหวั่นชิงที่อายุยังน้อยกลับฉุนเฉียวได้ถึงขนาดนี้ แล้วยังจะกล้าชักช้าอีกได้ยังไง

แต่เขานั้นรู้ดีว่าสาวสวยคนนี้ไม่ได้เป็นแค่แจกันเท่านั้น ตั้งแต่วันแรกที่เธอขึ้นมาควบคุมทิศทางของเรือใหญ่อย่างบริษัทแซ่เฉินจนถึงวันนี้ บริษัทแซ่เฉินก็ได้พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย!

อายุน้อยก็ส่วนอายุน้อย แต่เรื่องความสามารถก็ยังมีสูงกว่าคนทั่วไปอยู่ดี ทุกวันนี้ภายในบริษัทแซ่เฉินก็แทบไม่มีใครกล้าทำให้เธอไม่พอใจแล้ว

แน่นอนว่าหลักๆ ก็เป็นเพราะเฉินหวั่นชิงเป็นคนที่ลงมือค่อนข้างเด็ดขาด แม้แต่น้องชายอย่างเฉินหยังยังไม่ปรานี แล้วเขาจะกล้าไปขัดใจได้ยังไง

การปรากฏตัวอย่างยิ่งใหญ่ของเฉินหวั่นชิงมันกลับทำให้พวกคนงานนั้นเงียบลงไป รู้ว่ากำลังจัดการเรื่องของตัวเองอยู่ จึงได้ยืนดูอย่างเงียบๆ

ถึงเย่เทียนจะยังคงเงียบ แต่สายตากลับกวาดมองไปยังพวกคนงานอยู่ตลอดเวลา

ในเวลาเพียงไม่นาน เขาก็สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติเข้าแล้ว สายตาที่ขบขันของเขาไปหยุดอยู่ตรงพวกคนงานที่เป็นแกนนำเหล่านั้น

คนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะชายผิวดำคนนั้น สีหน้าข้างค่อนข้างร้อนรนและไม่สบายใจ ไม่ได้ดูกระตือรือร้นเหมือนคนงานคนอื่นที่ถูกเลื่อนเงินเดือนและกำลังรอคอยข้อสรุปเลย

“พวกนี้น่าจะมีอะไรในใจแน่นอน!”

เย่เทียนรู้สึกตะหงิดใจ แต่ก็ยังไม่ได้เปิดเผย

ในเวลาเดียวกัน ฟ่านซวนก็พาพนักงานการเงินสามคนเดินมาแล้ว

ความจริงแล้ว กลุ่มผู้ดูแลที่ถูกพวกคนงานขวางไว้นั้นไม่ได้มีแค่ฝ่ายการเงิน แม้แต่คนของฝ่ายบุคคลก็อยู่ด้วย จึงใช้เวลาไม่นานในการตามตัว

“ประธานเฉิน นอกจากรองผอ.แล้ว คนในแผนกการเงินก็อยู่ตรงนี้ครบหมดทุกคนเลยครับ”

พอพูดอย่างนั้นออกมา เฉินหวั่นชิงก็ขมวดคิ้วอย่างแรง

“แล้วรองผอ.ไปไหน?”

“เมื่อวานเขาก็ขอลากับผมไปแล้ว บอกว่าแม่ของเขาเข้าโรงพยาบาล จึงต้องกลับบ้านสักพักครับ”

พอพูดถึงเรื่องนี้ ฟ่านซวนโมโหขึ้นมาทันที ปกติเขาจะยุ่งอยู่กับการออกไปพบปะผู้คน เรื่องในโรงงานส่วนใหญ่ก็จะมอบหมายให้รองผอ.เป็นคนดูแล ถ้าไม่ได้เป็นเพราะมาลางานตอนนี้ เขาก็คงไม่ต้องมาซวยแบบนี้จริงมั้ย?

“ประธานเฉิน คุณเองก็น่าจะรู้ ว่าเวลาส่วนใหญ่ผมต้องเดินทางไปตามเมืองใกล้เคียง เรื่องในโรงงานผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องจริงๆ ครับ”

เฉินหวั่นชิงพยักหน้าอย่างมีความคิด ไม่ได้มีท่าทีว่าจะโทษฟ่านซวน และได้มองไปยังพนักงานการเงินสามคนนั้น

“พวกคุณน่ะ ฉันหวังว่าพวกคุณจะให้คำอธิบายที่น่าพึงพอใจกับฉันได้ ทำไมค่าแรงของคนงานพวกนี้ถึงเลื่อนมานานขนาดนี้?!”

“คือ….ประธานเฉิน พวกเราไม่รู้จริงๆ ครับ”

“ค่าKPIในเดือนที่แล้วของคนงานพวกนี้เราได้ส่งให้บริษัทแม่แล้ว เงินก็ตรงตามจำนวน และได้โอนไปหมดแล้วครับ”

ทั้งสามหันมาสบตากัน ชายชราตัวเล็กสวมแว่นที่อยู่ตรงกลางก็ได้ก้าวออกมา และส่ายหน้าเป็นการใหญ่

เรื่องนี้พูดถึงก็น่าแปลก ทั้งโรงงานมีคนงานตั้งมากมาย แต่ทำไมถึงมีแค่ห้องเครื่องทั้งสามโรงนี้เท่านั้นที่ไม่ได้รับเงิน

พวกเขาได้ทำตามขั้นตอนทุกอย่างอย่างถูกต้อง ไม่มีข้อผิดพลาดเลยสักนิด แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องประหลาดแบบนี้ขึ้นมาได้ล่ะ?

ทันใดนั้น ชายชราตัวเล็กที่สวมแว่นก็เหมือนนึกอะไรได้ แล้วมองไปยังฟ่านซวนอย่างกล้าๆ กลัวๆ และพูดอย่างลังเลว่า

“ประธานเฉินครับ หลังจากที่เราคำนวณเสร็จแล้วก็จะส่งให้ผอ.ฟ่านเซ็นจากนั้นผอ.ฟ่านก็จะเป็นคนเอาเงินให้รองผอ. แล้วเขาก็จะไปที่ธนาคารเพื่อเอาเงินโอนเข้าบัญชีของคนงานทุกคน จะเป็นไปได้มั้ยครับว่า……”

ถึงชายชราตัวจะพูดไม่จบ แต่ทุกคนก็เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสื่อ

สีหน้าของเฉินหวั่นชิงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที หันมองไปที่ฟ่านซวนแล้วพูดอย่างเย็นชาว่า “โทรหารองผอ.!”

ภายใต้การเตือนของชายชราตัวเล็ก สีหน้าของฟ่านซวนก็ดูแย่ไม่ต่างกัน เขารีบหยิบมือถือออกมาแล้วโทรหารองผอ.ทันที

หลังรอคอยอย่างเงียบๆ ไปหลายวิ สีหน้าของฟ่านซวนก็ดูแย่อย่างถึงที่สุดเหมือนเพิ่งกินขี้เข้าไป แล้วเอามือถือลงด้วยความจนใจ

“ประธานเฉินครับ มือถือของรองผอ.ปิดเครื่องไปแล้ว ผมว่าอาจจะ….”

ในสถานการณ์ที่คับขันแบบนี้ รองผอ.กลับมาลางานและติดต่อไม่ได้ ต่อให้ใช้หัวแม่ตีนคิดก็รู้ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับรองผอ.อย่างแน่นอน!เฉินหวั่นชิงขมวดคิ้วอย่างแรง ภายใต้สายตาที่เป็นประกายก็มีแววตาที่เปี่ยมด้วยไหวพริบกะพริบอยู่

“ประธานเฉิน คุณเคลียร์กันเสร็จรึยัง?”

“ใช่ใช่ การที่รองผอ.ติดต่อไม่ได้มันก็เป็นเรื่องของพวกคุณ บริษัทแซ่เฉินใหญ่ขนาดนี้ จะบอกว่ากะอีแค่เงินเดือนของห้องเครื่องไม่กี่โรงยังจ่ายไม่ไหวอย่างนั้นเหรอครับ?”

“ผมจะบอกคุณให้รู้ไว้ ถ้าวันนี้เราไม่ได้รับเงิน เราก็จะรื้อห้องเครื่องของที่นี่ซะเลย!”

สามคนที่เป็นหัวโจกเริ่มร้อนรนแล้ว และตั้งใจที่จะปลุกระดมคนงานอีกครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องผิดหวังก็คือ คนงานที่ตอบรับพวกเขามีแค่ไม่กี่คนเท่านั้น

ถึงเหล่าคนงานที่อยู่ตรงนี้จะไม่ค่อยมีมารยาท แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่มีสมองสักหน่อย ผู้นำของบริษัทแซ่เฉินเขาลงมาจัดการด้วยตนเองแล้ว แล้วยังต้องห่วงว่าเธอจะไม่มีคำตอบให้อีกเหรอ?

ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องมันหักมุมถึงขนาดนี้ พวกเขาเองก็เข้าใจว่ามีความเป็นไปได้สูงการที่รองผอ.จะเชิดเงินหนีไปเอง

ถ้าต้องโทษก็คงต้องโทรรองผอ. โวยวายกับเฉินหวั่นชิงแล้วมันจะมีประโยชน์อะไร?

“พี่ๆ ทุกคน ฉันไม่มีทางปล่อยคนชั่วให้หนีรอดแม้แต่คนเดียว ยิงไม่อยากใส่ร้ายคนบริสุทธิ์ ทุกคนช่วยให้เวลาฉันสักหน่อย ฉันจะโทรไปถามที่ธนาคารเดี๋ยวนี้เลยค่ะ”

สีหน้าของเฉินหวั่นชิงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พอพูดทิ้งท้ายหยิบมือถือออกมาแล้วหันไปโทรศัพท์ทันที

ในตอนนั้น เย่เทียนก็ถือโอกาสเดินขึ้นมา แล้วจ้องมองพวกหัวโจกด้วยสีหน้าที่จะยิ้มไม่ยิ้ม

” ไม่ทราบว่าพวกคุณ มีตำแหน่งอะไรในโรงงานเหรอ?”

ทั้งสามถูกถามจนรู้สึกตกใจ จึงหันมาสบตากันอย่างอัตโนมัติ แต่ก็กลับมาทำหน้าปกติได้พอสมควร

“พวกเราก็เป็นคนงานในไลน์ผลิตไงครับ แล้วคุณล่ะเป็นใคร?”

“ผมเหรอ?”

เย่เทียนชี้ไปที่ตัวเอง แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ผมเป็นชายที่ได้จดทะเบียนสมรสกับประธานเฉินของพวกคุณแล้ว แล้วคุณคิดว่าผมเป็นใครล่ะ?”

พอคำพูดนี้ถูกพูดออกไป สายตาของทุกคนที่มองไปยังเย่เทียนก็ดูอิจฉาขึ้นมาทันที

ยังนึกว่านิทานของหมาเห่าเครื่องบินที่ฝืนโชคชะตาจนสามารถสมหวังได้ซะอีก!

“แค่แมงดาที่มาเกาะผู้หญิงกินก็เท่านั้นไม่ใช่รึไง? ยังมีหน้ามาอวดเบ่งอีก!”

ชายร่างผอมที่เป็นหัวโจกพูดด้วยความอิจฉา

เย่เทียนหันไปพิจารณาหัวจรดเท้า แย้มปากจนเผยให้เห็นฟันขาวๆ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไร

“การจะเกาะผู้หญิงได้มันก็ถือเป็นความสามารถอย่างหนึ่งไม่ใช่รึไง? อย่างน้อยก็ดีกว่าคุณ ใช้เงินไปตั้งเยอะไม่พอ แถมร่างกายยังติดโรคอีก จี๊ดจี๊ด!”

พอชายคนนั้นได้ยินแบบนี้ ในใจก็รู้สึกร้อนรนขึ้นมาทันที ไม่นึกเลยว่าเย่เทียนจะอ่านเขาออกเพียงการมองแค่ครั้งเดียว

“ไม่ต้องมองผมด้วยสายตาแบบนั้น คนที่หน้าตาอัปลักษณ์อย่างคุณ ผมคิดว่าคงไม่มีใครยอมแต่งงานกับคุณ นอกจากใช้เงินมันก็คงไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”

“ผมจะเตือนคุณด้วยความหวังดีนะ ตอนนี้คุณน่าจะเป็นโรคซิฟิลิสขั้นสอง ยังพอทันเวลา อย่างน้อยก็จะไม่ตายเร็วขนาดนั้น”

คำพูดของเย่เทียน ทำให้คนที่อยู่ข้างๆ ชายคนนั้นรีบดีดตัวออกห่างทันที กลัวจะติดโรค ทำหน้าทำตาประหลาด

“แกเลิกมาพูดจาหมาๆ ตรงนี้ได้แล้ว! ถ้ายังพูดอะไรมั่วๆ อีก เดี๋ยวกูจะกระทืบให้ตายเลยเชื่อมั้ย!?”

ชายคนนั้นโมโหขึ้นมาทันที

“นี่คุณกำลังข่มขู่ผมอยู่อย่างนั้นเหรอ?”

เย่เทียนที่เพิ่งทำหน้ายิ้มสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที เหมือนเพิ่งขึ้นมาจากสถานที่ที่มืดมิดที่สุด สองตาที่ไร้ปรานีจ้องมองไปยังชายคนนั้น ทำเอาอกสั่นขวัญหาย……