ตั้งแต่คนตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้ามาในเมืองหลวง ท่านหญิงจินเยี่ยนแห่งจวนองค์หญิงใหญ่กับคุณชายใหญ่ตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางได้รับสมรสพระราชทานร่วมกัน ต่อมาคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางเข้ามาในเมือง พุ่งชนรถม้าจวนเสนาบดีฝ่ายขวา ทำใบหน้าของคุณหนูหลี่จวนเสนาบดีฝ่ายขวาเสียโฉม คุณชายใหญ่ยอมถอนหมั้นเพื่อรับผิดชอบแทนน้องชายด้วยการสู่ขอคุณหนูหลี่แทน การหมั้นหมายระหว่างท่านหญิงจินเยี่ยนกับคุณชายใหญ่จึงเป็นอันยกเลิก และได้สมรสพระราชทานกับคุณชายรองแทน กระทั่งเสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณออกจากราชสำนัก คุณชายรองได้รับแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์…
ในเวลาเพียงสองวัน เมืองหลวงทั้งเมืองดุจน้ำที่ถูกต้มจนเดือดและประทุออก
ทุกเหตุการณ์และเรื่องราวที่เกิดขึ้นวุ่นวายเกินรับมือไหว ทำให้ประชากรในเมืองหลวงหนานฉินล้วนมีหัวข้อสนทนาหลังดื่มชาหรือทานข้าวเสร็จ มีเรื่องให้คุยกันไม่จบสิ้น
ยามที่เจิ้งเซี่ยวหยางออกจากจวนอิงชินอ๋อง ท้องฟ้าก็สว่างขึ้นเล็กน้อย ทิศตะวันออกทอแสงสีขาวเป็นสัญญาณวันใหม่ เขาเดินเลียบไปตามถนนในเมืองหลวง เดินเตร่ผ่านถนนแต่ละเส้น ร้านรวงข้างทางล้วนปิดประตูเงียบ บ้านเรือนแต่ละหลังก็ลงกลอนแน่นหนา ไม่มีอันใดให้ชมแม้แต่น้อย ทว่าเขากลับมองดูอย่างสนใจ
จนกระทั่งเริ่มมีผู้คนสัญจรบนถนน รถม้าวิ่งขวักไขว่ ดวงอาทิตย์ลอยขึ้นสูง ผู้คนต่างจับกลุ่มคุยกันสามถึงห้าคนบ้าง สองสามคนบ้าง คุยกันเรื่องเสนาบดีฝ่ายขวาเกษียณ และเรื่องที่ตนได้รับแต่งตั้งเป็นอาลักษณ์ เขาก็ยังคงเดินเตร่อย่างสบายใจ
เดินเล่นบนถนนเส้นหลักในเมืองหลวงครบแล้ว ก็เริ่มเดินสำรวจตรอกซอยเล็กๆ บ้าง
เด็กรับใช้ที่พระชายาอิงชินอ๋องส่งมาดูแลเขาเหนื่อยจนปวดขาไปหมดแล้ว แต่เห็นว่าคุณชายรองท่านนี้ยังคงกระตือรือร้น เขาจึงได้แต่ทำหน้าขมขื่นพร้อมติดตามต่อไป เขาไม่เข้าใจเลยว่า เป็นมนุษย์เหมือนกันแท้ๆ หรือว่าขาของคุณชายรองท่านนี้ทำมาจากเหล็กกัน ไม่เหลียวแลสักนิดเลยหรือว่าเขาเหนื่อยแล้ว ในทางกลับกันนั้นดูสดชื่น มีชีวิตชีวา ดูท่าทางคงอยากเดินให้ทั่วทุกพื้นที่ในเมืองหลวงหนานฉินแห่งนี้
ใกล้เที่ยงวันเต็มที เด็กรับใช้ทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ทำหน้าจะร้องไห้ ขอร้องด้วยความเหนื่อยล้าอย่างถึงที่สุด “คุณชายรอง ใกล้เที่ยงแล้ว เรากลับจวนกันเถิดขอรับ บ่าวเดินไม่ไหวแล้ว”
เจิ้งเซี่ยวหยางราวกับเพิ่งนึกได้ในตอนนี้ว่าด้านหลังยังมีคนติดตามคนหนึ่ง หันหลังกลับมาด้วยความรู้สึกผิด เอ่ยขึ้นว่า “เจ้าคงเหนื่อยแย่แล้วกระมัง”
“ขาของบ่าวปวดไปหมดแล้วขอรับ” เด็กรับใช้พยักหน้าอันซีดขาวตอบ
“ไฉนเจ้าถึงไม่บอกให้เร็วกว่านี้” เจิ้งเซี่ยวหยางมองตำหนิ
“กลัวว่าจะรบกวนความกระตือรือร้นของท่าน” เด็กรับใช้ทำหน้าร้องไห้
“จวนอิงชินอ๋องก็คือจวนอิงชินอ๋อง” เจิ้งเซี่ยวหยางทอดถอนใจ
เด็กรับใช้ไม่เข้าใจความหมายประโยคนี้ มองหน้าเขา ได้แต่ภาวนาให้คุณชายท่านนี้ยอมกลับจวน เขาจะวิ่งไปขอร้องพระชายา บอกว่าขาของตนหมดประโยชน์แล้ว เปลี่ยนคนอื่นมารับใช้คุณชายท่านนี้แทนเถิด
เจิ้งเซี่ยวหยางทอดถอนใจเสร็จก็ตบหลังส่งสัญญาณ “เจ้าขึ้นมาสิ ข้าจะแบกเจ้าเอง”
เด็กรับใช้สะดุ้งโหยง ทิ้งสะโพกลงกับพื้นทันที กล่าวด้วยใบหน้าซีดขาวว่า “คุณชายรอง หากท่านยังอยากเดินเล่นต่อ บ่าวถึงแม้ต้องเดินจนขาหักก็ย่อมแล้วแต่ท่าน ท่านอย่าได้ลดอายุขัยของบ่าวเลย”
เจิ้งเซี่ยวหยางกลอกตา “ลดอายุขัยอันใดกัน พูดจาไม่รื่นหูนัก เจ้าเดินไม่ไหวแล้ว แต่ข้ายังเดินไหว ข้าแบกเจ้าได้สบายอยู่แล้ว”
“มิได้ขอรับ บ่าวมิกล้าให้ท่านแบกหรอก” เด็กรับใช้ส่ายหน้าตระหนก
“เจ้าสบายใจได้ เป็นข้าสมัครใจแบกเจ้าเอง พระชายาแม้ทราบเรื่องแล้ว มีข้าออกหน้าพูดแทน นางก็จะไม่ตำหนิเจ้าเช่นกัน” เจิ้งเซี่ยวหยางมองเขา
เด็กรับใช้ส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด ทำหน้าขมขื่น ตกใจจนเสียงหลง “คุณชายรอง ท่านปล่อยบ่าวไปเถิด บ่าวชะตาสั้น ไหนเลยจะให้ท่านแบกได้ ท่านเป็นแขกของจวนอิงชินอ๋องนะขอรับ”
“พูดมากเสียจริง” เจิ้งเซี่ยวหยางก้าวขึ้นมา แบกเด็กรับใช้ขึ้นหลังเสมือนจับลูกเจี๊ยบก็มิปาน เขากระชับอีกฝ่ายบนหลังให้มั่น ก่อนเดินต่อไปเบื้องหน้า
“คุณชายรอง รีบปล่อยข้าลงเถิด” เด็กรับใช้ตกใจจนร้องโหวกเหวกโวยวาย
“หุบปาก ขืนพูดอีกประโยคเดียว ข้าจะโยนเจ้าตกลงไปคอหัก” เจิ้งเซี่ยวหยางเดินต่อ
เด็กรับใช้ตกใจจนนิ่งค้าง ไม่พูดคำใดขึ้นมาอีกเลย ปิดปากเงียบสนิท แต่แทบอยากจะหมดสติตายไปเสียตรงนี้ ทว่ากลับเป็นลมมิได้
เจิ้งเซี่ยวหยางแบกเด็กรับใช้ออกจากตรอกเล็ก ผินหน้ากวาดตามอง ไม่ไกลกันนั้นมีอาคารงามวิจิตรตั้งอยู่หลังหนึ่ง ชั้นบนมีสตรีแถวหนึ่งแต่งกายโปร่งบาง สะบัดแขนเสื้อพลิ้วไหวแผ่วเบา แต่ละคนล้วนมีทรวดทรงต่างกันหากแต่งดงามในแบบตัวเอง เพลินตาจนดูไม่หวาดไม่ไหว เขาจึงยกเท้าเดินไปยังสถานที่แห่งนั้นทันที
เดินมาถึงหน้าอาคาร ข้ามธรณีประตูเข้าไป มีคนออกมาต้อนรับทันที “ไอ้หยา คุณชายท่านนี้หล่อเหลาไม่เบา เชิญเข้ามาด้านในก่อน”
เด็กรับใช้ที่เสมือนพบความตายบนหลังเจิ้งเซี่ยวหยางตกใจจนสะดุ้งโหยง เงยหน้าขึ้นทันที เมื่อเห็นว่าเป็นสถานที่แบบใดก็พลันหน้าซีดขาว ตะโกนขึ้นว่า “คุณชายรอง ที่นี่…ที่นี่เข้ามิได้ขอรับ”
เจิ้งเซี่ยวหยางหยุดเท้าโดยพลัน หันมาเหลือบมองเขา “เหตุใดถึงเข้าไม่ได้”
“ที่นี่…ที่นี่เป็น…” ใบหน้าคล้ำของเด็กรับใช้ขึ้นสีแดงจางๆ “ที่นี่คือหอหงซิ่ว”
เจิ้งเซี่ยวหยางเงยหน้ามองป้ายที่แขวนเอาไว้ชั้นบนครู่หนึ่ง “ข้ามีตา เห็นแล้วว่าเป็นหอหงซิ่วมิผิด ข้าจะมาที่นี่อยู่แล้ว”
“ท่าน…ท่านมาทำอะไรที่นี่เล่า พวกเรามิใช่จะกลับจวนกันหรือ” เด็กรับใช้ได้กลิ่นแป้งหอมโชยมาเป็นระลอกจนแทบอยากเป็นลมไปเสียตอนนี้ กระซิบว่า “นี่ที่เป็นหอนางโลมนะขอรับ”
“ข้ารู้แล้ว มิฉะนั้นคงไม่มาหรอก มาที่นี่ก็เพื่อพักเท้า หาหญิงงามจำนวนหนึ่งมาปรนนิบัติ เดินมาตลอดช่วงเช้านั้นเหนื่อยจะแย่” เจิ้งเซี่ยวหยางพูดพลางก็เดินเข้าไปข้างใน
“ถ้าท่านจะเข้าไป เช่นนั้น…วางบ่าวลงก่อนเถิดขอรับ” เด็กรับใช้ใกล้ร้องไห้รอมร่อ
“เจ้าก็เดินไม่ไหวแล้ว อยู่เฉยๆ ไว้เถอะ” เจิ้งเซี่ยวหยางเข้ามาในหอหงซิ่ว
แม่เล้าฉลาดเฉียบแหลมอย่างยิ่ง เห็นชุดบนตัวเด็กรับใช้ซึ่งสวมเครื่องแบบทาสรับใช้ประจำจวนอิงชินอ๋อง ผนวกกับคุณชายท่านนี้แต่งกายหรูหรา มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณชายมีสกุล ทว่าคุณชายท่านนี้กลับแบกเด็กรับใช้เข้ามา นางยิ้มต้อนรับแล้วถามทันที “คุณชายท่านนี้มาจากต่างแดนกระมัง มิเคยพบมาก่อน”
เจิ้งเซี่ยวหยางตอบ “อืม” แล้วบอกนาง “ข้าคือเจิ้งเซี่ยวหยาง ขอห้องมีระดับห้องหนึ่ง จัดสุราและอาหารเข้ามา พร้อมด้วยแม่นางที่ยอดเยี่ยมที่สุดในนี้มาด้วย ต่อไปข้าต้องอยู่ในเมืองอีกนาน จำชื่อข้าเอาไว้ให้ดี หากปรนนิบัติข้าดีจะตกรางวัลหนักให้ วันข้างหน้าจะได้มาใช้บริการร้านเจ้าบ่อยๆ”
แม่เล้าตกใจ หลุดปากขึ้นว่า “ท่านคือคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยาง”
“หรือว่ามีสวมรอยเป็นข้า” เจิ้งเซี่ยวหยางเลิกคิ้ว
แม่เล้าอย่างไรก็นึกไม่ถึงว่าท่านนี้คือคุณชายผู้ปลุกปั่นเมืองหลวงจนกลิ่นเลือดคาวคลุ้งในสองวันนี้ เรื่องเกี่ยวกับเขา สองวันนี้แม้แต่คนในหอนางโลมยังพูดถึง ไม่นึกเลยว่าเจ้าของเรื่องจะมาเยือนที่นี่เอง นางเก็บสีหน้าตกใจทันที ยิ้มสู้กล่าวว่า “ที่แท้เป็นคุณชายรอง ท่านมีชื่อเสียงก้องฟ้า ใครจะกล้าสวมรอยเป็นท่านเล่า เป็นบ่าวเองก็ตาหามีแววไม่”
พูดจบ นางก็ตะโกนเสียงดัง “ชั้นบนมีเรือนเฟิงเยว่*[1] เชิญคุณชายรองขึ้นชั้นบนเถิด ชุนฮวา ชิวเยว่
ซย่าชิง ตงเหมย ออกมารับแขกได้แล้ว”
นางตะโกนเสียงดัง ชั้นบนมีเสียงขานรับดังตอบกลับมา เสียงสตรีไพเราะอ่อนช้อย ฟังแล้วน่าเอ็นดู
เจิ้งเซี่ยวหยางเดินขึ้นชั้นบนด้วยความพึงพอใจ
แม่เล้าทำใจดีสู้เสือตามขึ้นไปชั้นบนด้วย
เด็กรับใช้ตกใจจนวิญญาณหลุดจากร่าง แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมาสถานที่เช่นนี้มาก่อน ปากเอ่ยวิงวอนไม่หยุด “คุณชายรอง ท่านรีบปล่อยบ่าวลงเถิดขอรับ บ่าวไม่ปวดขาแล้ว เดินเองได้แล้ว”
“จะถึงแล้ว” เจิ้งเซี่ยวหยางยังคงแบกเขาต่อไป
เด็กรับใช้ใกล้จะร้องไห้เต็มที
ไม่นานก็ขึ้นมาถึงชั้นบน เรือนเฟิงเยว่สมกับชื่อของมันอย่างแท้จริง ด้านในมีควันหอมหมุนเป็นเกลียวลอยขึ้นไปในอากาศ กลิ่นหอมเย็นอบอวล พิณ หมากล้อม โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องเรือนล้วนมีครบครัน ความน่าเบิกบานใจสะท้อนทั่วทั้งเรือน
เจิ้งเซี่ยวหยางวางเด็กรับใช้ลงบนตั่งตัวเตี้ยด้วยความพอใจ ส่วนตัวเองก็หย่อนสะโพกนั่งลงข้างกัน
เด็กรับใช้เพิ่งนั่งลงก็ดีดตัวลุกโดยพลัน แต่เพราะกะทันหันเกินไปจึงล้มก้นจ้ำเบ้า ขอความเมตตากับ
เจิ้งเซี่ยวหยาง “คุณชายรอง บ่าวจะออกไปรอท่านด้านนอก”
เจิ้งเซี่ยวหยางยื่นมือหิ้วเขาขึ้นมา วางลงบนที่นั่งใหม่อีกครั้ง “ไปรอทำไมด้านนอก อยู่ตรงนี้นี่แหละ เจ้าเดินเที่ยวเล่นกับข้าจนเหนื่อยแล้ว ควรพักผ่อนด้วยเช่นกัน” พูดจบก็เสริมว่า “สบายใจได้ พระชายาไม่ตำหนิเจ้าหรอก”
“บ่าวจ่ายไม่ไหวหรอกขอรับ” เด็กรับใช้แสดงสีหน้าอมทุกข์
“เจ้าไม่ต้องจ่าย” เจิ้งเซี่ยวหยางตบหลังเขา “ผ่อนคลายหน่อย ตัวเจ้าแข็งทื่อเกินไปแล้ว ประเดี๋ยวจะให้หญิงงามมานวดให้เจ้า”
สิ้นเสียงเขา ร่างกายของเด็กรับใช้ก็แข็งทื่อยิ่งกว่าเดิม
ชุนฮวา ชิวเยว่ ซย่าชิง และตงเหมยอันเป็นหญิงงามทั้งสี่เดินเข้ามาต้อนรับ ไล่หลังพวกนาง สุรากับอาหารรสเลิศก็ทยอยยกเข้ามาด้านใน
“พวกเจ้าเข้ามาให้หมด นวดไหล่ ทุบขาให้เขา คลายเส้นหน่อย” เจิ้งเซี่ยวหยางเรียกทั้งสี่เข้ามา
ทั้งสี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ให้พวกนางสี่คนมาปรนนิบัติเด็กรับใช้หรือ
“ไม่ได้ยินที่คุณชายรองบอกรึ ยังไม่รีบเข้ามาอีก” แม่เล้าถลึงตาใส่ทั้งสี่ทันที
ทั้งสี่ทำได้เพียงก้าวเข้ามา ล้อมหน้าล้อมหลังเด็กรับใช้เอาไว้
เมื่อเจิ้งเซี่ยวหยางพอใจแล้วก็ยกกาสุราขึ้นเอง แม่เล้ารีบก้าวมาคว้าไปรินสุราให้เขาเต็มจอก
เด็กรับใช้ไม่เคยได้รับการปรนนิบัติรูปแบบนี้มาก่อน หญิงงามสี่คนล้อมกาย กลิ่นหอมเย็นอบอวล ถูกนวดคลายกระดูกจนตัวอ่อนยวบไปหมดแล้ว สะโพกกลับเหมือนนั่งอยู่บนเบาะเข็ม ใบหน้าซีดขาวจนกลายเป็นกระดาษแล้ว
“นวดขาให้เขาด้วย” เจิ้งเซี่ยวหยางดื่มสุราจอกหนึ่ง ยังไม่ลืมที่จะใส่ใจเด็กรับใช้
หญิงงามสี่คนมองเจิ้งเซี่ยวหยางด้วยความไม่พอใจแวบหนึ่ง
เจิ้งเซี่ยวหยางหยิบถุงเงินออกมากระเป๋า โยนไปวางบนโต๊ะ “เท่านี้พอหรือไม่”
ความไม่พอใจของหญิงงามสี่คนหายเป็นปลิดทิ้ง ต่างแย้มยิ้มเบิกบาน ย้ายไปนวดขาให้เด็กรับใช้
“แน่นอนต้องพออยู่แล้ว อย่าว่าแต่ปรนนิบัติวันเดียวเลย ถึงสามวันก็เพียงพอเช่นกัน หากคุณชายรองพอใจก็อยู่นานสักหน่อยเถิด” แม่เล้าก็แย้มยิ้มเบิกบานเช่นกัน
เจิ้งเซี่ยวหยางหยิบตะเกียบขึ้นมา “ขาดก็แต่ร้องรำเพิ่มความบันเทิง”
“ใครก็ได้ ไปเชิญนักดนตรีกับนางรำที่ดีที่สุดมา” แม่เล้าตะโกนสั่งงาน
ไม่นาน นักดนตรีกับนางรำก็ทยอยเดินเรียงเข้ามาอย่างมีระเบียบ เรือนเฟิงเยว่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ชั่วขณะ เสียงอันอ่อนช้อยไพเราะ เครื่องสายและเครื่องเป่าบรรเลงขึ้นอย่างเชื่องข้า
อันกลิ่นหอมหญิงงาม คือสุสานวีรบุรุษ
เจิ้งเซี่ยวหยางเอนกายพิงตั่งบุนวมอย่างสบายอกสบายใจ ลิ้มอาหารรสเลิศ ดื่มสุราอันยอดเยี่ยม ชมหญิงงามบรรเลงดนตรี นางรำพลิ้วกายร่ายรำอย่างอ่อนช้อย ช่างเพลิดเพลินอย่างยิ่ง
เด็กรับใช้ถูกหญิงงามสี่คนปรนนิบัติจนชวนเวียนหัว บ้างบีบไหล่ บ้างนวดขา บ้างนวดเท้า บ้างป้อนอาหารและสุราให้ ไม่รู้ว่าอยู่ในหมู่เมฆหรือม่านหมอก หาทิศทั้งสี่ไม่เจอแล้ว
เขากำลังเพลิดเพลินในหอหงซิ่ว กลับไม่รู้ว่าด้านนอกมีข่าวใหม่เผยแพร่ออกไปอีกแล้ว
บ้างว่าหลายคนเห็นคุณชายรองตระกูลเจิ้งแห่งสิงหยางแบกเด็กรับใช้จวนอิงชินอ๋องเข้าไปในหอหงซิ่ว
บ้างว่าเรียกนางโลมที่มีทั้งหมดในหอหงซิ่วไปปรนนิบัติ ฟ้ายังสว่างจ้าอยู่แท้ๆ ทว่าก็ลุ่มหลงติดอยู่ในแดนอ่อนโยนนุ่มละมุนหลังม่านสีแดงของหอหงซิ่วแล้ว
หนึ่งแพร่สิบ สิบแพร่ร้อย ร้อยแพร่พัน พันแพร่หมื่น
ในเวลาไม่นาน จวนใหญ่แต่ละหลังในเมืองหลวงก็ล้วนทราบข่าวแล้ว
[1] *เฟิงเยว่ แปลว่า ทัศนียภาพ