ภาคที่ 4 บทที่ 5 เรือนระเบิด

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 5 เรือนระเบิด

ซูเฉินยังไม่หลับ เขาจึงเป็นคนแรกที่พุ่งออกจากเรือนพัก

แต่พอมาถึงหน้าเรือนเยี่ยเม่ยก็มีคนอยู่ก่อนหน้าแล้ว

ฉือหมิงเฟิง

เขาวาดแขนออก ซัดประตูเรือนหินเสียพังยับ

ข่งเฉิงอยู่ในนั้น กำลังประจันหน้ากับเยี่ยเม่ย นางสวมเพียงชุดนอนตัวบางเผยให้เห็นไหล่ขาวซีด กำลังตวัดเข็มแยกวารีใส่ข่งเฉิง สีหน้าเต็มไปด้วยแรงสังหาร

ฉือหมิงเฟิงเห็นแล้วก็หน้าทะมึน “ข่งเฉิง เจ้าคิดจะทำอะไร ?”

“ก็ไม่มีอะไร ข้างนอกมันหนาวไปหน่อย ข้าก็เลยจะเข้ามาทำให้ตัวอุ่น” ข่งเฉิงตอบหน้าตาเฉย

“ไอ้ระยำ !” มีหรือฉือหมิงเฟิงจะไม่รู้ว่าข่งเฉิงคิดทำสิ่งใด ? กระสันอยากได้บุปผางามอย่างไรเล่า !

ภายในนั้นมีกลิ่นหอมประหลาดที่คล้ายกับธูปหอมลวงจิตไม่มีผิด เจ้าบัดซบนั่นคิดจะวางยาเยี่ยเม่ย แต่มันกลับใช้กับนางไม่ได้ผล นางจึงกรีดร้องขอความช่วยเหลือได้

“เข้าใจผิดกันน่าพี่ฉือ ไม่ต้องคิดมากไปหรอก” ฉือหมิงเฟิงยังไม่ทันได้โกรธจัดตอนที่มีเสียงหนึ่งดังขึ้น

ฉือหมิงเฟิงไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเป็นฉีเซินอวิ๋น

ฉีเซินอวิ๋นปกติไม่ค่อยพูด กระทั่งตอนวางแผนโจมตียังไม่เอ่ยคำอะไร ฉือหมิงเฟิงจะตัดสินใจเรื่องอะไรก็ได้ เว้นเสียแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับข่งเฉิง เขาจะต้องปรากฏตัวขึ้นทุกครั้ง

หน้าที่หนึ่งเดียวของเขาคือการปกป้องข่งเฉิง

ฉือหมิงเฟิงเอ่ยเสียงโกรธ “เข้าใจผิด ? คิดว่าข้าโง่หรือ ? เจ้า……”

“ปรมาจารย์หยาดพิรุณ ในเมื่อศิษย์พี่ฉีบอกเป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นก็ให้เป็นเรื่องเข้าใจผิดเถอะ” ซูเฉินพลันเอ่ย

ฉือหมิงเฟิงชะงักไป

เขารู้ความสัมพันธ์ระหว่างซูเฉินและเยี่ยเม่ยดี หลายปีมานี้ เยี่ยเม่ยรับหน้าที่คอยติดต่อกับชายหนุ่มไปแล้ว หน้าที่นางไม่ใช่นักฆ่าอีกต่อไป หากแต่เป็นเหมือนคนส่งสารพิเศษของซูเฉินเสียมากกว่า

เมื่อเป็นเช่นนี้ จะไม่ให้ตกใจได้อย่างไรที่ซูเฉินช่วยพูดแทนข่งเฉิง ?

ซูเฉินเดินเข้าไปแล้วถอดชุดคลุมออกคลุมร่างให้เยี่ยเม่ย “เป็นอะไรหรือไม่ ?”

เยี่ยเม่ยส่ายหน้า จ้องข่งเฉิงด้วยความโกรธ “คนผู้นี้คิดล่วงเกินข้า”

ไม่ว่านางจะใสซื่อถึงเพียงไหน นางก็ยังรู้ดีว่าข่งเฉิงเข้ามาด้วยหมายตานาง

ซูเฉินเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ข้ารู้แล้ว ให้ข้าจัดการ เข้าใจไหม ?”

เยี่ยเม่ยฟังคำซูเฉินจนเคยชิน ดังนั้นจึงตกลงไปตามสัญชาตญาณ

เมื่อจัดการตรงนี้เสร็จ ซูเฉินจึงหันไปเอ่ยขึ้นว่า “ในเมื่อพี่ข่งชอบเรือนหินนี่ เช่นนั้นก็เอาไปเถอะ เยี่ยเม่ยจะไปนอนที่เรือนข้า”

“เรือนเจ้า ?” ทุกคนตกตะลึงไป

“ใช่” ซูเฉินตอบเสียงขรึม “ถึงที่จะไม่กว้าง แต่ก็พอให้คนสองคนอยู่ได้ไร้ปัญหา เยี่ยเม่ยเองก็ไม่มีปัญหา ใช่หรือไม่ ?”

เขาพูดแล้วก็ส่งสายตาให้เยี่ยเม่ยแวบหนึ่ง

เยี่ยเม่ยอ้าปากกว้างก่อนตอบ “อ้อ ข้า…… ได้”

“เช่นนั้นตกลงตามนี้” ซูเฉินพูดจบก็พาเยี่ยเม่ยเดินกลับไปที่เรือนหินของเขา

ทุกคนมองตามหลังคนทั้งสองจนหายลับไป ราวกับไม่เข้าใจเรื่องที่เพิ่งเกิด

กระทั่งฉือหมิงเฟิงยังตกใจ หรือซูเฉินไม่ยอมสู้กับข่งเฉิงเพียงเพราะต้องการฉวยโอกาสกับเยี่ยเม่ยงั้นหรือ ?

ไม่ เขาไม่ใช่คนประเภทนั้น ฉือหมิงเฟิงตัดเรื่องนั้นทิ้งไปทันที เขารู้ว่าซูเฉินกับเยี่ยเม่ยเคยพบหน้าพบเจอกันมากี่หน หากซูเฉินคิดทำเช่นนั้นก็คงไม่รอจนถึงตอนนี้แน่

ซูเฉินอาจวางแผนอะไรไว้ก็เป็นได้

ฉือหมิงเฟิงคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะเหลือบมองข่งเฉิงแล้วเอ่ยเสียงเกรี้ยว “ในเมื่อเจ้าชอบมันนักก็เข้าไปนอนในนั้นเสีย แล้วอย่าได้ก่อเรื่องอีก”

พูดจบเขาก็กลับที่พัก

แผนการข่งเฉิงล้มเหลว ทั้งยังทำให้ตนเองต้องขายหน้า เมื่อมองไปรอบ ๆ ก็พบว่าคนอื่นกำลังจ้องเขา เขาจึงตะโกนขึ้น “พวกเจ้ามองอะไร ? ไม่เคยเห็นเรื่องเช่นนี้มาก่อนหรือ ?”

แล้วเขาก็เดินกลับที่พักตนไป

ซูเฉินกับเยี่ยเม่ยเข้าเรือนพักมาแล้ว เยี่ยเม่ยกำลังจะเอ่ยปากพูด ชายหนุ่มก็พลันใช้นิ้วแตะปากนางส่งเสียงชู่ ก่อนสาดน้ำถ้วยหนึ่งลงบนพื้น

ผิวน้ำนั้นแวววาวขึ้น ก่อนจะเห็นภาพนอกเรือนหินปรากฏ

ซูเฉินมองน้ำที่นองอยู่นิ่งแล้วพึมพำ “สี่…… สาม…… สอง…… หนึ่ง”

หลังจากเขาพูด ‘หนึ่ง’ จบ เยี่ยเม่ยก็เงี่ยหูรอฟังแต่กลับไร้เสียงเอะอะใด นางจึงถามเสียงประหลาดใจ “ทำไมไม่มีอะไรเลยเล่า ?”

ซูเฉินตอบ “เจ้าพูด ‘บึ้ม’ สิ !”

เยี่ยเม่ยพูดตามอย่างงง ๆ “บึ้ม !”

ตู้ม !

ภายนอกเรือนหินพลันมีระเบิดเกิดขึ้นทันใด

ซูเฉินผลักประตูออกไป เรือนที่เยี่ยเม่ยเคยอยู่ตอนนี้กำลังลุกเป็นไฟ

คนผู้นึ่งวิ่งออกมาจากเรือนนั้น ย่อมต้องเป็นข่งเฉิง

หากแต่สภาพเขาดูน่าสมเพชไม่น้อย เสื้อด้านหลังและของที่เขาพกติดตัวมาถูกเผาจนไหม้เกรียม เหลือเพียงลูกประคำที่ถือไว้เท่านั้น และแม้มันจะไม่ช่วยกันไฟแต่อย่างไร ข่งเฉิงก็ยังรักษามันไว้สุดชีวิตแล้วพุ่งหนีไฟออกมา

“เกิดอะไรขึ้นอีก ?” คนอื่น ๆ ก็วิ่งออกมาเช่นกัน

หากแต่เมื่อเห็นภาพก็ตกใจไปอีกครั้ง

เรือนหินสภาพดีกลับถูกไฟไหม้เป็นจุล ส่วนข่งเฉิงก็มีสภาพย่ำแย่มาก แม้เขาจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพลัง สามารถสร้างเกราะพลังต้นกำเนิดได้ แต่ระเบิดครั้งนี้เขาไม่ทันตั้งตัว ดังนั้นจึงได้แผลไม่น้อย และแม้จะเป็นแค่บาดแผลภายนอก แต่สภาพก็ดูไม่ได้ โดยเฉพาะใบหน้าที่ถูกไฟจนลอกออก

เมื่อเห็นซูเฉินเข้า นัยน์ตาข่งเฉิงก็มีไฟแค้นลุกโชน “ซูเฉิน”

เขาอยากจะพุ่งเข้าไปซัดมันให้กระเด็น หากแต่ฉือหมิงเฟิงคว้าตัวเขาไว้

ฉีเซินอวิ๋นปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เมื่อเห็นสภาพข่งเฉิงก็ประหลาดใจ หันไปจ้องสายตาโกรธเคือง “เป็นฝีมือท่านหรือ ?”

“เปล่า เป็นฝีมือเขา !” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “แค่ไม่สังหารขยะเช่นเขาทิ้งก็นับว่าเมตตามากแล้ว”

“โอหังนัก !” ฉีเซินอวิ๋นเผยไอสังหาร ราวกับหมายจะโจมตีซูเฉิน

ฉือหมิงเฟิงไม่ห้าม เพียงแต่หัวเราะเสียงเย็นยะเยือก “ฉีเซินอวิ๋น หากเจ้าคิดลงมือกับซูเฉิน ข้าจะไม่ห้าม ข้าไม่จำเป็นต้องเตือนเจ้าว่าซูเฉินเป็นคนอย่างไร และเขาช่วยเหลือเรามามากเพียงไหน เจ้ากล้าฆ่าเขาหรือไร ? หากกล้าก็คงเป็นวันที่เจ้าต้องพินาศ ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะโง่เง่าได้เท่ากับเจ้านายเจ้าคนนี้หรอกนะ”

ฉีเซินอวิ๋นชะงักไปไม่ลงมือ

ฉือหมิงเฟิงกล่าวได้ถูกต้อง ฉีเซินอวิ๋นไม่กล้าสังหารซูเฉินจริง ๆ

เขาเพียงแต่จะขู่ให้ซูเฉินกลัวเท่านั้น

หากแต่ขู่ไปก็ไร้ผล ทั้งซูเฉินและฉือหมิงเฟิงรู้ดีว่าศัตรูทำกล้าไปอย่างนั้น แต่แท้จริงแล้วล้วนอ่อนแอ

ฉีเซินอวิ๋นสูดลมเย็นเข้าปอด “วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป คนแซ่ซู แต่หากกล้าลงมือกับข่งเฉิงอีก ก็อย่าหาว่าข้าเสียมารยาท”

ซูเฉินส่ายหน้า “ขู่ข้าเช่นนี้ไม่ได้ผลหรอก เจ้าเตือนคนที่เจ้าคุ้มครองอยู่ดีกว่า หากเขากล้าล่วงเกินเยี่ยเม่ยอีก มันจะไม่จบแค่เพลิงอัสนีไม่กี่ลูกแน่ ช้าสาบานว่าจะสับน้องชายเขาทิ้ง จะได้ไม่ต้องเอาไปใช้ทำอะไรอีก”

พูดจบก็เดินกลับไปกับเยี่ยเม่ย คนอื่น ๆ เห็นว่าเรื่องคงไม่ตื่นเต้นอะไรแล้วก็พากันกลับที่พัก มีเพียงข่งเฉิงกับฉีเซินอวิ๋นที่ยืนอยู่

“เท่านี้น่ะหรือ ?” ข่งเฉิงกระชากเสียงถามฉีเซินอวิ๋น

ฉีเซินอวิ๋นถอนใจ “ขออภัยด้วย แต่ที่ฉือหมิงเฟิงกล่าวมานั้นไม่ผิด ข้าลงมือกับซูเฉินไม่ได้ หากข้าสังหารเขา ทางอารามไม่มีทางปล่อยข้าไว้แน่”

“เช่นนั้นข้าจะหาคนอื่นมาทำงาน !” ข่งเฉิงยกประคำในมือขึ้นแล้วใส่พลังต้นกำเนิดเข้าไป ภาพใบหน้าถึงไหล่ของคนหลายคนพลันปรากฏขึ้นมาบนประคำ

เขาชี้ไปที่หนึ่งในภาพนั้นแล้วเอ่ยขึ้น “เฝิงซีหั่ว มาที่เกาะหุบเหวเดี๋ยวนี้ ข้ามีภารกิจลับให้เจ้า……”