ภาคที่ 4 บทที่ 4 ที่พักยามค่ำ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 4 ที่พักยามค่ำ

พวกเขาอยู่บนเกาะรกร้าง

ไม่มีหญ้าสักต้นอยู่ในระยะสายตา สิ่งก่อสร้างสักหลังก็ไม่มี เบื้องหน้ามีเพียงพื้นฝุ่นคลุ้งเท่านั้น

ท้องฟ้าเหมือนจะกดลงต่ำอยู่ตลอด ส่วนตะวันกลับลอยเด่นสูงอยู่บนฟ้า ไร้เมฆสักก้อนช่วยบดบังแสงที่สาดส่อง ทรายบนพื้นก็ร้อนจนร่างแทบจะละลายอยู่รอมร่อ

หากแต่ในยามราตรี สถานที่นี้จะเย็นลงอย่างรวดเร็ว ลมหนาวน่าผวาพัดพาไม่หยุดหย่อน หากมีน้ำถูกลมเข้าก็จะแข็งตัวทันที

อุณหภูมิที่แปรผันไปมาอย่างมากเช่นนี้ทำให้เกาะหุบเหวเป็นสถานที่ที่ใช้ชีวิตอยู่ยากมากที่สุดแห่งหนึ่ง กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังที่ไหน หากได้มาเดินอยู่ตอนกลางวันยังรู้สึกราวกับถูกอบทั้งเป็น

ซูเฉินหยิบถุงน้ำออกมาดื่มน้ำ เขาเหลือบมองคนอื่น ๆ รอบตัวก่อนเห็นว่าพวกเขาก็ถูกแสงตะวันทรมานอยู่เช่นกัน จิตวิญญาณดูจะเหือดแห้งไปเล็กน้อย

“ตรงหน้าเรามีภูเขาลูกหนึ่ง เร่งฝีเท้าสักนิด จะได้ไปถึงก่อนมืดเถอะ เราจะตั้งที่พักที่นั่น !” ‘ตาเหยี่ยว’ ผู้มีหน้าที่ตรวจสอบเส้นทางด้านหน้าเอ่ยขึ้น

แม้เขาจะพูดราวกับมันอยู่ไม่ไกลนัก แต่ก็ยังอยู่อีกไกลไม่น้อย

จริง ๆ แล้วซูเฉินนำเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากออกมาใช้เมื่อไรก็ได้ พริบตาเดียวก็ถึง หากแต่มาโอ้อวดที่นี่ไม่ได้อะไร อีกทั้งใช้มันที่นี่จะอันตรายเกินควร เกาะหุบเหว เป็นเกาะที่มีอัตรายรอบตัว มีอสูรกายร่อนเร่อยู่ทั่ว บางตัวยังเคลื่อนที่เร็วกว่าเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากด้วยซ้ำ

ดังนั้นซูเฉินจึงได้แต่ออกเดินไปพร้อมกับคนอื่น ๆ

เคราะห์ดีที่ทุกคนไม่มีใครทำตัวเป็นภาระมากมาย ผู้ที่มีพื้นฐานพลังต่ำสุดก็ยังอยู่ด่านกลั่นโลหิต และเมื่อร่วมแรงช่วยกัน ทุกคนก็เดินทางมาถึงตีนเขาลูกนั้นก่อนราตรีโรยตัวพอดี

อากาศเริ่มเย็นตัวลงแล้ว ไม่รู้สึกร้อนราวกับถูกเผาอีกต่อไป หากแต่ลมหนาวยามกลางคืนนั้นรับมือยากนัก ดังนั้นทุกคนจึงรีบก่อกองไฟตั้งที่พัก เตรียมพร้อมรับมือราตรีที่ใกล้จะมาถึง

ซูเฉินหยิบของชิ้นหนึ่งออกจากแหวนต้นกำเนิด จากนั้นโยนมันขึ้นฟ้า มันกลายเป็นเรือนหินหลังหนึ่งทันที

นี่เป็นของที่เขาซื้อมาจากตลาดเครื่องมือต้นกำเนิด เรียกว่าเรือนหิน ทั้งพกพาง่ายและปรับขนาดได้ ทำให้เหมาะกับการพกพายามเดินทาง แต่เพราะมันต้องใช้การแปลงพื้นที่จึงมีราคาค่อนข้างสูง ทั้งยังไร้ความสามารถในการโจมตี ดังนั้นคนส่วนมากจึงไม่คิดซื้อใช้

ซูเฉินมีเงินอยู่บ้าง แม้การทดลองต่าง ๆ จะต้องใช้เงินมาก แต่จะผลาญเงินนับพันล้านให้หมดก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาย่อมต้องซื้อของดี ๆ มาให้ตนเองใช้บ้าง

“เยี่ยเม่ย นี่ให้เจ้า” ซูเฉินโยนอีกชิ้นให้เยี่ยเม่ย

เดิมทีมันเป็นของกังเหยียน แต่ครั้งนี้อีกฝ่ายคงต้องยอมทนแล้วให้สตรีได้ใช้มันไปเสียก่อน

“ฮ่า ! ยอดไปเลย เจ้านี่มันสมกับที่เป็นพี่น้องข้าจริง ๆ!” เยี่ยเม่ยตบไหล่ซูเฉินยิ้มยินดี

กลางพื้นที่รกร้าง จู่ ๆ พลันมีเรือนหินสองหลังผุดขึ้นมา คนอื่น ๆ จึงอิจฉาไม่น้อย

กระทั่งฉือหมิงเฟิงยังหัวเราะออกมา “แน่ล่ะว่าหากมีของใช้เช่นนี้ย่อมแปลว่าร่ำรวยไม่น้อย”

“จะว่าไป ข้าล่ะสงสัยนัก ไม่ใช่ว่าอารามนิรันดร์มีเงินเก็บตั้งเยอะหรือ ? แล้วทำไมพวกท่านถึงยังต้องใช้ชีวิตอัตคัดเช่นนี้ ?” ซูเฉินถาม

ฉือหมิงเฟิงกลอกตาเยาะส่อแววโกรธ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าในอารามนิรันดร์มีคนเท่าไหร่ ? ทั่วเจ็ดอาณาจักรมีสมาชิกนับแสน เงิน 8 ล้านมากก็จริง แต่หากต้องแบ่งให้คนมากมายเช่นนั้น มีหรือจะตกมาถึงพวกข้าได้ ?”

“แต่ท่านก็คงไม่ได้แบ่งไปจนหมดใช่หรือไม่ ?”

ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ “กระทั่งสาขาในอาณาจักรหลงซางก็มีคนตั้งมาก ! คนมากมายมาร่วมลงมือเช่นนี้ ย่อมต้องตกรางวัลเงินตราทั้งหลายให้เหมาะสมเช่นกัน”

“ก็คงไม่ถึงขั้นที่ไม่อาจหาซื้อเรือนหินมาใช้ได้กระมัง”

“แต่พวกเราก็ไม่อยากจ่าย” ฉือหมิงเฟิงส่ายหน้า “เงินพวกนั้นพวกข้าเอาไปใช้เสริมความแกร่งจนสิ้น จะเอาไปซื้อของไร้ประโยชน์เช่นนั้นได้หรือ ?”

จะฝึกตนต้องมีทรัพยากร เมื่ออุปสงค์มากกว่าอุปทาน ทรัพยากรในการฝึกตนดี ๆ ทั้งหลายจึงมีราคาสูงนัก

เช่นยาพลังต้นกำเนิดเป็นมาตรฐาน ขวดปกติมีราคาสูงถึง 5 พัน มีผลในการเพิ่มความแกร่งในคนด่านหลอมกายาสูง ในขณะที่คนด่านก่อเกิดลมปราณจะได้ผลแค่เพิ่ม 1 ดาราขาวเท่านั้น หรือก็คือจะต้องใช้หินพลังต้นกำเนิด 450,000 ก้อนเพื่อขึ้นสู่จุดสูงสุดของด่านก่อเกิดลมปราณ และเมื่ออยู่ด่านกลั่นโลหิต ก็ต้องใช้มากถึง 4.55 ล้านก้อน

ไม่มีใครใช้เงินมือเติบเช่นนั้นได้ ดังนั้นเงินที่มีจึงหมดไปกับการทำให้ตนเองแกร่งขึ้น จะเอาไปซื้อของใช้ต่อสู้ไม่ได้อย่างเรือนหินไปทำไมกัน ?

มีแต่คนจากตระกูลใหญ่หรือคนที่โชคที่เช่นซูเฉินเท่านั้นถึงจะใช้เงินโดยไม่เห็นเป็นอะไรได้

เมื่อซูเฉินได้ยินก็หัวเราะ “หากรู้ว่าท่านจะเป็นเช่นนี้ ข้าก็คงเตรียมมาเผื่อ”

“ไม่ต้องห่วงหรอก อย่างไรข้าก็คนด่านสู่พิสดาร เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ไร้ปัญหา” ฉือหมิงเฟิงพูดจบก็ชี้นนิ้วลงพื้น ผืนพสุธาเริ่มดันตัวขึ้น ภายใต้การควบคุมของฉือหมิงเฟิง มันก็เริ่มก่อร่างเป็นรูปร่างคล้ายเรือนหนึ่ง คล้ายกับเรือนหินของซูเฉิน หากแต่ดูหยาบกว่าบ้าง

ซูเฉินชะงักไป “ไม่คิดเลยว่าปรมาจารย์หยาดพิรุณจะเชี่ยวชาญทักษะต้นกำเนิดประเภทดินด้วย”

แม้จะดูง่าย แต่ก็ต้องใช้การควบคุมไม่น้อยทีเดียว

อาทิเช่น การจะสร้างคลื่นเป็นระลอกนั้นง่าย แต่การจะคุมหยาดน้ำแต่ละหยดให้ไปอยู่ในที่ที่สวมควร หรือก่อร่างตามใจปรารถนานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ทักษะต้นกำเนิดบนทวีปต้นกำเนิดนั้น แค่จินตนาการยังไม่อาจทำให้เป็นจริงได้ วัตถุทุกอย่างจำต้องมีของจับต้องได้เป็นพื้นฐานจึงจะสำแดงพลังออกมาได้

ไม่เช่นนั้นคงไม่จำเป็นต้องทำการค้นคว้ามากมายอะไร

แต่ก็ใช่ว่าจะไร้ทักษะต้นกำเนิดที่สามารถสร้างเรือนจากความว่างเปล่าได้ ทว่าวิชาเช่นนั้นต้องพัฒนาทักษะในการแปลงรูปร่างของตัวเรือนนั้นให้ได้ตามคำสั่ง ซึ่งก็หมายความว่าตัววิชานั้นมีความซับซ้อนสูง และแม้จะพัฒนาวิชาเช่นนั้นออกมาได้จริง แต่ก็สร้างได้เพียงเรือนประเภทเดียวเท่านั้น หากอยากได้เรือนที่มีรูปแบบแตกต่างก็จะต้องทำการพัฒนาวิชากันใหม่

สำหรับผู้เชี่ยวชาญพลังแล้ว นี่นับเป็นการเสียเงินและทรัพยากรไปมหาศาล มากมายเสียกว่าการซื้อเรือนหินเสียอีก มีวิชาเช่นนั้นอยู่จริง แต่มีเพียงน้อยคนที่จะสละเวลามาเรียนรู้มัน

ทว่ากลยุทธ์ที่ฉือหมิงเฟิงเลือกใช้นั้นไม่ใช่วิชาอะไร แต่เขาเข้าใจจิตควบคุมพลังต้นกำเนิดประเภทดิน ซึ่งต้องมีความเข้าใจในพลังต้นกำเนิดประเภทดินอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเฉินจึงตกตะลึงไม่น้อย

เห็นซูเฉินชมตน ฉือหมิงเฟิงก็หัวร่อ “เรื่องเล็กน้อย ไม่คู่ควรให้กล่าวชมหรอก”

คนอื่น ๆ ไม่มีวิชาเช่นฉือหมิงเฟิง ทั้งจะขอให้ฉือหมิงเฟิงสร้างเรือนดินให้ก็ไม่ได้ ดังนั้นจึงได้แต่กางที่พักตนไปแต่โดยดี

ฟ้าเริ่มมืด ลมเย็นเริ่มพัด หากแต่เรือนหินยังคงอุ่นไม่เปลี่ยน

ซูเฉินไม่ได้หลับ แต่กลับถือขวดเลือดสดเอาไว้แล้วเพ่งพิเคราะห์ ภายใต้เนตรมองโลกจุลภาคที่หยั่งรู้ลึกล้ำ ความลับทั้งหลายที่เก็บไว้ในโลหิตนั้นก็ถูกเปิดเผยแก่สายตา

มันเป็นเลือดของเฮ่อซื่อ

ซูเฉินยังคงทำการค้นคว้าเรื่องเกี่ยวกับสายเลือดต่าง ๆ ที่เขาพบอยู่ตลอด ตอนนี้เป้าหมายใหม่ของเขาคืออสูรพันหน้า

หลังจากทำการทดลองมาแล้วนับพันครั้ง การทดลองก็กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของชายหนุ่มไปแล้ว

อย่างแรกเขาก็จะทำการวิเคราะห์สสารต้นกำเนิดภายในสายเลือด จากนั้นลองใช้วิธีทั้งหลายทดลอง เพื่อเฝ้าสังเกตว่าสสารต้นกำเนิดจะถูกร่างนำไปใช้อย่างไร สุดท้ายเขาก็จะพยายามแยกสสารต้นกำเนิดตัวนั้นออกมาใช้เสียเอง

เหมือนจะเป็นกระบวนการที่เรียบง่าย แต่ก็มีอุปสรรคอยู่มากมายนัก ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นได้นับครั้งไม่ถ้วน บางครั้งก็ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนถึงทางตัน

ทว่าตอนนี้ ดูท่าซูเฉินจะโชคดีไม่น้อย เขาค้นพบสสารต้นกำเนิดประหลาดที่กำลังมองหาอยู่ สสารประเภทนี้ดูท่าจะมีความสามารถในการซ่อนตัวน้อยกว่าสสารต้นกำเนิดตัวอื่น ไม่นานชายหนุ่มก็ทดลองหาวิธีนำมันไปใช้ได้ในคราเดียว

ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เหมือนตนได้รับโชคใหญ่ก็มิปาน หลังจากผ่านการทดลองลำบากยากเข็ญมานาน ในที่สุดเขาก็เริ่มเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้แล้วงั้นหรือ ?

หากแต่เขาก็ถูกดึงออกจากภวังค์ด้วยเสียงกรีดร้องลั่นเสียงหนึ่ง

“กรี๊ดดดดด !”

เป็นเสียงของเยี่ยเม่ย !