ตอนที่ 25-1 สายฝนที่เย็นชุ่มฉ่ำ

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ในที่สุดฤดูร้อนก็มาเยือนอาณาจักรมกกุก 

 

 

ระหว่างที่ฤดูเปลี่ยนผันผ่าน กโยซึลก็ได้ส่งจดหมายหาบีพาอันอย่างสม่ำเสมอ เป็นจดหมายสั้นๆ ที่แนบดอกไม้แห้งทำเองไปด้วย จดหมายของนางนั้นจบลงแค่เพียงการถูกกองรวมกันไว้ใต้โต๊ะข้างเตียงนอนของบีพาอัน เมื่อพื้นที่ข้างใต้นั้นเต็มแล้ว ขันทีจึงนำตะกร้าเล็กใบเล็กมาวางไว้โดยไม่ได้บอกกล่าวอันใด ตะกร้าใบนั้นเข้ามาอยู่ในสายตาของบีพาอันซึ่งล้มตัวลงบนที่นอนเร็วกว่าปกติด้วยเหตุผลบางประการ ในตะกร้านั้นมีกระดาษม้วนผูกด้วยผ้าไหมสวยงามและถูกเลือกมาอย่างดีวางทบซ้อนกัน จดหมายที่ทับถมกันนั้นก็เหมือนกับผู้ที่ส่งพวกมันมา ทำได้เพียงรอคอยอยู่เงียบๆ ไม่อาจเร่งเร้าใดๆ ได้ 

 

 

“ยังเพียรส่งมาทั้งที่ไม่มีการตอบกลับ” 

 

 

ณ จุดนี้บีพาอันเห็นทีจะไม่สามารถเมินเฉยได้อีกต่อไป ไม่รู้ว่าเป็นความดื้อดึงหรือดันทุรังกันแน่ ทว่าความหนักแน่นของนางนั้นแข็งแรงยิ่งกว่าต้นสนที่เติบโตทะลุผ่านก้อนหินรูปร่างประหลาดเสียอีก  

 

 

“ไหนๆ ก็เข้านอนเร็วกว่าปกติแล้ว เปิดดูเสียหน่อยแล้วกัน…” 

 

 

บีพาอันบ่นพึมพำเป็นการแก้ตัว พลางหยิบกระดาษม้วนมาหนึ่งม้วน เป็นม้วนล่าสุดที่ส่งมา ผ้าแพรที่ผูกไว้มีสัมผัสเนียนนุ่มราวกับปีกของผีเสื้อ เขาจับตรงแกนกลางของกระดาษม้วนพลางคลี่ออกมาทั้งสองด้านจนมันคลายออกมาอย่างนุ่มนวลราวกับเนื้อผ้าที่อ่อนนุ่ม ตรงกลางของกระดาษมีดอกไม้แห้งสอดไว้ มุมปากของบีพาอันยกขึ้น เขาหยิบดอกไม้แห้งนั่นด้วยท่าทีขัดเขิน 

 

 

“จดหมายแนบดอกไม้งั้นหรือ” 

 

 

ตนไม่เคยได้รับอะไรแบบนี้มาก่อน และไม่เคยคาดคิดเลยว่าจะมีใครส่งจดหมายเช่นนี้มาให้ตนด้วย เป็นครั้งแรกที่ตนเคยได้รับจดหมายรัก กลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้แห้งนี้ช่างสะกิดใจได้อย่างแปลกประหลาด ตัวหนังสือที่ครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของกระดาษช่างดูสวยงามสะอาดตา 

 

 

วันนี้ตอนกลางวันอากาศค่อนข้างร้อนเลยเพคะ หม่อมฉันบอกกับโมซังกุงว่าฤดูร้อนยังไม่มาถึง แต่แดดก็ร้อนมากถึงเพียงนี้แล้ว แต่นางกลับตอบมาว่าอากาศยังเย็นสบายอยู่เลย อ้อ โมซังกุงคือซังกุงประจำตำหนักหม่อมฉันเองเพคะ หม่อมฉันได้ยินมาว่าที่มกกุกฤดูร้อนนั้นร้อนมาก แถมยังฝนตกบ่อยอีกด้วย ดูจากที่หม่อมฉันรู้สึกร้อนและอ่อนล้าเช่นนี้แล้ว หม่อมฉันคงทนความร้อนไม่ค่อยได้กว่าที่คิด หม่อมฉันเพิ่งจะรู้ตัวหลังจากมาอยู่ที่นี่นี่เองเพคะ แต่หม่อมฉันเองก็ชอบฝนนะเพคะ มันจะตกหนักเพียงใดกันนะ ตอนนี้หม่อมฉันทั้งตื่นเต้นและกังวลเกี่ยวกับฤดูร้อนครั้งแรกที่พระราชวังแห่งนี้มากเลยเพคะ 

 

 

“แค่เรื่องฤดูร้อน กลับเขียนได้ยาวถึงเพียงนี้เลยหรือนี่” 

 

 

กโยซึลนั้นทำให้บีพาอันงงงวยอยู่เสมอ ไม่เพียงแค่เฉพาะทางคำพูดเท่านั้น แต่ทางตัวหนังสือก็ด้วย ไม่คิดเลยว่าจดหมายที่กองสะสมทุกวันจะมีเนื้อหาลักษณะนี้ เนื้อหาเป็นการเล่าเรื่องทั่วไปในชีวิตประจำวันที่เกิดขึ้นกับตัวผู้เขียนเอง ช่างเป็นสิ่งที่บีพาอันคิดไม่ถึงจริงๆ ทั้งการใส่ดอกไม้มา ทั้งเนื้อหาอันไร้สาระ ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่บีพาอันคาดไม่ถึงทั้งสิ้น 

 

 

ตอนนี้ดอกไม้ที่ผลิบานในฤดูใบไม้ผลิเหมือนว่าจะร่วงโรยไปแล้ว อีกไม่นานคงจะได้เห็นมวลดอกไม้แห่งฤดูร้อนบานสะพรั่งเต็มที่แล้วใช่หรือไม่เพคะ ดอกไม้ฤดูร้อนน่าจะมีสีสันมากกว่า มันน่าจะสีเข้มและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่า เป็นเพราะแสงแดดที่ร้อนแรงกว่าหรือเปล่านะเพคะ แต่ว่าหม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าดอกไม้ฤดูร้อนจะสวยไปกว่าดอกไม้ฤดูใบไม้ผลินะเพคะ มันก็สวยในแบบของตัวมันเองทั้งคู่ ในวังแห่งนี้มีคนช่วยดูแลพวกมันมากมาย หม่อมฉันรู้สึกดีใจ เพราะมันทำให้ดอกไม้ที่หม่อมฉันจะเก็บให้พระองค์สวยงามมากขึ้น และยังมีหลากหลายชนิดอีกด้วย 

 

 

“เหตุใดถึงได้รู้สึกดีใจที่จะมีดอกไม้มาให้เรามากมายถึงเพียงนั้นกัน” 

 

 

จดหมายฉบับอื่นเองก็ไม่ต่างกัน บีพาอันคาดว่ากโยซึลส่งจดหมายมาให้ตนเพื่อหวังให้ตนมองนางในทางที่ดีขึ้น ทว่ากลับมีเนื้อหาแบบนี้งั้นหรือ ช่างเป็นความคิดที่บีพาอันไม่อาจเข้าใจได้เลยจริงๆ สำหรับเขาที่คิดแต่ในเชิงความเป็นเหตุเป็นผลแล้ว ย่อมไม่เข้าใจความไร้ซึ่งเหตุผลของความรู้สึกเอาเสียเลย 

 

 

“ทำไมนางถึงพูดเรื่องอากาศร้อน ฝน ดอกไม้กับเรากัน” 

 

 

คิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าจุดมุ่งหมายและประโยชน์ของมันคืออะไร หรือว่าตนนั้นพลาดจุดไหนไป หรือที่จริงแล้วมันมีความแฝงกันนะ บีพาอันค่อยๆ พิจารณาตัวจดหมายอย่างถี่ถ้วน เขาเน้นแม้กระทั่งช่องว่างระหว่างบรรทัดราวกับกำลังถอดรหัสจดหมายลับอย่างไรอย่างนั้น แต่ก็หาได้พบความหมายซ่อนเร้นใดไม่ เนื้อหาของจดหมายมีเพียงแค่เท่าที่ตาเห็นเท่านั้น 

 

 

“ช่างคล้ายกับจดหมายที่เด็กน้อยเขียนเสียจริง” 

 

 

เด็กน้อย เป็นจดหมายที่เหมือนกันกับกโยซึลนั่นเอง เป็นอื่นไปไม่ได้แน่นอน เพราะนี่คือจดหมายของกโยซึล บีพาอันผู้ซึ่งตั้งใจอ่านจดหมายเหล่านั้น กำลังจะละสายตาออก เนื่องด้วยการหมดความสนใจหางตากลับเหลือบเห็นตราประทับเข้า เป็นตราประทับท้ายจดหมายร่วมกับการเซ็นชื่อ แน่นอนว่าตามปกติมันจะสลักชื่อเอาไว้ จึงไม่เป็นที่น่าสนใจเท่าไรนัก ทว่าข้อความบนตราประทับนี้ค่อนข้างประหลาดอยู่ ตัวอักษรในนั้นหาได้เป็นตามรูปแบบสี่เหลี่ยมจากแม่พิมพ์ไม่ ตัวหนังสือและการตกแต่งในนั้นช่างดูละม้ายคล้ายรูปภาพ ในวงกลมสีแดงที่ประทับไว้มีตัวอักษรสองตัว บีพาอันขมวดคิ้วมุ่นพลางจ้องตัวอักษรเหล่านั้นอย่างตั้งใจ 

 

 

“อู ที่แปลว่าฝนงั้นหรือ” 

 

 

ในนั้นมีตัวอักษรหนึ่งตัวที่ค่อนข้างอ่านออกได้ง่าย หลังจากที่อ่านมัน ตาของบีพาอันก็สั่นไหว ตัวอักษรนี้ก็ถูกเขียนอยู่ในเนื้อหาจดหมายอยู่มากมายนับไม่ถ้วน อู ที่แปลว่าฝน หากอ่านด้วยภาษาของฮวากุกแล้ว มันมีความทรงจำที่เจาะทะลุทะลวงหัวใจที่แข็งเป็นน้ำแข็งของบีพาอันอยู่ บีพาอันวางจดหมายลงที่ปลายเตียงด้วยมือที่สั่นเทา ท่าทางกระสับกระส่ายนี้นั้นช่างเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ยากยิ่งนัก ก้าวเดินของเขาดูรีบร้อน เขาค้นที่ตู้หนังสือลึกเข้าไปในห้องนอนของตน ซึ่งเป็นที่เก็บรักษาทั้งหนังสือ สาส์น และสิ่งของล้ำค่า 

 

 

“อยู่ไหนกันนะ เราน่าจะเก็บไว้แถวนี้” 

 

 

มันคือสิ่งที่สำคัญมากสำหรับบีพาอันที่เป็นฮวางแทจา ทว่าสำหรับบีพาอันที่เป็นเพียงแค่บีพาอันนั้น กลับเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมายใด ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาพอสมควรเลยในการค้นหามัน และด้วยความเร่งรีบใจร้อนของเขาทำให้การค้นหายากยิ่งใช้เวลานานมากขึ้นไปอีก 

 

 

เขาเปิดๆ ปิดๆ ลิ้นชักหลายต่อหลายครั้ง แถมยังดึงลิ้นชักทั้งตัวออกมาพลิกดูอีกด้วย นิ้วมือของเขาที่กวาดผ่านหนังสือที่ทับซ้อนกันนั้นสั่นเทา บีพาอันค้นไปถึงช่องล่างสุดของชั้นวางหนังสือกว่าจะหาสาส์นฉบับนั้นเจอ สาส์นที่บีพาอันหยิบออกมานั้นถูกห่อด้วยผ้าแพรสีทองและปิดผนึกด้วยเชือกสีแดง ตรงกลางของทั้งสองด้านของม้วนหนังสือยังถูกสลักไว้ด้วยลายมังกร มองแวบเดียวรู้ได้ทันทีว่าเป็นของที่สำคัญมาก ซึ่งมันคือหนังสือสัญญาสมรสนั่นเอง เป็นสาส์นประกาศอย่างเป็นทางการถึงการสมรสของฮวางแทจากับชายา และประกาศการสถาปนาเป็นพระชายาเอก ในวันสมรสนั้นองค์จักรพรรดิมอบให้บีพาอันหนึ่งฉบับ และองค์ฮวังฮูมอบให้กโยซึลหนึ่งฉบับ 

 

 

“เจอแล้ว” 

 

 

บีพาอันรีบแก้เชือกสีแดงที่ผูกไว้ออก ตั้งแต่ได้มาในวันสมรส ตนก็ไม่เคยได้ลองคลี่ออกเลย และยังซุกเอาไว้ในมุมหนึ่งเท่านั้น เพราะการรับพระชายาเข้ามานั้นมิได้เป็นสิ่งที่มีความหมายอันใดแก่บีพาอันเลยนั่นเอง แต่ในตอนนี้กลับเกิดไฟลุกสว่างขึ้นมาในดวงตาของเขา บีพาอันพิจารณาตัวอักษรในสาส์นนั้นทีละตัว เป็นข้อความทื่อๆ และเป็นทางการที่เรียงต่อกัน จนมาถึงช่วงกลางเรื่องราวของกโยซึลจึงถูกกล่าวถึงขึ้นมา ชื่อจริงดั้งเดิมของกโยซึลถูกบันทึกไว้อย่างชัดเจน เป็นชื่อไม่ได้ใช้แล้วเนื่องจากถูกแทนที่ด้วยชื่อใหม่  

 

 

สมัยอยู่ที่ฮวากุก ชื่อที่กโยซึลใช้ก็คือมกฮวา อูรึม บีพาอันกะพริบตา และขยี้มันหลายต่อหลายครั้ง แล้วจ้องมองที่ตัวอักษรที่เป็นชื่อของอูรึม 

 

 

“อู ที่แปลว่าฝน บวกกับ รึม ที่แปลว่าหนาวหรือเย็นอย่างนั้นหรือ”