ส่วนที่ 5 ตอนที่ 36-2 เกษียณและแต่งตั้ง

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

หลังเลิกว่าราชการยามเช้า กระแสข่าวเสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณ คุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งอาลักษณ์ก็กลายเป็นประเด็นในเมืองหลวง

 

 

           บนท้องถนน โรงน้ำชา ร้านเหล้าล้วนส่งเสียงฮือฮา

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณกะทันหัน นี่เป็นเรื่องใหญ่อันน่าตกใจ

 

 

           คุณชายรองเจิ้งเข้ามาในเมือง ชนรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ทำร้ายใบหน้าคุณหนูหลี่จนเสียโฉม หลังได้คุณชายใหญ่ออกโรงรับผิดแทนน้องชายก็ได้รับสมรสพระราชทายาทกับท่านหญิงจินเยี่ยน ชั่วพริบตา เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอาลักษณ์โดยฝ่าบาท

 

 

           อาลักษณ์แม้เป็นขุนนางตำแหน่งเล็ก แต่นับตั้งแต่หนานฉินก่อตั้งมา ตำแหน่งอาลักษณ์กลับมีบทบาทสูงสุด โดยทั่วไปล้วนเป็นคนที่มีความรู้พหูสูต มีคุณธรรมควบคู่ความสามารถ รับผิดชอบบันทึก เรียบเรียง แก้ไขประวัติศาสตร์และชีวประวัติ แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนไร้ความสามารถ เจ้าสำราญไม่เอาการเอางานอย่างคุณชายรองเจิ้งมารับตำแหน่งอาลักษณ์มาก่อน

 

 

           คนแบบเขาเข้าเมืองมาวันแรกก็สร้างหายนะ ไม่คาดคิดว่าวันที่สองจะได้รับแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์

 

 

           เป็นเรื่องแปลกใหม่ยากพานพบเสียจริง

 

 

           สองเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน มิอาจเลี่ยงคำคาดการณ์ของผู้คนได้เลย คำคาดการณ์ทุกรูปแบบถูกคาดเดากันไปต่างๆ นานาชั่วขณะ

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็มิทราบมาก่อนว่าเสนาบดีฝ่ายขวาจะลาออกจากราชการ ครั้นได้ยินสาวใช้ประจำกายรายงาน นางก็ตกใจจนดีดตัวลุกจากเตียง คว้ากายสาวใช้ รีบถามว่า “เรื่องจริงรึ ท่านเสนาบดีลาออกแล้วจริงๆ หรือ”

 

 

           “บ่าวสอบถามมาแล้ว เป็นความจริงเจ้าค่ะ ราชการยามเช้าเลิกแล้ว นายท่านเสนาบดีขอลาออก ฝ่าบาททรงอนุญาต ตอนนี้ด้านนอกล้วนฮือฮา เป็นความจริงเจ้าค่ะ” สาวใช้ประจำกายพยักหน้าพัลวัน

 

 

           “ท่านเสนาบดีไฉนถึงได้…เขายังอยู่ในราชสำนักได้อีกหลายปีแท้ๆ หรือว่าเพราะเมื่อวานข้า…ฝ่าบาททรงตำหนิเขา…” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาไม่อยากเชื่อ

 

 

           สาวใช้ประจำกายไม่ตอบ นางเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

 

 

           “เร็วเข้า ช่วยข้าแต่งตัว” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาสั่งด้วยใบหน้าซีดขาว

 

 

           สาวใช้ประจำกายรีบช่วยนางแต่งตัวทันที

 

 

           หลังแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็รีบร้อนออกจากเรือนหลัก ครั้นมาถึงหน้าจวนก็พบเสนาบดีฝ่ายขวาลงจากรถม้าพอดี นางรีบก้าวขึ้นหน้า “ท่านเสนาบดี ท่าน…”

 

 

           “ข้าลาออกแล้ว ต่อไปไม่ใช่เสนาบดีอีกแล้ว” เสนาบดีฝ่ายขวามองนางแวบหนึ่ง “เจ้าไม่แข็งแรงอยู่ ควรนอนพักผ่อนบนเตียง วิ่งออกมาทำไมกัน”

 

 

           น้ำเสียงยังนับว่าอ่อนโยน ราวกับโทสะเมื่อวานมอดลงแล้ว

 

 

           “ไฉนจู่ๆ ท่านถึงลาออก ใช่เป็นเพราะข้า…” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาตาแดงก่ำ

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาโบกมือ ขัดคำพูดนาง “ไม่ใช่เพราะเจ้า ตั้งแต่หลังอดีตฮ่องเต้สวรรคต ข้าก็รู้สึกทำสิ่งใดมิได้ตามใจนึกขึ้นทุกวัน มิอาจแบ่งเบาภาระ ขจัดกลุ้มให้ราชสำนักได้แล้ว มิสู้ลาออกดีกว่า”

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามองเขาด้วยใบหน้าซีดขาว พอได้ยินเขายืนยันกับปากว่าลาออกแล้ว ก็ราวกับได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักชั่วขณะ

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวามองนาง อดมิได้ที่จะลดเสียงต่ำลง “ข้าออกจากตำแหน่ง หากไม่ยอมถอยออกมา ชิงเอ๋อร์จะรับตำแหน่งต่อจากข้าได้อย่างไร”

 

 

           “ท่านหมายความว่า…” ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวานัยน์ตาเป็นประกายทันที

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้าให้นาง “ฝ่าบาททรงเปลี่ยนหน้าที่ให้ชิงเอ๋อร์ใหม่ ไม่ต้องดูแลการเตรียมเสบียงและการทหารอีกแล้ว แต่ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยมหาเสนาบดี งานทั้งหมดในมือเขายกให้เยี่ยนถิงดูแลต่อ ส่วนเขาถูกเปลี่ยนไปช่วยเสนาบดีฝ่ายซ้ายดูแลบริหารงานราชสำนัก”

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวามิใช่คนเลอะเลือน ได้ยินเช่นนั้นก็ดีใจทันที “กล่าวเช่นนี้ หมายความว่าฝ่าบาททรงรักษาสัจจะ ให้ชิงเอ๋อร์…จวนเสนาบดีฝ่ายขวาของเรา สืบทอดตระกูลเสนาบดีไปอีกหลายรุ่น”

 

 

           เสนาบดีฝ่ายขวาผงกศีรษะ “นี่เป็นความสามารถของชิงเอ๋อร์เช่นกัน กวาดหาทั่วเมืองหลวง กระทั่งในแผ่นดินหนานฉิน ย่อมหาใครที่เหมาะสมไปกว่าเขาไม่ได้”

 

 

           ความซีดเซียวบนใบหน้าฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาหายไปทันที เปลี่ยนวิธีการเรียกว่า “นานท่าน เช่นนั้นหลังจากนี้พวกเรา…”

 

 

           “รอจัดการเรื่องปี้เอ๋อร์เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เอาอย่างผู้เฒ่าโหวแห่งจวนจงหย่งโหว ออกไปทัศนาจรโลกกว้าง หลายปีมานี้เจ้าถูกขังอยู่ในจวนอันสูงส่งที่เมืองหลวงแห่งนี้กับข้า คงทุกข์ทรมานไม่เบา ออกไปเปิดหูเปิดตาหาประสบการณ์ในโลกภายนอกเถิด” เสนาบดีฝ่ายขวากล่าว

 

 

           เอ่ยถึงหลี่หรูปี้ ความดีใจบนใบหน้าฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาก็ลดลงหลายส่วน “ปี้เอ๋อร์ควรจัดการอย่างไรถึงจะดีเล่า…”

 

 

           “ให้ชิงเอ๋อร์จัดการเถอะ” เสนาบดีฝ่ายขวานวดหว่างคิ้ว “เจ้ากับข้าล้วนแก่แล้ว ต่อไปคนที่นางพึ่งพาได้ก็คือพี่ชายของนาง เจ้าอย่าได้กังวลมากเกินไปอีกเลย”

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวานึกถึงคำปลอบโยนของบุตรชายเมื่อวานขึ้นมา ยังเป็นบุตรชายที่ทำให้นางสงบใจ เขาเคยชอบเซี่ยฟางหวา แต่ไม่เคยทำให้นางกังวลมาก่อน สามารถจัดการความรู้สึกตัวเองได้ นางจึงพยักหน้ารับ “เมื่อวานข้าอารมณ์ฉุนเฉียวมากเกินควร ทำให้ท่านเหนื่อยใจแล้ว ที่จริงแล้วก็รู้สึกผิดต่อนายท่าน จากนี้ข้าจะฟังท่านกับชิงเอ๋อร์”

 

 

           “อืม แบบนี้ถูกแล้ว ลูกหลานย่อมมีความสุขของตัวเอง หากไม่มีความสุขก็ถือเป็นชะตากรรม โทษใครมิได้” เสนาบดีฝ่ายขวาปลื้มใจที่วันนี้ฮูหยินคิดตกแล้ว ไม่รั้นก่อปัญหาอีก จึงสื่อให้นางกลับเข้าไปคุยกันข้างใน

 

 

           ฮูหยินเสนาบดีฝ่ายขวาพยักหน้า กลับเข้าไปในจวนพร้อมเสนาบดีฝ่ายขวา

 

 

           เจิ้งอี้กับเจิ้งเฉิงจากตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางที่อาศัยอยู่ในจวนเสนาบดีฝ่ายขวาก็ได้ยินเรื่องที่เกิดขึ้นขณะว่าราชการยามเช้าแล้วเช่นกัน ชั่วเวลานั้นทั้งสองล้วนมีใบหน้าขึงตึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเสนาบดีฝ่ายขวาจะเกษียณอย่างกะทันหัน และจักรพรรดิองค์ใหม่ก็ทรงอนุญาต

 

 

           นับจากวันนี้เป็นต้นไป จวนเสนาบดีฝ่ายขวามีหลี่มู่ชิงเป็นใหญ่แล้ว

 

 

           อีกอย่างคุณชายหลี่แห่งจวนเสนาบดีฝ่ายขวาท่านนี้มิได้มีความรู้สึกที่ดีต่อตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง ไม่พอใจในตัวพวกเขา และไม่เห็นด้วยที่เจิ้งเซี่ยวฉุนสู่ขอหลี่หรูปี้         

 

 

           ชั่วเวลานั้น ทั้งสองต่างพูดไม่ออก

 

 

           โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จักรพรรดิองค์ใหม่ทรงแต่งตั้งเจิ้งเซี่ยวหยาง คนหนึ่งเพิ่งเข้ามาในเมืองก็ก่อหายนะ มีพี่ชายออกโรงรับผิดชอบแทน ส่วนเขาก็ได้สมรสพระราชทานกับจินเยี่ยนแห่งจวนองค์หญิงใหญ่ เอาตัวรอดจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาได้นั้นไม่พูดถึงแล้ว หากแต่ฝ่าบาทยังทรงแต่งตั้งเขาเป็นอาลักษณ์

 

 

           ฝ่าบาททรงมีแผนการใด

 

 

           เจิ้งเซี่ยวหยางมีแผนการใด

 

 

           ทั้งสองมิอาจทิ้งเจิ้งเซี่ยวฉุนที่ในเวลานี้ยังคุกเข่าเฝ้าอยู่นอกเรือนหลี่หรูปี้ได้ ในทางกลับกันก็ไปคว้าตัวเจิ้งเซี่ยวฉุนมาซักถามเป็นการส่วนตัว ชั่วเวลานั้นก็เดาสาเหตุไม่ออก ความกลัดกลุ้มมิเสื่อมคลาย

 

 

           พวกเขาเข้าเมืองมาด้วยแผนการที่เตรียมเอาไว้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ไม่คาดคิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้

 

 

           จากเมื่อวาน ถึงแม้เจิ้งเซี่ยวหยางก่อหายนะ แต่เรื่องราวก็ไม่ควรมาถึงขั้นที่ควบคุมมิได้ ทว่าวันนี้เสนาบดีฝ่ายขวาลาออก เจิ้งเซี่ยวหยางได้รับแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ จึงทำให้พวกเขาสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้น

 

 

           แผนการเดิมเกิดความขัดแย้งอันใหญ่หลวงขึ้นแล้ว

 

 

           เพราะความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจากสองเรื่องใหญ่นี้ บางสิ่งจำต้องปรับเปลี่ยนใหม่

 

 

           “ลูกชายสุดประเสริฐของเจ้า หลายปีมานี้เขาก่อเรื่องแค่ทั่วสิงหยางยังพอทน ไม่เคยคิดเข้ามาในเมืองหลวง ตอนนี้ไฉนถึงได้คิดก่อเรื่องในเมืองหลวง” เจิ้งอี้มองเจิ้งเฉิงด้วยความโกรธเล็กน้อย

 

 

           เจิ้งเฉิงส่ายหน้า “ท่านอา ท่านก็รู้จักนิสัยของเซี่ยวหยางดี เพราะถูกตามใจมาตั้งแต่เด็ก ต่อมาก็ปล่อยเลยตามเลย ตอนนี้ข้าคุมเขาไม่ได้แล้วเช่นกัน และไม่เข้าใจด้วยว่าไฉนเขาถึงฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรง”

 

 

           เจิ้งอี้แค่นเสียงไม่พอใจ

 

 

           “ตอนนี้จะทำอย่างไรต่อดี” เจิ้งเฉิงมองเขาแล้วถามขึ้น

 

 

           “ยังทำอย่างไรได้ ต้องดูทางเซี่ยวฉุนแล้ว ยังเหลือเวลาอีกสองวัน หากเขาสู่ขอคุณหนูหลี่ไม่สำเร็จ พวกเราก็คงได้แต่หน้าม่อยคอตกกลับสิงหยาง” เจิ้งอี้ตอบ

 

 

           “แต่งานของเรา…” เจิ้งเฉิงมองเขา “ตอนนี้เสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณแล้ว ฐานะของคุณหนูหลี่…”

 

 

           เจิ้งอี้ถลึงตามองเขา “เจ้าไม่ได้ยินพระราชโองการของฝ่าบาทตอนว่าราชการยามเช้ารึ เสนาบดีฝ่ายขวาออกจากราชสำนัก แต่คุณชายหลี่ยังเป็นผู้รับช่วงต่อจากเขา ถึงอย่างไรคุณหนูหลี่ก็เป็นน้องสาวแท้ๆ ของเขา จะไม่สนใจเลยได้อย่างไร”

 

 

           “กล่าวเช่นนี้ ก็ต้องดูเซี่ยวฉุนแล้ว” เจิ้งอี้กล่าว

 

 

           “เจ้าไปบอกเขาอีกรอบ อย่าเอาแต่คุกเข่าอย่างเดียว แบบนี้ไม่ได้ผล ใช้วิธีการอื่นได้แล้ว” เจิ้งอี้กล่าว “แค่สตรีเสียโฉมเพียงคนเดียว ทำให้นางตกลงยอมแต่งงานด้วย มีอันใดยากกัน”

 

 

           เจิ้งเฉิงพยักหน้า