บทที่ 237
แผนรับมือ
เมื่อเจียงเหยียนได้ฟังคำรายงานขององครักษ์ทั้งสอง สีหน้าของนางก็แสดงความไม่พอใจออกมาอย่างมาก
“เซี่ยงเฟ่ยหลิน เจ้ากล้าดียังไง! ในเมื่ออยากปกป้องเย่เย่มากนัก ข้าจะทำให้พวกมันได้รู้ซึ้งถึงอำนาจของสกุลเจียง!”
“พระมเหสีทรงพระปรีชายิ่ง!” เจียงอู๋และเจียงคุนพูดขึ้นอย่างมีความหวัง ทั้งสองมองเห็นโอกาสที่พวกเขาจะกอบกู้ชื่อเสียงของสกุลเจียงให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง
ถึงแม้ก่อนหน้านี้เซี่ยงเฟ่ยหลินจะสามารถเบี่ยงประเด็น อ้างถึงผู้บงการอยู่เบื้องหลังเย่เย่ ทำให้ตงหมิงหยูไขว้เขว แต่ด้วยเบาะแสชิ้นใหม่ของสององครักษ์ก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะให้มเหสีเจียงเกลี้ยกล่อมตงหมิงหยูอีกครั้ง หลังจากที่นางสูญเสียความไว้วางใจจากจักรพรรดิเหิง การโน้มน้าวทัณฑ์สวรรค์จึงเป็นทางออกเดียวที่เหลืออยู่
หลังจากที่ทั้งสามไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว เจียงเหยียนจึงถือโอกาสนี้เข้าพบตงหมิงหยูแบบลับๆ โดยที่ไม่ได้บอกจักรพรรดิเหิงให้รับรู้
หลังจากเจรจาไปได้หนึ่งชั่วยาม สุดท้ายแล้วทัณฑ์สวรรค์ตงหมิงหยูก็ยอมทำตามแผนของนาง พวกเขาตัดสินใจส่งสาส์นเชิญหลอกล่อเย่เย่มาที่งานเลี้ยงที่คฤหาสน์ชิงลั่ว ที่อยู่ห่างไกลจากตัวเมืองเพื่อให้ตงหมิงหยูลงมือได้สะดวก
ไม่นานนักจดหมายเชิญก็ถูกส่งมาถึงมือเย่เย่ ถึงแม้จดหมายจะบอกว่าเป็นการเจรจาสงบศึก แต่เมื่อเขาอ่านชื่อผู้ส่ง สัญชาตญาณของเขาก็สัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
“เจ้าคิดว่าไง?” หลังจากได้อ่านจดหมาย เย่เย่ก็ถาม เหยียนลี่หยางขึ้น
“มาไม้นี้เจ้าตงหมิงหยูต้องอยู่ที่นั่นด้วยแน่ๆ” จากประสบการณ์การหลบหนีจากทัณฑ์สวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เหยียนลี่หยางพูดได้อย่างเต็มปาก
“ในเมื่อพวกมันยังรังควานไม่เลิก คงถึงเวลาที่จะกำจัดพวกมันให้สิ้นซาก”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ! ข้ารอคำนี้ของเจ้ามานานแล้ว” เหยียนลี่หยางตบเข่าฉาด และพยักหน้าอย่างพอใจ นับตั้งแต่ที่วรยุทธ์ของเขาบรรลุถึงขั้นก้าวสวรรค์ เขาก็ยังไม่เห็นโอกาสไหนเหมาะแก่การทดสอบพลังยุทธ์ครั้งไหนเท่าครั้งนี้มาก่อน
“แต่เราต้องทำอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ตัวตนถูกเปิดเผย ก่อนอื่นข้าจะพาเจ้าไปหารือแผนการกับกองกำลังปีกแห่งแสงเสียก่อน” เย่เย่นั้นต้องการกำจัดทั้งตงหมิงหยูและเจียงเหยียนโดยที่ไม่ให้ตัวตนของเขาถูกเปิดเผย ในขณะเดียวกันเขาจำเป็นต้องพึ่งพาพลังของอาราม ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังฐานที่มั่นของกองกำลังปีกแห่งแสงเพื่อระดมความคิดรับมือทัณฑ์สวรรค์
เมื่อทั้งสองเดินทางมาถึง พวกเขาก็มองเห็นตงซาน ผู้นำของกองกำลังปีกแห่งแสง กำลังนำกำลังพลของเขาฝึกฝนวรยุทธ์กันที่ลานกว้างจากมุมสูง
จากสงครามกับเหล่านิกายหลักในครั้งที่แล้ว ทำให้ชื่อเสียงและการมีอยู่ของพวกเขาเป็นที่พูดถึงกันไปทั่วยุทธภพ ทำให้มีผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศต้องการเข้าร่วมกับกองกำลังของพวกเขา มีบางส่วนถึงกับก่อจลาจลเล็กๆเพื่อเรียกร้องความสนใจ ทว่าตงซานนั้นไม่เคยคิดถึงเรื่องการขยายกองกำลัง และเขาก็ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณจึงยังไม่ได้ประกาศ รับอาสาสมัครใดๆเพิ่ม
ตงซานทุ่มเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนให้กับเหล่าสมาชิกดั้งเดิม เพื่อยกระดับความแข็งแกร่งของกองกำลังโดยหวังที่จะแบ่งเบาภาระให้กับประมุขได้มากขึ้นกว่าศึกครั้งที่ผ่านมา
ในขณะที่พวกเขากำลังตั้งหน้าตั้งตาฝึกกันอย่างขะมักเขม้น หนึ่งในสามพี่น้องสกุลตงก็สัมผัสได้ถึงสายลมกรรโชกที่คุ้นเคยมาจากเบื้องบน
ฟู่ววววววววววว พั่บ พั่บ พั่บ
หลังจากเสียงนั้นดังขึ้นได้ไม่นาน เย่เย่ที่สวมเกราะทมิฬก็ได้ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับชายอีกคนที่ดูไม่คุ้นตา
เมื่อตงซานเหลือบไปเห็นเย่เย่ เขาก็รีบตะโกนเรียกเหล่าสมาชิกทั้งหมดของกองกำลังให้ออกมาทำความเคารพประมุข
“ข้าน้อยตงซาน และสมาชิกกองกำลังปีกแห่งแสง คารวะท่านประมุข!” ตงซานและเหล่าสมาชิกประสานมือคำนับเย่เย่ อย่างพร้อมเพรียง
เหยียนลี่หยางกวาดสายตามองไปรอบๆ พลางประเมินพลังของแต่ละคนอย่างคร่าวๆ เขาจับสังเกตได้ว่าแม้จะเป็นกองกำลังเล็กๆ แต่วรยุทธ์โดยเฉลี่ยของพวกเขาก็นับว่าไม่เลว แม้แต่คนที่ดูอ่อนด้อยที่สุดยังมีวรยุทธ์ถึงขั้นเทพยุทธ์
ในระหว่างที่ชายแปลกหน้าประเมินพลังของพวกเขาด้วยสายตา สายตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เขาด้วยเช่นกัน เพราะฐานที่มั่นของกองกำลังถือเป็นความลับสุดยอด แม้ประมุขจะเป็นคนพาเขามาแต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ตงซานและเหล่าสมาชิกเบาใจลงได้แม้แต่น้อย
แต่แล้วเย่เย่ก็ไม่ปล่อยให้ความเคลือบแคลงลุกลามกลายเป็นปัญหาใหญ่ เขาจึงรีบแนะนำเหยียนลี่หยางให้พวกเขาได้รู้จัก “ท่านผู้นี้คือ เหยียนลี่หยาง ผู้สืบทอดที่ถ่ายทอดพลังของอารามให้กับข้า วันนี้ข้าพาเขามาเพื่อให้พวกเจ้าทำความรู้จักกันเอาไว้ และเพื่อเตรียมการสำหรับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้”
เมื่อได้ยินข้อมูลจากปากของเย่เย่ สมาชิกกองกำลังก็เริ่มพูดคุย ถกเถียงกันเอง
“ชายผู้นี้คือผู้สืบทอดอีกคนงั้นรึ?” สมาชิกคนหนึ่งพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ข้าอดใจรอที่จะกวาดล้างคนชั่วไม่ไหวแล้ว” สมาชิกร่างใหญ่พูดขึ้น พลางหักนิ้วซ้ายขวาดัง
กร๊อบๆอย่างคันไม้คันมือ
“ได้ท่านผู้สืบทอดมาช่วยอีกแรง กองกำลังของเราก็เหมือนเสือติดปีก!”
พอพวกเขาได้รู้ตัวตนที่แท้จริงของเหยียนลี่หยาง พลังใจก็เพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี
“ท่านเหยียน ได้โปรดรับตำแหน่งหัวหน้ากองกำลังของข้าเอาไว้ด้วยเถอะ!” จู่ๆตงซานก็เดินมาหาเหยียนลี่หยาง และกล่าวขึ้นอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
สมาชิกคนอื่นๆที่เห็นผู้นำของพวกเขาว่าอย่างนั้น ก็ได้แต่ประสานมือคุกเข่าลงต่อหน้าชายผู้ที่เพิ่งพบหน้ากันได้ไม่ถึงค่อนชั่วยาม
เย่เย่ไม่ได้ออกปากคัดค้าน และปล่อยให้เหยียนลี่หยางเป็นคนตัดสินใจ สำหรับเขาแล้วผู้คนในกองกำลังล้วนเท่าเทียมกัน ไม่มีใครอยู่เหนือกว่าใครหรือด้อยกว่าใคร
“ท่านตงกล่าวหนักไปแล้ว จะให้ข้ารับตำแหน่งนี้ไว้ได้อย่างไรกัน?”
“ท่านเหยียนถ่อมตนไปแล้ว ท่านเป็นผู้ถ่ายทอดพลังให้กับท่านประมุขก็เปรียบเสมือนศูนย์รวมใจของพวกเราเช่นเดียวกัน” ตงซานโน้มน้าวต่อด้วยความจริงใจ
แม้จะกะทันหันไปสักหน่อย แต่สมาชิกก็เห็นพ้องต้องกันเป็นส่วนใหญ่ การได้ผู้สืบทอดมาเป็นผู้นำ ถือว่าเป็นเกียรติอันสูงสุดสำหรับพวกเขา
ทว่าเหยียนลี่หยางก็ไม่ยอมใจอ่อนง่ายๆ เขายังคงปฏิเสธตงซานไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“เดิมทีข้าใช้ชีวิตหลบๆซ่อนๆอยู่ตามลำพัง ดังนั้นตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังเห็นทีจะไม่เหมาะกับข้า แต่หากพวกท่านปัญหาเกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ก็มาหาข้าได้ทุกเมื่อ ยินดีให้คำชี้แนะทุกท่าน”
พอเหยียนลี่หยางพูดจบ ก็มีสมาชิกกองกำลังบางส่วนเริ่มไม่พอใจกับท่าทียโสโอหังของเขา
เนื่องด้วยตงซาน หัวหน้าของพวกเขาบรรลุวรยุทธ์ขั้นจิตพิสุทธิ์ได้ในระยะเวลาอันสั้นจากการสนับสนุนของเย่เย่ แต่ เหยียนลี่หยางที่โผล่หัวมาได้วันเดียว นอกจากที่จะปฏิเสธน้ำใจ มิหนำซ้ำยังพูดจาใหญ่โตจะมาชี้แนะการฝึกยุทธ์ให้พวกเขาอีกด้วย…