จริงๆ เขาเคยได้ยินและรู้จักชื่ออูรึมนี้มาก่อนแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่า เป็นอูที่แปลว่าฝน และรึมที่แปลว่าเย็น เพราะไม่ใช่ตัวอักษรที่จะใช้ในชื่อคน เขาจึงไม่เคยคิดเชื่อมโยงมาก่อน
“อูที่แปลว่าฝน รึมที่แปลว่าเย็น หรือว่า…จะเป็นชันบี[1]?”
บีพาอันพูดทวนคำว่าอูรึม ที่เป็นชื่อเดิมของกโยซึลซ้ำๆ อีกครั้ง อูรึม ชื่อที่มีความหมายของคำว่าฝนกับคำว่าเย็น ชันบี ชันบี ชันบี ฝนเย็น ตาของบีพาอันลึกโบ๋ไร้แวว ไม่สิ ลึกไปในดวงตาที่มืดมนนั้น เหมือนว่ากำลังมีประกายไฟลุกโชนขึ้นมา
“ชื่ออูรึมงั้นหรือ”
บีพาอันแสดงสีหน้าราวกับถูกตบเข้าที่หลังกระหม่อมเข้าอย่างจัง เขาท่องชื่อของกโยซึลอีกครั้งด้วยสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อ บีพาอันเริ่มสั่นไปทั้งตัวจากการท่องชื่อนั้น
***
วันต่อมาบีพาอันไม่มีสมาธิทำงานเลยตลอดทั้งวัน เขาจัดการเรื่องฎีกาต่างๆ และเข้าเรียนวิชาของราชสำนัก แต่ทว่ากลับไม่สามารถรวบรวมสมาธิได้เลย ดูเหมือนว่าใจของเขาได้ไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
แทซา (อาจารย์สอนวิชาความประจำพระราชวัง) ทนดูไม่ไหวอีกต่อไป เขาวางตำราลงและปิดมันโดยสมบูรณ์
“ทรงมีเรื่องรบกวนจิตใจอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี”
“ทรงเปิดตำราค้างไว้ที่หน้าแรกนานแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
“เรากำลังซาบซึ้งกับความหมายของมันอย่างลึกซึ้งอยู่”
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ทรงซาบซึ้งถึงแค่ตรงนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ในตอนนั้นเองบีพาอันก็พบว่าแทซาได้ปิดตำราแล้วเอามือวางไว้บนปก
“ยังเหลือเวลาเรียนอีกพักใหญ่เลยมิใช่หรือ”
“เป็นเวลาหลายสิบปีแล้วที่ข้าพระองค์ได้แบ่งปันวิชาความรู้กับฝ่าพระบาทฮวางแทจา”
แทซาซึ่งมีอายุพอสมควรแล้ว ยิ้มออกมาด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตา แม้มันจะถูกหนวดเคราหนาทึบปิดบังไว้ แต่ก็สามารถมองเห็นมันได้จากรอยเ**่ยวย่นเล็กๆ รอบดวงตารูปทรงพระจันทร์เสี้ยวของเขา แทซาเรียกตัวเองอย่างถ่อมตนด้วยคำว่าข้าพระองค์ ส่วนบีพาอันก็ยกย่องเขาเป็นพระอาจารย์ของตน บีพาอันเฝ้ารอฟังคำที่แทซาจะพูดอย่างใจเย็น
“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาทรงมีความเอาใจใส่ในการเรียนอยู่เสมอ ข้าพระองค์จึงกล้าที่จะบังอาจกล่าวได้ว่า ในบรรดาเชื้อพระวงศ์รุ่นเดียวกันที่ข้าถ่ายทอดวิชาความรู้ให้นั้น พระองค์คือที่หนึ่ง”
แทซาหลับตาลงครู่หนึ่งพลางนึกย้อนไปถึงวันวานที่ตนได้อบรมความรู้ให้แก่บีพาอันมาเป็นทศวรรษ
“ในปีที่ฝ่าพระบาทฮวางแทจามีอายุครบสิบสามปีนั้น องค์จักรพรรดิทรงรับสั่งให้พระองค์ไปท่องเที่ยวที่ต่างอาณาจักร”
คิ้วของบีพาอันกระตุก แทซาคือผู้ที่เฝ้ามองดูเขามาอย่างเนิ่นนาน แม้บีพาอันจะเป็นคนที่ไม่เปิดเผยความในใจของตนออกมาก็ตาม แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของพระอาจารย์ผู้ปราดเปรื่องไปได้
“เป็นเวลากว่าสามปี สามปีที่ทรงท่องเที่ยวอยู่ที่อาณาจักรอื่น แล้วพระองค์ก็ทรงเคยขาดเรียนเป็นครั้งแรก แต่ก็แค่วันเดียวเท่านั้น เป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย จากนั้นก็ทรงมุ่งมั่นทุ่มเทให้กับการเรียนเป็นอย่างมาก”
“จำเรื่องนั้นได้ด้วยหรือขอรับ”
“ที่จริงข้าพระองค์ก็ลืมไปแล้ว แต่สายตาของพระองค์ในตอนนี้ช่างเหมือนกันตอนนั้นนัก ข้าพระองค์จึงจำขึ้นมา”
แทซามองไปยังบีพาอันอย่างอ่อนโยน เขาลุกขึ้นพร้อมกับถือตำรา กระดาษ และพู่กันในมือ พลางกล่าวอย่างเป็นนัยว่า
“บางครั้งการฟังเสียงจากหัวใจก็สำคัญกว่าการพินิจพระไตรปิฎกหรือเรื่องงานราชการนะพ่ะย่ะค่ะ หากถ้าโรคทางใจเป็นหนักแล้ว ต่อไปจะทรงปกครองใต้หล้าได้อย่างไรกันพ่ะย่ะค่ะ”
หลังจากแทซาออกจากห้องหนังสือไปแล้ว บีพาอันก็นั่งอยู่เงียบๆ คนเดียวเป็นเวลากว่าหนึ่งเค่อ (ประมาณ 15 นาที) จากนั้นเขาก็ลุกพรวดออกไป หลังจากออกมาจากตำหนักดงชอนแล้ว เขาก็มุ่งหน้าตรงไปยังตำหนักดงบี ฝีเท้านั้นไม่มีหยุดชะงักเลยสักนิด
“เจ้า”
ระหว่างที่กำลังไปยังตำหนักดงบีนั้น บีพาอันก็ได้พบกับคนคนหนึ่งที่มองข้างหลังแล้วดูคุ้นตา เขาจึงเรียกให้นางหยุดเดิน ข้ารับใช้คนนั้นถึงกับสะดุ้งโหยง ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงเรียกให้หยุดของบีพาอัน นางหันไปกล่าวคำคารวะ
“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี เข้าเฝ้าฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ”
“แม่นมของกโยซึลใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันมีนามว่าจาโม เป็นแม่นมของพระชายากโยซึลเพคะ”
“เราจำได้ว่าเคยพบเจ้าเมื่อครั้งก่อน”
“เป็นพระมหากรุณาธิคุณเป็นล้นพ้นที่ทรงจำหม่อมฉันได้เพคะ”
นางก็คือแม่นมของกโยซึลนั่นเอง เป็นเรื่องแปลกมากที่แม่นมซึ่งปกติจะต้องตามติดเจ้านายตนมาเดินคนเดียวบนถนนของตำหนักดงบีเช่นนี้ บีพาอันรู้สึกสังหรณ์ใจจึงถามออกไป
“ชายาอยู่ที่ตำหนักหรือไม่”
“…ไม่อยู่เพคะ”
แม่นมตอบออกไปด้วยความลังเล เป็นไปตามที่คาด บีพาอันรู้สึกกังวลใจอย่างประหลาก เขาซึ่งแค่เพียงต้องการถามหากโยซึลเท่านั้น ได้ลองถามบางสิ่งออกไป
“เจ้าคือแม่นมที่มาจากฮวากุกด้วยกันใช่หรือไม่”
“ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันรับใช้พระชายามาตั้งแต่ทรงอยู่ในพระครรภ์เพคะ”
“ถ้าเช่นนั้น เจ้ารู้ความหมายของตราประทับนี้ที่พระชายาใช้อยู่หรือไม่”
“เพคะ?”
คำถามที่ไม่คาดคิดทำให้แม่นมย้อนถามกลับไปอย่างงุนงง นางรีบก้มหัวลงต่ำเพราะความไร้มารยาทนั้นของตน แต่บีพาอันกลับหาได้สนใจไม่ เขายื่นจดหมายออกมาให้นางดู เป็นจดหมายฉบับหนึ่งในจดหมายนับไม่ถ้วนที่กโยซึลส่งให้เขา ท้ายจดหมายมีลายเซ็นกับตราประทับด้วยหมึกแดงของกโยซึล แม่นมดูตราประทับเพียงไม่นาน นางก็ตอบออกไปราวกับรู้ดีอยู่แล้ว
“นี่คือตราประทับที่พระชายาทรงใช้มาตั้งแต่ประทับอยู่ที่ฮวากุกเพคะ”
“มีคำว่า อู ที่แปลว่าฝน กับ รึม ที่แปลว่าเย็นใช่หรือไม่”
“มิใช่เพคะ”
คำตอบที่ว่าไม่ใช่นั้น ทำให้บีพาอันขมวดคิ้ว เพราะนั่นไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ หรือเขาต้องการคำตอบว่าใช่งั้นหรือ บีพาอันประสบกับความสับสนเข้าใจยากที่ถาโถมเข้ามาอย่างยิ่งยวด แม่นมไม่รู้ถึงจิตใจภายในของบีพาอัน นางตอบเขาต่อไปอีกด้วยน้ำเสียงใจเย็น
“ตัวอักษรตัวหลัง[2] ถูกแล้วคือคำว่าอู ที่แปลว่าฝน แต่อักษรตัวหน้าไม่ใช่รึม ที่แปลว่าเย็นในตัวอักษรของมกกุกเพคะ แต่เป็นตัวอักษรของฮวากุกที่แปลว่าเย็น ตราประทับนี้พระชายามิได้ใช้ตัวอักษรของมกกุก แต่ใช้ตัวอักษรของฮวากุกเพคะ ตัวอักษร รึม ที่แปลว่าเย็นมีเส้นขีดเยอะ พระชายาที่ยังคงเยาว์วัยอยู่จึงทรงใช้ตัวอักษรของมกกุกซึ่งง่ายกว่ามาเขียนแทนน่ะเพคะ”
ไม่ใช่รึม ที่แปลว่าเย็น แต่เป็นอักษรอื่นที่มีความหมายว่าเย็น ดวงตาของบีพาอันโตขึ้น ทว่าลูกตาสีครามเข้มกลับหดเล็กลง บีพาอันเอ่ยออกมาอย่างล่องลอยว่า
“ชันบี…”
ชันบี ชันบีแห่งฮวากุก
แม่นมเอียงคอสงสัย ระหว่างที่นางไม่เชื่อหูของตน คิดว่าตนฟังผิดอยู่นั้น บีพาอันก็ถามออกมาด้วยน้ำเสียงเร่งรีบว่า
“แล้วพระชายาอยู่ที่ใดกัน”
“คือว่า เมื่อครู่ได้ทรงไปแสดงความยินดีกับการตั้งครรภ์ที่วังเหนือเพคะ”
“เราถามว่าตอนนี้พระชายาอยู่ใด”
“ตะ ตอนนี้ น่าจะทรงประทับอยู่ที่วังเหนือเช่นกันเพคะ”
เสียงตอบของแม่นมสั่นเครือ นางมิอาจซ่อนสีหน้ากังวลและตื่นตระหนกเอาไว้ได้ แต่ว่าบีพาอันกลับหันกลับไปทันทีที่ฟังจบ อย่างที่แม่นมไม่ได้คาดคิดเอาไว้ เป็นที่แน่นอนว่าจุดหมายของบีพาอันต้องเป็นวังเหนืออย่างแน่นอน
“ฝ่า ฝ่าพระบาท!”
แม่นมบังอาจตะโกนเรียกบีพาอันด้วยเสียงสูง แต่เขาไม่ได้ตำหนิการกระทำอันหยาบคายนี้ ทั้งยังไม่สนใจและเอาแต่เร่งฝีเท้าของตน จนบีพาอันหายตัวไปเร็วกว่าครั้งอื่นใด เขาอยู่ในอารมณ์ที่ไม่สามารถรั้งเอาไว้ได้เลย
“จะทำอย่างไรดี…”
แม่นมได้แต่เฝ้ามองหลังของบีพาอันที่กำลังห่างออกไปอย่างวิตกกังวล นางกระทืบเท้าอยู่กับที่ด้วยความตึงเครียดระคนหวาดวิตก
“พระชายา ทรงรีบเลี่ยงเร็วเพคะ”
——
[1] ชันบี ฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำ
[2] ตราประทับในสมัยก่อนจะเขียนจากขวาไปซ้าย ดังนั้นอักษรตัวแรกของคำจะเป็นคำที่สอง